2
เสียงทุ้มเหนือขมับเรียกสติกลับคืน มัสลินแหงนหน้าขึ้นเป็นจังหวะเดียวกับที่ปลายจมูกโด่งคมโน้มลงมาใกล้ ลมหายใจอุ่นทำเอาหญิงสาวชะงักค้าง เหมือนกับที่ใบหน้าคร้ามเข้มเซผงะไปเล็กน้อย
ดวงตาสีเหล็กใต้คิ้วเข้มพาดตรงจุดประกายวาบ ริมฝีปากบางสีจัดเผลอหลุดอุทานบางอย่างออกมาเบาๆ มือใหญ่กำรอบต้นแขนแน่นขึ้นจนมัสลินรู้สึกเจ็บ
คุณมัสลินคะ
เสียงป้าคำหล้าดังมาจากลานระเบียงทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัวและกล่าวขอโทษเมื่อปล่อยตัวเธออย่างสุภาพ เขาทำมือให้มัสลินหมุนตัวเดินนำก่อนจะก้าวตามหลังมาอย่างเงียบๆ
นายมาพอดี อาหารเช้าเสร็จแล้วค่ะ
มัสลินได้ยินแล้วตาโตหันกลับไปมอง ...นาย...อีกครั้ง เขาเองก็กำลังมองมาทางเธอเช่นกันหากแต่ด้วยแววตาที่ราบเรียบ
คุณมัสลินเพื่อนคุณชฎาค่ะนาย แล้วนี่ก็นายชฎิลเจ้าของไร่นี้ค่ะ
หญิงสาวยกมือไหว้และอีกฝ่ายก็รับไหว้ขยับยิ้มมุมปากนิดเดียว ...นิดเดียวจริงๆ
นายรับอาหารเช้าที่ไหนดีคะ
นายอั้มกับชฎาล่ะ เขาย้อนถามกลับ
ป้าได้ยินเสียงตื่นแล้ว เดี๋ยวคงลงมาค่ะ
ถ้างั้นกินที่ห้องอาหารก็ได้ เชิญครับคุณ
คราวนี้ชายหนุ่มเดินนำหน้าจนมาถึงห้องอาหาร เขาเดินไปที่เก้าอี้หัวโต๊ะแล้วมองมายังเก้าอี้ทางขวามือแทนการบอกว่าเป็นที่นั่งของเธอ ครู่เดียวอมฤตและชฎาธารก็เข้ามาสมทบ อมฤตนั่งซ้ายมือของพี่ชายขณะที่ชฎาธารนั่งลงข้างมัสลิน
ขอโทษทีนะมัสที่ตื่นสาย ชฎาธารบอก
ไม่หรอก เราตื่นเช้าเองแหละ เห็นอากาศสดชื่นแล้วมันอดไม่ได้น่ะ
เมื่อคืนพี่ชฎิลกลับมากี่โมงหรือ
น้องชายถามขณะที่เอื้อมมือตักกับข้าวให้ภรรยาก่อนจะตักมาใส่ชามข้าวต้มของตัวเอง
ดึกแล้วล่ะ ทีแรกก็ว่าจะมาวันนี้ แต่ทางโน้นเรียบร้อยดีก็เลยรีบกลับมา ชฎาสบายดีนะ
ประโยคท้ายหันมาทักทายน้องสะใภ้ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
สบายดีค่ะ พี่ชฎิลคะ เพื่อนชฎาชื่อมัสลินค่ะ
ชฎิลหันมายิ้มให้มัสลินหน่อยนึงแล้วก็ตอบว่า
รู้จักกันแล้ว ป้าคำหล้าแนะนำให้รู้จักเมื่อกี้นี้เอง ทำตัวตามสบายนะครับ
ทราบว่าคุณชฎิลเคยเรียนที่ออสเตรเลียด้วยหรือคะ ไม่ทราบว่าเรียนที่เมืองไหนคะ
เหมือนคำถามนี้จะเป็นค้อนทุบลงกลางโต๊ะปังใหญ่ คนถูกถามชะงัก มัสลินกวาดสายตาไปทางสองสามีภรรยาเห็นทำท่าเหมือนสะดุ้งแล้วกลั้นหายใจ
อยู่ที่ซิดนีย์ครับ
คำตอบสั้นที่เจ้าตัวตอบแล้วก็หันไปตักอาหารเข้าปากเหมือนเป็นการตัดบทสนทนาเรื่องนี้เพียงเท่านี้
