CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    ...เสน่ห์จันทร์...[3]

    3



    บริเวณสวนบอนไซและพรรณไม้เขตกึ่งร้อนและหนาวของสถานีเกษตรหลวงอ่างขางซึ่งเป็นเหมือนเรือนเพาะชำกางมุ้งสีดำขนาดใหญ่โตกว้างขวางในเวลาสายอย่างนี้ยังคงเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศ   รวมถึงชาวเขาที่นั่งเรียงรายขายข้าวของเครื่องใช้ชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ทำขึ้นเองกับมืออยู่ด้านหน้า

    ชฎาธารคล้องแขนเพื่อนเดินนำหน้าเข้าไปก่อน   ปล่อยให้สามีตามมาช้าๆพร้อมพี่ชาย

    พอผ่านประตูทางเข้ามัสลินจึงได้เห็นว่าผู้คนกลุ่มใหญ่ที่มองเห็นได้ตั้งแต่ภายนอกนั้นมุงล้อมหน้าโต๊ะยาวเพื่อเลือกซื้อสตรอเบอร์รีลูกโตสีแดงสดซึ่งบรรจุอยู่ในถ้วยพลาสติคใส   พนักงานวัยหนุ่มสาวสวมเสื้อยืดสกรีนตัวหนังสือ”ดอยคำ”กำลังสาละวนกับการเอาถ้วยสตรอเบอร์รีที่ลูกค้าเลือกแล้วลงกล่องกระดาษ หากปากยังคอยตอบคำถามลูกค้าอื่นๆที่ทยอยเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

    “สตรอเบอร์รีที่นี่เขาคัดขนาดพิเศษเลยนะมัส พันธุ์ใหม่นี่ลูกโตมากและหอมหวานเสียด้วยสิ สายพันธุ์เดียวกับที่ไร่นั่นแหละ แต่ว่าปีนี้ยุ่งกับไร่ส้มมากไปหน่อย  ไม่มีเวลาดูแลมากเท่าที่ควร เลยสู้ของที่นี่ไม่ได้”

    ชฎาธารบอกอยู่ใกล้ๆ

    นอกจากสตรอเบอร์รี่ ผลิตภัณฑ์แปรรูปทางการเกษตรทั้งน้ำผลไม้กระป๋อง ผลไม้อบแห้ง ข้าวเกรียบและน้ำพริกนานาชนิดบนชั้นไม้ที่อยู่ถัดมาก็มีคนสนใจไม่น้อย พอๆกับของที่ระลึกจำพวกเสื้อยืดและผลิตภัณฑ์จากผ้าทอมือต่างๆที่ติดป้ายโครงการหลวง  สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ  ความสนใจเห็นจะอยู่ที่งานหัตถกรรมฝีมือชาวบ้านเป็นพิเศษ

    “ผลผลิตพวกนี้มาจากโครงการหลวงทั้งนั้นแหละ ในหลวงท่านทรงเล็งเห็นการณ์ไกล พอเอาพืชผลทางการเกษตรมาแปรรูปก็ทำให้ขายได้ในราคาสูงขึ้น แถมยังเก็บไว้ได้นานขึ้นอีกด้วย  ชาวบ้านมีรายได้มากขึ้น ลูกค้าก็ได้กินได้ใช้ของที่มีคุณภาพสูง”

    “มัสเคยเห็นของพวกนี้ที่สนามบินด้วยนะท่าทางฝรั่งชอบมากเลย แล้วโดยเฉพาะดอกกล้วยไม้ไทยนี่ เห็นเขาถือกันเป็นกล่องๆทีเดียว”

    “น่าเสียดายที่เรามาสายไปหน่อย ดอกกุหลาบก็เลยขายหมดแล้ว ฉันรับรองว่าเธอต้องชอบมากแน่ทีเดียว”

    “อ๋อ มัสเห็นแล้วล่ะ ตอนที่เราเดินเข้ามาสวนกับผู้หญิงคนหนึ่ง เห็นเขาอุ้มดอกกุหลาบสีแดงสดไปนับสิบดอกได้มั้ง ยังคิดเลยนะว่าสวยมาก กลิ่นหอมฟุ้งเชียว”



