ณ บ้านหลังโตกลางเมือง
เวลาตีสองกว่า ๆ เสียงย่ำเดินไล่ความเงียบสงัด แสงสลัวจากไฟบนเพดานประดับโคมไฟ สาดทอทับร่างชายคนหนึ่ง เขาสวมชุดสูทสีน้ำเงินเข้ม รองเท้าเป็นมันวาววับปะตรายี่ห้อแบรนด์หรู ร่างที่อยู่ในเสื้อผ้านี้ เป็นชายที่ทรงอิทธิพลทางการเมืองมากที่สุดในประเทศนี้
เขาก้าวเดินมุงตรงไปยังห้องทำงาน เสียงย่ำเท้าดังกึกก้องสะท้อนไปทั่วบริเวณบ้านที่ร้างไร้ผู้คน เพียงชั่วครู่เขาก็มาถึงจุดหมาย พร้อมทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วเอื้อมมาไปเปิดโคมไฟที่หัวโต๊ะ ทันทีที่แสงไฟสีขาวนวลแผ่รังสีทั่วห้อง เขาก็ต้องชะงัก
สวัสดีครับ ผมรอท่านอยู่นานแล้ว
เสียงนี้เปล่งออกมาจากชายคนหนึ่งที่มุมห้อง เขาสวมเสื้อผ้ารัดกุมสีดำทั้งตัว ในมือถืออาวุธสำหรับเข่นฆ่าผู้คน ชี้ปลายกระบอกมายังชายเจ้าของห้อง
แกเป็นใคร คำถามเหมือนไม่ใช่คำถาม เขารู้ดีอยู่แล้วว่าชายหนุ่มชุดดำนั้น ไม่ใช่ผู้ประสงค์ดีอย่างแน่นอน มาถึงตอนนี้เขาก็สำนึกเสียใจที่ไล่ให้ตำรวจอารักษ์ขากลับไป แทนที่จะให้อยู่โยงเฝ้าเขาเช่นปกติ แต่มันก็สายไปเสียแล้ว
ทางที่ดีท่านอย่าขยับดีกว่าครับ แล้วก็ช่วยเอามือวางไว้บนโต๊ะให้ผมเห็นด้วย ชายหนุ่มชุดดำข่มขู่เขา ทั้งยังออกคำสั่งด้วย ในประเทศนี้จะมีใครกล้าพูดเช่นนี้กับเขาได้ ซึ่งในห้วงอันตรายเช่นนี้ กลับได้รับข้อยกเว้น เขาปฏิบัติตามอย่างโดยดี พร้อมทั้งเปิดทางเจรจา โดยหวังจะให้วาทะช่วยให้รอดพ้นจุดอับไปได้ เขาเอ่ยนำขึ้นมาว่า
ฉันมีข้อเสนอให้ ลองฟังดูก่อนไหม เป็นการเปิดประเด็นสนทนาที่ทำให้คู่สนทนาเกิดความอยากรู้ และก็เป็นเทคนิคที่เขาใช้บ่อยๆ ด้วย
เงินเหรอครับ ผมไม่ต้องการหรอก หรืออย่างอื่นก็ไม่เอาครับ ชายชุดดำปิดประเด็นสนทนา ที่เขาอุตสาห์วางไว้อย่างรวดเร็ว ถึงอย่างไรก็ตาม อย่างน้อยปลายกระบอกปืนก็ลดลงมา แสดงว่ายังมีทางให้แก้ไขได้ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปิดประเด็นใหม่
แล้วนายต้องการอะไร หรือว่ามีปัญหาที่จะให้ช่วย บอกมาได้เลย เขาพูดหว่านแหกว้างขึ้น ในขณะเดียวกันก็แสดงสีหน้าเรียบเฉยหวังให้อีกฝ่ายเกิดความเกรงกลัว
ผมบอกแล้วไงครับ ว่าไม่ต้องการอะไร ถ้าท่านจะให้ ผมขออย่างเดียวเท่านั้นล่ะครับ ชายหนุ่มหยุดเว้นวรรคคำพูด ก่อนจะพูดต่อออกมาอย่างช้าๆ แต่ว่าเสียดแทงจิตใจผู้รับฟัง
ผมขอชีวิตท่าน
ใครสั่งแกมา เขาถามเพื่อรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุด และในขณะเดียวกันก็คิดหาหนทางอื่นๆ ที่หนีพ้นจากคมกระสุนของชายชุดดำที่อยู่มุมห้อง