อมฤตรีบเปลี่ยนไปพูดเรื่องดินฟ้าอากาศและการสั่งซื้อส้มที่มีเข้ามามากในช่วงนี้ เนื่องจากติดกับเทศกาลตรุษจีน ดูชฎิลเต็มใจตอบคำถามได้ยาวๆ และเมื่อชฎาธารก็เล่าเรื่องแผนการที่จะไปเที่ยวกัน เขาก็รับอาสาไปติดต่อเรื่องที่พักและการเดินทางให้ ท่าทางเขาคงเป็นคนกว้างขวางทีเดียว แต่ทำสวนส้มและมีธุรกิจถึงขั้นส่งออกก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะรู้จักผู้คนมากมาย
หลังคำถามแรกมัสลินก็เลือกจะเป็นคนฟังมากกว่า หรือตอบสั้นที่สุดหากมีใครถามอะไร
ทุกคนพยายามจะทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเหมือนเดิม แต่หญิงสาวรู้สึกได้ว่าตัวเองได้กวนตะกอนในใจใครบางคนให้ขุ่นขึ้นมาเสียแล้ว
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
มัสลินเข้ามาในห้องโดยมีชฎาธารเดินตามเข้ามาด้วย ขณะที่อมฤตเข้าไปในสวนกับพี่ชาย
เกือบไปแล้วไหมล่ะยายมัส
ชฎาธารถอนหายใจยาวก่อนจะเดินไปทิ้งตัวบนเตียง
ฉันพูดอะไรผิดไปมากหรือ มัสลินนิ่วหน้าด้วยความกังวล
จะว่าไปมันไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก คนไม่รู้ย่อมไม่ผิด จริงไหม
หมายความว่ายังไง
มัสลินลากเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ
ชฎาธารถอนหายใจอีกครั้งก่อนลุกขึ้นนั่ง
ตอนที่พี่ชฎิลเขาไปเรียนต่อที่ออสเตรเลียก็ได้รู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่ง ทั้งคู่รักกันมาก แต่พอมาถึงวันหนึ่งที่พี่ชฎิลขอเขาแต่งงานแล้วกลับมาอยู่เมืองไทยด้วยกันเขากลับปฎิเสธ
ทำไมล่ะ เพราะเขาไม่อยากมาอยู่เมืองไทยนะเหรอ
ชฎาธารส่ายหน้า
ไม่ใช่แค่นั้นหรอก พี่อั้มเล่าให้ฟังว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกครึ่งไทยและมีแม่อยู่คนเดียว ถ้าแต่งงานกับพี่ชฎิลก็ต้องย้ายมาอยู่เมืองไทยซึ่งแม่ไม่มีวันยอมมาด้วยอย่างเด็ดขาด เพราะสามีคนไทยก็พ่อของผู้หญิงคนนั้นแหละทำให้แกเจ็บช้ำน้ำใจไว้มาก
ส่วนพี่ชฎิลตอนนั้นคุณลุงกำลังป่วยจะหาคนดูแลกิจการต่อก็ไม่มีใคร จะไม่กลับก็ไม่ได้ ไอ้ความที่เป็นลูกกตัญญูทั้งคู่ก็เลยทำให้ทั้งสองคนต้องแยกจากกันโดยปริยาย
กลับมาถึงเมืองไทยแล้วพี่ชฎิลก็พยายามติดต่อกลับไปแต่ทางโน้นก็เงียบหาย หลังๆก็เลยเลิก
คุณชฎิลคงฝังใจกับความรักครั้งนั้นมากนะ ถ้าถึงกับไม่ยอมมองผู้หญิงคนอื่นเลยอย่างที่เธอว่า
ชฎาธารพยักหน้า
สวนนี่ก็ไม่ต้องดูแลอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่หรือ ทำไมคุณชฎิลถึงไม่ไปตามหาเขาล่ะ
พี่อั้มบอกว่า พี่ชฎิลคงกลัวจะผิดหวังอีกถ้าผู้หญิงปฏิเสธเป็นครั้งที่สอง แล้วฉันก็คิดว่าเวลาผ่านมาหลายปีแล้ว เขาอาจแต่งงานมีครอบครัวไปแล้วก็ได้
มัสลินทำหน้าครุ่นคิด
ไม่รู้สิ ถ้าเป็นฉันฉันคงไปตามหาเขาแล้วก็ถามให้รู้เรื่องราวไปเลย ดีกว่ามานั่งทรมานตัวเองไปไม่รู้ถึงเมื่อไหร่ จะมีความรักใหม่ก็ไม่ได้ในเมื่อความรักเก่ามันคาอกอยู่อย่างนี้