    ถัดจากแถวจำหน่ายผลิตภัณฑ์โครงการหลวงคือเหล่าไม้ดอกนานาพันธ์  ดอกไม้สีเหลืองสดคล้าย
    ตระกูลกล้วยไม้นารีหากแต่ต้นเล็กเตี้ยเหมือนอาฟริกันไวโอเลตบานชูช่อแข่งกับดอกสีแดงจัดจ้าพันธุ์เดียวกัน
    กลีบดอกเล็กๆนั่นดูหนานุ่มมีประกายยิบๆคล้ายเป็นเนื้อกำมะหยี่ชั้นดี  

    กล้วยไม้เมืองเหนือวางเรียงลดหลั่นเพื่ออวดความงามของทุกช่อดอกแม้สีสันไม่จัดจ้านเท่าไม้กลุ่มแรก หากจุดสีน้ำตาลแต่งแต้มบนกลีบขาวนวล ชมพู จนถึงม่วงคล้ายมีใครสะบัดปลายพู่กันไว้ก็เป็นเสน่ห์ดึงดูดไปอีกแบบ

    พิทูเนียและไม้ดอกสกุลเดียวกันทั้งที่แขวนห้อยเป็นแนวเหนือราวไม้และในกระถางใหญ่  รวมถึงอาฟริกันไวโอเลตหลากสีหลายพันธุ์ดูจะกินอาณาบริเวณไม่น้อยในสวนแห่งนี้ สีสันสดใสเรียกความสนใจจากนักท่องเที่ยวชาวไทยได้พอๆกับนาร์ซิสซัสสีขาวแกมเหลืองกอหนาที่มองดูเหมือนมีคนเอาไข่ดาวถาดใหญ่ไปวางไว้ใต้โคมญี่ปุ่นต้นเขื่อง

    ในขณะที่คนไทยสนใจพันธุ์ไม้ดอกเมืองหนาว  นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกลับจับกลุ่มหน้ามุมกล้วยไม้ไทย  รื่นรมย์กับกลิ่นหอมหวานของเอื้องดอยนานาชนิด

    “ดอกไม้ที่นี่สวยๆทั้งนั้นเลยนะ ต้องยกนิ้วให้คนปลูกจริงๆ”  มัสลินพูดด้วยความชื่นชม

    “ส่วนใหญ่ก็เป็นแรงงานชาวเขาแถบนี้แหละครับคุณมัส” อมฤตบอก “พวกนี้มีฝีมือทางเพาะปลูกครับ โดยเฉพาะชาวเขาจากบ้านนอแลที่เราไปมาเมื่อวาน แล้วยิ่งถ้าเป็นกุหลาบด้วยแล้ว ต้องยกให้พวกเขาเลยนะ”



    “สวยจังค่ะ”

    ภูเขาจำลองตรงหน้าถูกตกแต่งสวยงามด้วยกลุ่มไม้ดอกแซมตามแนวหินและน้ำตกสายเล็กๆที่ทิ้งตัวลงมาจากปลายยอด  กล้วยไม้ป่าโอบกระหวัดเกาะเกี่ยวต้นปาล์มและไม้ยืนต้นขนาดกลางที่ยึดรากกับหินใหญ่  มองแล้วเหมือนป่าภูเขาอันอุดม คนสวนเข้าใจจัดวางกล้วยไม้ดินและไม้ดอกให้ดูเข้ากันได้ดี  

    “เดิมที่นี่เป็นแนวหินปูนอยู่แล้วครับ หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ประธานมูลนิธิโครงการหลวง ท่านทรงดำริว่าหากได้จัดเป็นสวนคงจะงดงามมาก ก็เลยเป็นอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ล่ะครับ”

    มัสลินมองหน้าคนเล่าแล้วหันกลับไปมองภาพความสวยงามตรงหน้าอีกครั้งด้วยความทึ่ง




    +++


    “เราเข้าไปดูในนั้นได้ไหมชฎา”