ไม่มีใครสั่งครับ ผมมาเอง พูดเสร็จก็ขยับเดินเข้ามาใกล้
แกหนีไม่รอดหรอก ตำรวจที่อยู่นอกบ้านจะมาหลังได้ยินเสียงปืน เขาพยายามโยกคลอนความคิดของฝ่ายตรงข้าม ด้วยการบอกจุดจบ พร้อมกับจ้องมองไปยังใบหน้าของชายชุดดำ เขาเห็นชายชุดดำนั้นเสยะยิ้ม เหมือนไม่กลัวคำขู่ พร้อมกับชี้ปลายกระบอกปืนมาทางเขาอีกครั้ง
เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาของท่านหรอกครับ
ถ้าไม่ใช่เรื่องเงิน ไม่ใช่เรื่องปัญหาชีวิต แล้วก็ไม่มีมีใครสั่ง แกจะทำทำไม น้ำเสียงของเขาเริ่มมีแสดงถึงอาการฉุนเฉียว ในชั่วชีวิตนี้มีไม่กี่คนหรอก ที่ทำให้เขาโกรธแล้วจะรอดพ้นการตอบโต้ไปได้ เขาจ้องมองชายชุดดำตาไม่กระพริบ พลางคิดหาหนทางเอาตัวรอดทางอื่น แต่ทันใดนั้น
ปัง!
ความปวดร้าวแผ่ซ่านจากทรวงอกด้านขวา มันเหมือนไฟลามเลียที่ค่อยๆ ไหลเลื้อยไปยังทุกส่วนของร่างกาย เขาใช้มือกุมอกโดยอัตโนมัติ เลือดเสียแดงเข้มไหลทะลักออกมา ชั่วแวบหนึ่งเขารู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม เขายังไม่ได้รู้ถึงสาเหตุ รวมถึงยังไม่ได้พูดคุยให้รู้เรื่อง เขาเชื่อว่า ถ้าชายชุดดำยอมพูดคุยกับเขา คุยจะแจกแจงผลดีผลเสีย รวมถึงเกลี้ยกล่อมให้ชายชุดดำยอมเปิดเผยโฉมหน้าผู้บงการออกมาได้ แต่นี่ มันไม่ยุติธรรม! มันไม่ยุติธรรม! สติของเขาเริ่มพร่าเลือน และในห้วงคำนึงสุดท้ายของชีวิต ก่อนลมหายใจเฮือกสุดท้ายจะแผ่วหายไป เขาได้ยินเสียงเรียกร้องของเพื่อนยามเด็ก เสียงนั้นสดในร่าเริง เสียงเพื่อนของเขากล่าวชวนเขาว่า
แม้ว เฮาไปเล่นน้ำกั๋นเตอะ
ชายชุดดำเดินเข้ามาใกล้ศพ ใบหน้ายื่นเข้ามาใกล้ สีหน้ายังเรียบเฉย แล้วพูดออกมาว่า
ตอนนี้ มันไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลหรอกครับ
++++++++++++++++++++++++++++
ในวันต่อมา
หนังสือพิมพ์ทุกฉบับ และโทรทัศน์ทุกช่อง กล่าวถึงเหตุการณ์ลอบสังหาร มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยมาสอบสวนหลายคน แต่ก็ยังหาคนร้ายไม่ได้
+++++++++++++++++++++++
10 ปีต่อมา
คดีการลอบสังหารยังปิดไม่ได้ ปริศนายังไม่ถูกไขออกมา แต่มีผู้ได้ผลประโยชน์จากมันมากมาย ทั้งวิทยุโทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ มีการสร้างภาพยนตร์สามครั้งด้วยมุมมองที่แตกต่างกัน มีหนังสือที่เขียนเกี่ยวเนื่องกับเรื่องนี้นับสิบเล่ม แม้แต่ศิลปินเพื่อชีวิตผู้หันมาผลิตน้ำดื่มมัวเมาประชาชน ก็แต่งเพลงเกี่ยวกับการลอบสังหารครั้งนี้ด้วย นี่ยังไม่นับกลุ่มผู้ขับรถบรรทุกทั่วประเทศต่างนำภาพของท่านมาติดที่กันสาดบังโคลนรถ แล้วยังมีกระแสอื่นอีกที่เป็นปลีกย่อยพอจะกล่าวได้ดังนี้