ชฎาธารดึงจมูกโด่งของเพื่อนอย่างหมั่นไส้
พูดดีไป ทำอย่างกับเป็นคนคุ้นเคยกับความรักเสียเต็มประดา
มัสลินอดหัวเราะไม่ได้
นั่นสินะ บางทีถ้าเจอกับตัวเองเราอาจไม่พูดอย่างนี้ก็ได้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
บ่ายแก่ๆของวันนั้น รถโฟร์วีลสปอร์ตไรเดอร์คันใหญ่ขับออกจากไร่เรือนจันทร์มุ่งหน้าสู่ดอยอ่างขาง ชฎิลรับหน้าที่เป็นคนขับโดยมีอมฤตนั่งคู่ไปในตอนหน้า ส่วนมัสลินกับชฎาธารนั่งด้วยกันข้างหลัง
รถต้องวิ่งผ่านตัวอำเภออีกครั้ง อมฤตเสนอให้จอดหน้าตลาดเพื่อให้มัสลินได้มีโอกาสและดูว่าชาวบ้านเขาซื้อขายอะไรกันบ้าง บังเอิญชฎิลเจอกับคนรู้จักก็เลยหยุดยืนคุยตรงนั้น
กาดสามโมงครับคุณมัส ที่เรียกอย่างนี้เพราะเป็นตลาดที่พ่อค้าแม่ค้าเขาจะเริ่มเอาของมาขายตอนบ่ายสามโมง ส่วนมากก็จะเป็นพวกกับข้าวกับปลาทั้งที่เป็นของสดและทำสำเร็จแล้ว
อมฤตทำหน้าที่เป็นไกด์อย่างดี
เท่าที่มัสลินสังเกต แม่ค้าส่วนใหญ่คล้ายจะเป็นชาวบ้านที่เอาพืชผลในสวนในไร่มาขาย บางอย่างก็เป็นของป่า มีผักหลายชนิดที่มัสลินไม่รู้จักซึ่งชฎาธารบอกว่าเป็นผักพื้นบ้านที่หาได้ตามท้องไร่ท้องนา ส่วนปลาก็มาจากแม่น้ำแถบนี้ อาหารทะเลพอจะมีให้เห็นบ้างเหมือนกันแต่ดูไม่สดสักเท่าไหร่อาจเป็นเพราะต้องลำเลียงมาไกล ส่วนอาหารปรุงสำเร็จแล้วก็เป็นจำพวกไส้อั่ว หมูทอด และน้ำพริกต่างๆมากมาย
ลาบเมืองครับ
อมฤตชี้ให้ดูอาหารที่มีลักษณะเหมือนหมูสับในกะละมังใบใหญ่ที่เอาไปทำอะไรสักอย่างจนมันกลายเป็นสีคล้ำเข้ม
ก็เหมือนลาบหมูทั่วไปแหละครับเพียงแต่ใส่เลือดปนลงไปด้วยก็เลยทำให้มีสีดำ
คนขายเชิญชวนให้ซื้อมาชิมบอกว่ารสชาติอร่อย แต่ดูจากหน้าตาแล้วมัสลินไม่นึกศรัทธาสักเท่าไหร่
แม้ป้าคำหล้าจะเตรียมของกินมาเต็มตะกร้าแต่อมฤตและชฎาธารก็ยังซื้อของกินอีกถุงโต บอกว่าจะเอาไปฝากลูกน้องที่ฐานทหารบนดอย
+++
รถวิ่งย้อนลงมาตามถนนที่กลับเข้าเชียงใหม่ แล้วเลี้ยวเข้าทางแยกที่มีป้ายบอกไว้ว่าเส้นทางไปดอยอ่างขาง ถนนลาดยางเส้นเล็กผ่านวัดและหมู่บ้านคนมาเรื่อยๆ สองข้างทางยังมีทั้งแปลงกระเทียมและสวนส้มให้เห็นเหมือนอย่างที่ผ่านๆมา
จนกระทั่งรถเริ่มเข้าเขตภูเขาเส้นทางก็เริ่มลาดชันและคดเคี้ยวมากขึ้น บางตอนถึงกับเป็นลักษณะหักกลับอย่างที่เรียกว่าเขาพับผ้า ชฎิลขับไปอย่างไม่รีบร้อน ระหว่างทางมีรถตู้ของนักท่องเที่ยวสวนมาบ้าง บางครั้งก็เป็นรถกระบะของชาวบ้านแถบนั้น มีรถเก๋งสองสามคันที่ทำท่าเหมือนจะขึ้นเนินไม่ไหว มัสลินได้แต่มองอย่างเอาใจช่วยขณะรถวิ่งผ่าน บางตอนมีดินถล่มลงมาในช่องทางที่ขึ้นไปก็จำเป็นที่ต้องชะลอรถเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีรถคนอื่นสวนเข้า บางตอนมีรั้วกั้นล้ำเข้ามาในเขตถนนแต่ก็มองเห็นว่าพื้นถนนเว้าแหว่งเพราะดินหลุดร่วงลงไปข้างล่าง หากเป็นการเดินทางหน้าฝนคงลำบากกว่านี้ไม่น้อย ยิ่งคนที่ไม่ชำนาญเส้นทางอาจพุ่งตกเขาลงไปได้ง่ายๆ
ขณะที่รถวิ่งไปเรื่อยๆมัสลินมองกลับหลังมาแล้วรู้สึกโหวงเหวงในท้อง เพราะเส้นทางที่ขึ้นมาดูสูงชันเสียเหลือเกิน ด้านซ้ายก็เป็นหน้าผา ส่วนด้านมองลงไปเป็นหุบเขากว้าง ตลาดที่จากมาเมื่อครู่เหลือเล็กกะจิ๊ดริดเหมือนเมืองตุ๊กตาภายใต้ม่านสีขาวบางๆที่แผ่คลุมอยู่
ชฎิลหักเลี้ยวรถลงถนนโรยกรวดข้างทาง ผ่านป่าสนที่ร่มครึ้มลัดเลี้ยวแนวเขาที่ปกคลุมด้วยพันธุ์ไม้เลื้อยหนาแน่นก่อนจะเลี้ยวขึ้นสู่ถนนดินไปยังลานกว้างที่มีรถจอดเรียงรายอยู่สองสามคัน อมฤตเป็นคนก้าวลงไปก่อนแล้วค่อยเปิดประตูให้ภรรยา ขณะที่คนขับก็ดับเครื่องแล้วหันมาคล้ายจะเปิดประตูให้เธอแต่มัสลินเร็วกว่าจึงก้าวลงมายืนข้างล่าง อากาศที่เย็นเพราะมีลมพัดอยู่ตลอดเวลาทำให้ต้องกระชับเสื้อหนาวขึ้นอีกนิด
คืนนี้เราจะพักที่นี่แหละ แต่ยังไม่ต้องเอาของลงหรอกนะ เดี๋ยวกลับมาอีกทีค่อยเอาลงก็ได้
ชฎิลหันไปบอกน้องชายก่อนจะแยกเดินไปยังอาคารไม้หลังขนาดกลางที่อยู่บนเนินใกล้ๆ
พี่ตามพี่ชฎิลไปทักทายหัวหน้าหน่วยสักหน่อยดีกว่า ไม่เจอกันนานแล้ว ชฎากับคุณมัสเดินเล่นแถวนี้ไปพลางๆก่อนก็แล้วกันนะจ้ะ
คล้อยหลังสามีแล้วชฎาธารก็มาคล้องแขนเพื่อนให้เดินไปยังป้ายไม้แผ่นใหญ่ตั้งบนเนินเด่นตรงหน้าที่เขียนไว้ว่า หน่วยจัดการต้นน้ำแม่เผอะ
อากาศเย็นจริง เราไปดูอุณหภูมิเถอะว่าเท่าไหร่แล้ว
แถบสีแดงในเทอร์โมมิเตอร์ที่ปักไว้ข้างแผ่นป้ายหยุดที่อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิก็ไม่ต่ำมากแต่ลมพัดจัดเลยเย็นหน่อย
มัสลินพูดแล้วแหงนมองธงชาติบนยอดเสาไม้ไผ่ที่โดนลมพัดโบกสะบัดจนเกิดเสียงดังพึ่บพั่บตลอดเวลา
กลางคืนอากาศจะเย็นลงกว่านี้ และลมก็จะแรงกว่านี้อีก
ชฎาธารพูดขณะเป่าลมรดมือ
ร่างสูงของชฎิลและอมฤตเดินลงมาจากอาคารอำนวยการพร้อมชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่ง ชฎาธารซึ่งพอคุ้นหน้ากับหัวหน้าหน่วยอยู่บ้างยกมือไหว้และพลอยทำให้มัสลินยกมือไหว้ตามไปด้วย หัวหน้าหน่วยรับไหว้แล้วยิ้มกว้างอย่างใจดี
ออกไปเที่ยวแถวนี้ก่อน แล้วเดี๋ยวเย็นๆกลับมากินข้าวที่นี่นะ
แกพูดพร้อมตบต้นแขนชฎิล ซึ่งชายหนุ่มยิ้มพยักหน้ารับ
แก้ไขเมื่อ 23 เม.ย. 48 04:18:56
จากคุณ :
Gracie Lou Freebush
- [
23 เม.ย. 48 04:12:53
]