    มัสลินถามหลังออกจากเรือนกางมุ้งหลังใหญ่ แล้วหันไปเห็นป้าย “แปลงทดลองพันธุ์กุหลาบเพื่อธุรกิจ”หน้าเรือนเพาะชำหลังย่อมอีกฟากถนน

    เพียงเพื่อนพยักหน้าเธอก็ก้าวเท้าข้ามไปแทบจะในทันที

    ทางเข้าที่อยู่ด้านข้างต้องเดินผ่านแปลงปลูกสตรอเบอร์รี   พุ่มสีเขียวเล็กๆนั้นน่ารักไม่น้อย   หากแต่ความสนใจตอนนี้อยู่ที่เจ้าดอกไม้งามหนามแหลมข้างในมากกว่า


    ภายใต้ร่มแดดรำไร  กุหลาบสูงเกินศีรษะยืนต้นเรียงเป็นแถวบนร่องดินที่ทอดไปตามแนวยาวทักทายก้าวแรกของคนเข้าชมด้วยกลิ่นหอมอวล  กุหลาบสีโศกดอกใหญ่สะดุดตาโน้มกิ่งต่ำลงมาด้วยบานเต็มที่แล้ว  ยิ่งเข้าไปยืนใกล้ๆมัสลินยิ่งทึ่งเพราะขนาดของมันเกือบเท่าใบหน้าของเธอเลยทีเดียว หญิงสาวเขย่งปลายเท้าสูดดมความหอมหวานจากใจกลางเกสรอันอ่อนละมุนนั้น

    “ชื่นใจจังเลยนะ”

    ...

    เงาคนแว่บทางหางตากลับไม่ใช่ชฎาธารอย่างที่มัสลินคิด

    ชฎิลขยับมุมปากคล้ายยิ้มรับนิดนึง  เขาพูดต่อเหมือนไม่รับรู้อาการเก้อๆของเธอ

    “กุหลาบในนี้เป็นพันธุ์ที่กำลังอยู่ระหว่างทดลองปลูก    ที่คัดมาเป็นพันธุ์ดีๆทั้งนั้น    มีทั้งที่นำเข้ามาและเป็นพันธุ์ที่ผสมเองที่นี่    ซึ่งถ้าได้ผลดีก็จะปลูกเป็นการค้าต่อไป”

    แม้ไม่มีคำลงท้ายแต่คนเล่าก็ทอดเสียงรื่นหู

    “ทำไมเราต้องทดลองปลูกด้วยล่ะคะ  ในเมื่อพันธุ์ที่คัดมาก็เป็นพันธุ์ดีทั้งนั้น”

    “ก็เหมือนต้นไม้ทั่วๆไป   พอผิดจากดินฟ้าอากาศที่เคยอยู่ก็ต้องใช้เวลาในการปรับตัวทั้งนั้น   หากต้นไหนอ่อนแอหรือปรับตัวไม่ได้ก็ตาย   หรือหากปรับตัวได้แต่คุณภาพดอกผลที่ได้ไม่มีคุณภาพพอก็ไม่คุ้มที่จะลงทุน   ...สำหรับสินค้าเกษตรแล้ว คุณภาพเป็นเรื่องสำคัญ   ยิ่งมีคู่แข่งมาก   เราก็ต้องยิ่งปรับปรุงผลผลิตของเราให้มีคุณภาพทัดเทียมกันหรือสูงกว่า   เพราะนั่นหมายถึงผลตอบแทนที่ต่างออกไปมากทีเดียว”

    “จริงสินะคะ อย่างคนเราพลัดบ้านพลัดเมืองยังต้องการเวลาปรับตัวปรับใจเลยค่ะ   อย่างมัส.. ขนาดคุ้นเคยกับการย้ายบ้านไปเรื่อยๆ  แต่จะปรับตัวทีก็ใช้เวลานานเหมือนกัน  พอเริ่มคุ้นก็ต้องย้ายอีกแล้ว  อย่างนี้มังคะ  มัสถึงไม่ค่อยมีเพื่อนสักเท่าไหร่  มีแต่ชฎานี่แหละที่ยังคบกันมาเหนียวแน่นคงทน”