- พ่อแม่ตั้งชื่อบุตรหลานให้เหมือนกับชื่อของท่าน
- คำว่า เด็กแม้ว หมายถึงคนที่มีอิทธิพล
- มีการสร้างอนุสาวรีย์ที่บ้านเกิดของท่าน ผู้คนต่างพากันไปกราบไหว้ นอกจากนี้ ยังมีคนดวงดีถูกรางวัลสลากกินแบ่ง หลังจากไปเอาดอกไม้ไปกราบไหว้อนุสาวรีย์ ทำให้ผู้คนหลั่งไหลจากทุกสารทิศ เพื่อไปขอเลขเด็ด
- มีหมอดู (ที่เรียกตัวเองว่าโหร) ต่างก็อ้างว่ารู้ล่วงหน้าว่าจะมีคนมาลอบสังหารท่าน พร้อมทั้งบรรยายวันเวลาเกิดเหตุระเอียดยิบ เหมือนกับนั่งอ่านหนังสือพิมพ์มาเลย
- มีคนทรงเจ้าบางคน แอบอ้างว่าสามารถเชิญท่านมาเข้าทรงได้ด้วย
- มีบริษัทโดนัท ผลิตโดนัทรูปสี่เหลี่ยมแล้วตั้งชื่อให้คล้องกับชื่อของท่าน ทำให้ยอดขายเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์
- จากการเปิดเผย กลุ่มนายแบบส่วนใหญ่ นิยมเสริมกราม
- นักการเมืองหลายคนออกมาบอกเล่าว่า พวกเขาก็ตกเป็นเป้าสังหารเหมือนกัน บางคนบอกว่าเคยพบกับคนร้ายมาแล้ว พร้อมทั้งพานักข่าวไปบ้านโชว์รอยกระสุน ที่ขอบประตู (ภายหลังหลังพิสูจน์ได้ว่า เป็นแค่รอยตะปูเท่านั้น)
- มีกลุ่มคนต่างชาติบางกลุ่ม อ้างว่าท่านเป็นสมาชิกขององค์กรลับ ฟรีวิลลี่
- มีพยานบางคนในละแวกนั้น บอกว่าในวันที่เกิดเหตุ พวกเขาเห็นแสงประหลาดที่ท้องฟ้าในคืนนั้น
ฯลฯ
+++++++++++++++
11 ปีก่อนหน้านั้น
ที่ห้องแห่งหนึ่ง
คุณคิดว่าเขาควรออกไปแล้วอย่างนั้นหรือ
จากที่ผมวิเคราะห์ดูนะครับ อาการของโรค JSP ที่เขามีอยู่ไม่ร้ายแรงจนต้องกักตัวไว้กับเราอีก
พูดจบชายคนนั้นก็เลื่อนปึกเอกสารไปให้ชายสูงอายุผมสีดอกเลาอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในฝั่งตรงข้าม ชายสูงวัยพลิกดูข้อมูลในเอกสารแบบผ่านๆ จากนั้นก็ปิดมันลง หันไปเอ่ยถามกับชายฝั่งตรงข้ามว่า
แล้วบอกญาติเขาหรือยังล่ะ
บอกแล้วครับ แต่ยังไม่ได้กำหนดวันรับตัว รอแต่ผู้อำนวยการอนุญาติก่อน แล้วค่อยบอก
ชายสูงวัยลุกขึ้นจากโต๊ะ เหลือบตามองผ่านมู่ลี่ที่กันแสง ในยามว่างๆ หรือต้องใช้ความคิด เขามักจะมองดอกไม้สีสวย ที่ปลูกอยู่ในแปลงด้านนอกเป็นประจำ ดอกไม้หลากหลายพันธุ์ เฉกเช่นผู้คน แต่ก็มีดอกไม้บางพันธุ์ที่เติบโตขึ้นมาอย่างผิดธรรมชาติ บางต้นบิดเบี้ยว บางต้นออกดอกที่ไม่สมบูรณ์ เขาเคยสั่งคนจัดสวนไว้ ไม่ให้ รื้อถอนต้นไม้ที่ไม่สมบูรณ์พวกนี้ออกก่อนได้รับอนุญาติ แม้ว่ามันจะไม่งดงาม แต่พวกมันก็มีความสมบูรณ์พร้อมในตัวของมันเอง เขาหันหน้ากลับมายังผู้ใต้บังคับบัญชาที่นั่งรอคอยคำตอบ แล้วเอ่อข้อสงสัยบางประการ
แล้วผลการศึกษาของคุณ อาการเขาเป็นอย่างไรบ้างล่ะ
ผลที่แสดงออกของโรคนี้จะขึ้นอยู่กับสติปัญญาของผู้ป่วยครับ บางคนอาจจะคิดไปได้ในสองหรือสามระดับ บางคนอาจจะมากกว่านั้น
แล้วคนไข้ของคุณคิดได้ในระดับไหนล่ะ เขาถามย้ำอีกครั้ง
ผมศึกษาตามแบบทดสอบมาตรฐาน ลองเอาผลมะม่วงดิบวางให้เขาวาด ถ้าผู้ป่วยทีคิดได้ในสองหรือสามระดับ มักจะวาดผลมะม่วงสุก หรือไม่ก็ผลมะม่วงที่เน่าแล้ว แต่สำหรับเขา
แทนคำตอบชายที่นั่งอยู่ดึงปึกรายงาน เข้ามาใกล้ตัว จากนั้นพลิกหน้ากระดาษไป พลิกไปสักพักหนึ่ง แล้วก็กางหน้ากระดาษส่งให้ชายสูงวัยที่ยืนอยู่ดู พร้อมกับกล่าวคำตอบสำทับ
เขาไม่วาดอะไร
+++++++++++++++++++++++
โรค JSP ซินโดรม
ตั้งตามชื่อของนักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่ง (ขออภัยผมจำชื่อเขาไม่ได้แล้ว) ผู้มีแนวคิดว่าการกระทำทุกอย่างของมนุษย์และจักวาลนั้น สามารถวัดคำนวณได้ด้วยสมการทางคณิตศาสตร์ เขากล่าวว่า ทุกอย่างตั้งแต่เกิดจนตายนั้น ถูกกำหนดไว้แล้ว เพียงแต่เราไม่สามารถหากตัวสมการนั้นพบ และเมื่อใดก็ตามที่สมการนั้นถูกค้นพบขึ้น เราก็จะรู้ว่า ในอีกสิบวันข้าง เราจะอยู่ที่ไหน หรือแม้กระทั่ง สิบปีข้างหน้าก็สามารถบอกได้อย่างแม่นยำ
สำหรับอาการของผู้ที่ป่วยเป็นโรค jsp นั้น ผู้ป่วยจะมีกระบวนการคิดล่วงหน้า เป็นลำดับขั้นตอน ในกิจกรรมทุกอย่าง โดยไม่ติดอยู่กับปัจจุบัน เช่น เอาถังมาวางไว้ตรงรูรั่วของหลังคา เพราะว่าจะได้รองน้ำฝนเมื่อฝนตก ทั้งๆที่ยังเป็นหน้าร้อน หรือ ไม่ปลูกต้นไม้ยืนต้น เพราะเกรงว่าเมื่อต้นไม้โตขึ้นมาแล้วใบไม้อาจจะตกเรี่ยราด หรือมีคนเข้ามาขโมยผลไม้ ซึ่งตามปกติแล้วผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้มักจะเก็บตัว และไม่เป็นอันตรายต่อคนรอบข้าง สิ่งเหล่านี้มักจะเกิดกับผู้ป่วยที่มีระดับสติปัญญาตามปกติ
ในผู้ป่วยที่มีระดับสติปัญญาสูงเกินปกติ จะมีลำดับการคิดซับซ้อน จนสามารถคิดลำดับขั้นตอนของเหตุการณ์ต่อเนื่อง ล่วงหน้าเป็นเวลาหลายๆ วัน หรือหลายเดือน ส่วนผู้ป่วยที่สามารถคิดลำดับเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ไกลถึงระดับปี ยังไม่มีผลการศึกษาอย่างชัดเจน เนื่องจาก ผู้ป่วยมักจะไม่มีชีวิตยืนยาว เพราะพวกเขามักจะฆ่าตัวตายไปก่อน
จากคุณ :
CyberLink
- [
6 พ.ค. 48 02:45:51
A:203.113.51.132 X:203.151.140.112 TicketID:095150
]