    แววเศร้าแตะแต้มในดวงตาคู่สวยชั่วแว่บก่อนเจ้าตัวจะรีบเปลี่ยนเรื่อง

    “แปลงในโน้นเป็นอะไรหรือคะ”    มัสลินชี้ไปยังช่องประตูที่เปิดไปยังเรือนถัดไป

    “ก็เป็นพวกกล้าไม้ที่เราเห็นในสวนเมื่อกี้นั่นแหละ  แล้วก็มีกุหลาบพันธุ์อื่นที่ต้นไม่สูงอย่างนี้  จะเข้าไปดูก็ได้นะ”

    มัสลินเดินเข้าไปกวาดตามองตามร่องยาวๆหลายร่อง  มีเพียงต้นไม้ไม่กี่ต้นที่ออกดอก  นอกนั้นก็เป็นต้นกล้า  ส่วนขวามือคือกุหลาบต้นขนาดใส่กระถางปลูกตามบ้าน  ไม่ใช่กุหลาบต้นสูงเลยศีรษะอย่างแปลงที่ผ่านมา  ดูไม่น่าสนใจนักเธอเลยเดินกลับออกมา


    +++



    หน้าเรือนเพาะชำข้างแปลงปลูกสตรอเบอร์รี  อมฤตกับชฎาธารยืนคุยกับชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่ง  ท่าทางนอบน้อมของเขาและบุคคลิกลักษณะอันผึ่งผายของฝ่ายชายทำให้มัสลินคาดว่าอาจเป็นผู้บังบัญชาของอมฤต  ฝ่ายหญิงจับไม้จับมือชฎาธารและพูดคุยด้วยท่าทางเอื้อเอ็นดู  บอกว่าคงคุ้นเคยกันอยู่ไม่น้อย  มัสลินแอบสบตาเพื่อนและส่งยิ้มให้อย่างเข้าใจก่อนที่จะเดินเลี่ยงไปที่รถ


    เหลียวไปมองคนที่เดินออกมาจากเรือนกุหลาบด้วยกัน  เห็นเขากำลังสนใจกับต้นสตรอเบอร์รีในแปลง  มัสลินเลยเดินเรื่อยๆคิดจะกลับไปที่รถ  ระหว่างทางผ่านชาวเขาที่นั่งขายของที่ระลึกใกล้แนวแปลงสตรอเบอร์รี  ส่วนใหญ่ทำจากวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น  ที่มีมากเห็นจะเป็นห่วงกลมๆถักจากหญ้าหรือเถาวัลย์หลากสี

    เจ้าห่วงที่ว่าน่าจะเป็นสินค้ายอดนิยม เพราะนอกจากที่วางขายกับพื้นแล้วยังมีเด็กชาวเขาแต่งกายด้วยชุดประจำเผ่าหลายคนเอาเชือกมาร้อยห่วงเป็นพวงโตคล้องใหญ่เดินเร่ขายนักท่องเที่ยวแถวนั้น

    โชคดีเป็นของหญิงสาวเมื่อนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่เพิ่งลงมาจากรถตู้สามสี่คัน  เด็กๆเลยเฮละโลไปที่ลูกค้ากลุ่มใหม่  เปิดโอกาสให้เธอเดินมองสินค้าตามแผงที่วางอยู่กับพื้นดินได้ตามสบายอย่างไม่ต้องห่วงว่าจะถูกมะรุมมะตุ้ม

    มัสลินหยุดที่หน้าแผงหนึ่ง  หยิบเจ้าห่วงที่ว่านี่ขึ้นมาดูอย่างสนใจ  หญิงชราชาวเขาเจ้าของแผงยิ้มต้อนรับกว้างจนเห็นฟันสีดำที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่ซี่ในปาก  แกพูดอะไรหลายคำซึ่งคงเป็นคำเชิญชวนให้ซื้อของของแก  แต่มัสลินฟังไม่ค่อยเข้าใจนักก็เลยได้แต่ยิ้มตอบ

    “กำไลถักจากหญ้า  เรียกว่า  ชิ..”

    เสียงทุ้มมาจากคนที่ก้าวเข้ามาใหม่  ชฎิลทรุดนั่งข้างๆและอธิบายต่อเมื่อมัสลินทวนคำด้วยสีหน้างงๆ

    “บางทีก็เรียก ..ชิปุแค..”  

    คนพูดพยายามออกเสียงช้าเพื่อให้คนฟังได้ยินชัดเจน  

    “งานฝีมือที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวเขาเผ่านี้ เขาจะเอาหญ้าไปย้อมสีแล้วมาถักด้วยมือจนเป็นวงอย่างที่เห็นนี่”

    มือใหญ่แข็งแรงหยิบกำไลขึ้นมาหนึ่งวง  ยื่นมาเทียบกับกำไลที่มัสลินถืออยู่

    “แต่ละวงจะมีลวดลายและสีสันไม่เหมือนกัน  ถ้าสนใจจะเก็บไปเป็นที่ระลึกก็ได้นะ  ราคาถือว่าถูกมากทีเดียว”

    ชฎิลบอกแล้วหันไปยิ้มกับแม่เฒ่าชาวเขา  เหมือนแกจะยิ้มมากกว่าเดิม  คงดีใจที่มีคนมาช่วยขายของกระมัง  


    มัสลินรับกำไลจากชฎิล และเมื่อกวาดตาดูทั่วแผงแล้ว  เธอก็ตกลงใจเลือกกำไลคู่ที่อยู่ในมือนี้แหละ  ครั้นจะหยิบเงินจากกระเป๋ากางเกง.. มัสลินใจหายวาบ  ก็กางเกงตัวนี้ไม่มีกระเป๋านะสิ  ซึ่งก็หมายความว่าเงินทั้งหมดอยู่ในเป้ในรถ  

    มัสลินมองกำไลในมือแล้วก็มองหน้าคนขายอีกครั้ง  ใบหน้ายิ้มแย้มจนเห็นรอยยับย่นทำให้ลังเลอยู่นิดหนึ่งก่อนจะเอียงหน้าไปบอกคนข้างๆด้วยเสียงเบาราวกระซิบ

    ชฎิลทำหน้าเฉยเมื่อหยิบเหรียญส่งให้หญิงชราเป็นค่ากำไล  แน่ล่ะคนอย่างเขาคงไม่ล้อเธอหรอก  ถ้าแอบนึกตำหนิอยู่ในใจล่ะไม่แน่




    “คุณชฎิลคะ”  

    มัสลินเรียกชายหนุ่มที่เดินนำไปข้างหน้าไม่เต็มเสียงนักแต่ก็ดังพอที่เขาจะหันมา  ไม่ทันอ้าปากจะพูดต่อ  เสียงเรียบๆก็ขัดขึ้นราวกับรู้ใจเธอทีเดียว

    “ถือว่ากำไลคู่นี้เป็นของที่ระลึกสำหรับการมาเยี่ยมไร่เรือนจันทร์ก็แล้วกัน  หวังว่าคุณคงไม่คิดจะเอาเงินไม่กี่บาทมาคืนผมหรอกนะ”

    พูดจบเขาก็ก้าวเดินออกไปทันที  ไม่รอฟังคำขอบคุณด้วยซ้ำ  มัสลินมองตามแผ่นหลังกว้างๆที่ก้าวห่างออกไปทุกทีด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

    เขาก็เป็นคนมีน้ำใจอยู่หรอกนะแต่ถ้ากลัวดอกพิกุลร่วงน้อยกว่านี้ก็คงดี  ถึงตอนนี้แล้วมัสลินยังนึกภาพหนุ่มเนื้อหอมอย่างที่ชฎาธารบอกไม่ออกเลย

    แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 48 05:41:46

    แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 48 05:20:05

    จากคุณ : Gracie Lou Freebush - [ 27 เม.ย. 48 04:51:21 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป