CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    ... เสน่ห์จันทร์ [5] ...

    ++++


    ประตูไม้สักบานใหญ่ยังปิดเงียบ   ชฎิลค่อยๆแง้มเปิดเข้าไปด้วยกลัวเสียงดังรบกวนคนเจ็บ   เขาก้าวเท้ายาวผ่านที่นอนซึ่งนงพับเก็บไว้เรียบร้อยมุมห้องก่อนจะลงเรือนไปตั้งแต่รุ่งสางเพื่อจัดเตรียมให้ลูกเล็กสองคนไปโรงเรียน

    จนเขามาหยุดยืนข้างเตียงอย่างนี้ คนที่กำลังหลับยังคงทอดลมหายใจยาวสม่ำเสมออย่างไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมา   เสี้ยวหน้าด้านข้างที่ซุกแนบหมอนนั้นมองดูคล้ายเด็กซนมากกว่าจะเป็นหญิงสาววัยยี่สิบเศษ   เส้นผมอ่อนนุ่มซอยสั้นปรกระเหนือขมับพรางผ้าปิดแผลไว้บางส่วน   ถัดลงมาจากคิ้วเรียวคือแพขนตาหนาทาบทับผิวแก้มอ่อนใสซึ่งออกแดงเรื่อด้วยพิษไข้และเปลวแดดจากการที่เจ้าตัวชอบเที่ยวเล่นกลางแจ้ง   จมูกโด่งรับกับริมฝีปากบางหยักโค้งที่แม้ในยามหลับอย่างนี้ก็ดูเหมือนกำลังยิ้มน้อยๆ


    +++



    ชฎิลยังจำเหตุการณ์เมื่อวานได้เป็นอย่างดี...



    เมื่อเขาเลี้ยวมาที่หัวแปลงสามคนงานก็กำลังมุงอะไรอยู่สักอย่าง  ทันทีที่คนงานแหวกเป็นช่องให้เข้าไปดู    ชฎิลก็ใจหายวาบเมื่อเห็นร่างที่นอนเค้เก้อยู่ในกอหญ้าข้างถนนได้ถนัด     ไกลออกไปคือจักรยานที่บิดเบี้ยวผิดรูปใต้ล้อหน้าของรถหกล้อขนส้ม

    เขากระโจนทีเดียวก็ถึงร่างนั้น  มัสลินนอนหลับตานิ่ง  มีเลือดออกอยู่ตรงไรผม    เมื่อลองเรียกเบาๆเธอก็นิ่วหน้า  กระพริบตามองเขาทีหนึ่งแล้วหลับตาลงไปอีก    เขาสำรวจร่างกายเธอจนแน่ใจว่าไม่มีส่วนใดแตกหักแล้วก็รีบอุ้มมัสลินขึ้นรถโดยเร็ว

    เขาบรรจงวางร่างบางบนเบาะด้านข้างคนขับ  ปรับเอนเก้าอี้ให้เธออยู่ในท่าที่สบายที่สุดแล้วรัดเข็มขัดให้  ตัวเองอ้อมไปทางที่นั่งคนขับแล้วรถขับเคลื่อนสี่ล้อคันใหญ่ก็เหินทะยานออกจากไร่เรือนจันทร์    ชายหนุ่มพยายามขับให้เร็วแต่ก็นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้    ส่วนตาก็คอยมองถนนสลับกับหน้ามอมแมมของคนที่นั่งข้างๆไปตลอดทางเผื่อว่าเธอจะอือออขึ้นมาเวลาไหน



    “ถึงโรงพยาบาลแล้วมัสลิน”

    แพขนตาหนานั้นกระพริบถี่ก่อนเจ้าตัวจะลืมตาขึ้น  ร่างบางพยายามจะขืนตัว  

    “ฉันไม่เป็นอะไรสักหน่อย”  

    แม้น้ำเสียงจะอ่อนเบา แต่แค่เธอลืมตาขึ้นมาพูดได้เขาก็โล่งใจไปกว่าครึ่ง

    “ให้หมอดูนิดเถอะนะ”

    แล้วเขาก็จัดการให้มัสลินลงไปนั่งที่รถเข็นของทางโรงพยาบาลจนได้ โดยมีตัวเขาเองเดินตามไปด้วย

    พยาบาลบอกให้ญาติออกมารอนอกห้องฉุกเฉินก่อน แต่แววตาหวาดๆแล้วยังมือเล็กชื้นเหงื่อที่จับมือเขาแน่นทำให้ชฎิลแอบยิ้มอยู่ในใจ ...คนเก่งท่าทางไม่ถูกกับโรงพยาบาล...  เขาเลยขออนุญาตเป็นพิเศษ



    “ที่จริงเราไม่ต้องมาที่นี่ก็ได้ มัสไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆนะคะ”

    กลิ่นยาฆ่าเชื้อคงทำให้คนเจ็บใจเสียลงไปอีกเพราะใบหน้านวลนั้นขาวซีดยิ่งกว่าเดิม    ชฎิลมองแล้วรู้สึกสงสารระคนขำ  

    “แต่ที่ผมเห็นคือคุณหลับตาเงียบไปเลยนะ ผมก็ตกใจสิ”

    มือใหญ่เก็บใบไม้และเศษหญ้าออกจากหัวยุ่งๆให้อย่างเบามือ

    “ตอนนั้นมัสจุกนี่คะ พูดอะไรไม่ออกหรอก” คนเจ็บยังมีแก่ใจเถียง

    ยังไม่ทันที่ชฎิลจะตอบ   หมอซึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาก็เดินเข้ามาก่อน มือขาวสะอาดตรวจดูบาดแผลตามเนื้อตัวของหญิงสาวอย่างละเอียด  รวมทั้งข้อต่อกระดูกต่าง  ปากก็ถามเหตุการณ์ไปด้วย  งานนี้ ”ญาติ” ตอบเสียเองทั้งหมด ปล่อยให้คนเจ็บนั่งฟังตาปริบๆ    ท้ายสุดหมอก็สั่งให้พยาบาลมาทำแผล ส่วนข้อมือขวาพันผ้าไว้หนาและใส่ห่วงคล้องไว้กับไหล่   ห้ามเคลื่อนไหวเป็นเวลาสี่ห้าวันจนกว่ากระดูกจะเข้าที่



    กลับมาถึงบ้านแล้วนงเป็นคนช่วยเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้  ส่วนเขาก็เข้าครัวปรุงซุปอุ่นๆใส่ชามก่อนให้นงเอาเข้าไปให้คนเจ็บเพื่อจะได้ช่วยป้อนด้วย  มีมือซ้ายข้างเดียวมัสลินคงทำอะไรไม่ถนัดนัก  

    ตอนที่เขาเข้าไปนงกำลังให้คนเจ็บกินยา  ไม่เห็นเธอจะอิดออดเหมือนอย่างที่เขาคิด  ต่างจากท่าทีตอนอยู่โรงพยาบาล

    “รู้สึกยังไงบ้างคุณ”

    “รู้สึกเหมือนจะยอกไปทั้งตัวเลยค่ะ” เสียงตอบอ่อนเบาเพลียๆ

    “กินยาแล้วนอนเสีย คืนนี้แผลคงระบม แต่ฤทธิ์ยาจะทำให้คุณหลับได้ดี”

    เธอพึมพำขอบคุณเขาเบาๆ  ดวงตาคู่สวยหรี่ปรือก่อนจะปิดลงในที่สุด    รอจนเห็นว่ามัสลินหลับสนิทดีแล้วเขาจึงค่อยก้าวออกมาจากห้องนั้นพร้อมทั้งสั่งนงซึ่งมานอนเป็นเพื่อนว่าหากมีอะไรก็เรียกเขาได้ตลอดเวลา


    ++++


    มือใหญ่เอื้อมไปเก็บเศษหญ้าเล็กๆที่หลงติดอยู่แล้วเลยปัดผมที่ระปรกหน้าให้อย่างอ่อนโยน   คนเจ็บทำเสียงอือออในลำคอแล้วก็นิ่วหน้า

    “ปวดแผลหรือมัสลิน”

    เจ้าหล่อนกระพริบตาถี่ๆ  ก่อนจะลืมตาแล้วทำหน้างงเมื่อเห็นว่าเป็นเขา

    “นงกลับไปที่เรือนพัก เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว จะเอาอะไรหรือเปล่า ดื่มน้ำไหม”

    มัสลินยิ้มเซียวๆก่อนจะพยักหน้า  

    ชายหนุ่มช้อนหลังคนเจ็บให้อิงอกกว้างก่อนจะยื่นแก้วน้ำที่มีหลอดพร้อมจ่อให้ถึงปาก   ไม่สังเกตสักเพียงนิดว่าคนที่ก้มหน้างุดดูดน้ำจากหลอดจะมีสีแดงเรื่อๆแต้มที่ผิวแก้ม

    รอจนดื่มน้ำเสร็จชฎิลก็จัดให้เธอนอนลงอีกครั้ง

    “เมื่อคืนคุณมีไข้ตัวรุมๆ ดีที่นงคอยเช็ดตัวให้ ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นไหม”

    คนถามถือวิสาสะเอามือไปอังหน้าผากแล้วก็สรุปเอาเอง

    “ตัวเย็นอย่างนี้คงไม่มีไข้แล้วล่ะ นอนต่ออีกหน่อยก็ได้นะ”

    ประโยคหลังเขาบอกเมื่อเห็นมัสลินทำตาปรือๆอีก    ชฎิลห่มผ้าแต่เบามือก่อนจะออกจากห้อง   ไม่ได้รู้เลยว่าคนที่ทำท่าเหมือนง่วงเต็มทีมองตามแผ่นหลังกว้างพร้อมกับความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้นในจิตใจ



    +++



    โจ๊กหมูสับควันกรุ่นวางตรงหน้าคงจะมีรสดีกว่านี้หากลิ้นเธอจะไม่ขมเพราะพิษไข้   มัสลินกินเข้าไปได้ไม่ถึงสิบคำก็เบือนหน้าหนี   เจ้าของบ้านเดินมาชะโงกหน้าแล้วขมวดคิ้ว

    “รสชาติแย่มากเลยหรือ”

    มัสลินส่ายหน้าแล้วบอกว่า

    “ฉันรู้สึกขมปากน่ะค่ะ กินอะไรตอนนี้ก็ไม่อร่อย”

    นงถือถาดอาหารเดินกลับออกไปปล่อยให้ชฎิลคอยหยิบถ้วยยาและแก้วน้ำส่งให้คนที่นั่งอยู่บนเตียง  

    “คุณยังไม่ออกไปทำงานหรือคะ”

    มัสลินถามเมื่อเหลือบไปเห็นเข็มสั้นนาฬิกาติดผนังชี้ไปที่เลขเก้า

    “ไม่ล่ะ วันนี้มีงานเอกสารต้องทำที่บ้านน่ะ พักผ่อนต่อเถอะ ถ้ามีอะไรก็เรียกแล้วกัน ห้องทำงานผมอยู่ใกล้ๆนี่เอง”






    มัสลินหลับเสียเป็นส่วนใหญ่แต่นั่นก็เป็นการดีเพราะทำให้เธอไม่รู้สึกระบมมากนัก    ทุกครั้งที่เธอลืมตาตื่นจะต้องเห็นชฎิลเยี่ยมหน้าเข้ามาทุกที    ส่วนนงจะเข้ามาเมื่อเธอต้องการความช่วยเหลือและช่วยป้อนข้าวเวลาถึงมื้ออาหาร  

    จนถึงมื้อเย็นลิ้นของมัสลินก็รับรสได้ดีขึ้น   นายชฎิลดูจะพอใจเมื่อเห็นเธอกินข้าวได้เกือบหมดจาน    เขาเข้ามาดูความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนเวลานอน  

    แม้จะบอกตัวเองว่าที่เขาเข้ามาดูแลเป็นห่วงเป็นใยเพราะป้าคำหล้าไม่อยู่ดูแลทำหน้าที่นี้   และเขาคงยังไม่ไว้ใจนงเท่าป้าคำหล้า ...แต่มัสลินก็อดรู้สึกอบอุ่นไม่ได้



    +++++



    คนแรกที่มัสลินลืมตาตื่นขึ้นมาเจอคือ  ป้าคำหล้า   ทั้งที่ดีใจที่แกกลับมาแต่มัสลินก็รู้สึกว่าตัวเองแอบผิดหวังเล็กๆ

    “เป็นยังไงบ้างคะเช้านี้”

    มือหยาบแตะต้นแขนถ่ายทอดความอบอุ่นเอื้ออาทรอย่างที่มัสลินสัมผัสได้

    “ตอนที่นายบอกน่ะป้าตกใจมากเลยค่ะ ถือว่าฟาดเคราะห์ไปแล้วกันนะคะ”

    มัสลินยิ้มให้แก  เอามือข้างดีมากุมมืออวบหนานั้นอีกที

    “มัสรู้สึกดีขึ้นมากแล้วค่ะ แผลไม่ค่อยระบมสักเท่าไหร่ แล้วพ่ออุ๊ยล่ะคะหายแล้วหรือ”

    “หมอให้กลับบ้านได้แล้วค่ะ   นี่นายก็ให้มานอนที่ห้องเล็กติดครัวนั่นแหละค่ะ   บอกว่าถ้าเป็นอะไรไปจะได้พาไปส่งโรงหมอทัน  ป้าก็เห็นว่าดีจะได้ช่วยดูคุณด้วย”

    “ลำบากแย่เลยนะคะ ต้องพยาบาลคนเจ็บถึงสองคนอย่างนี้”

    “ไม่ลำบากหรอกค่ะ นี่งานบ้านนายก็ยังให้นงมันช่วยทำอยู่   ป้าแค่ดูแลเรื่องกับข้าวกับปลาน่ะค่ะ   ป้าไม่อยู่เป็นยังไงบ้างคะ คุณมัสทานอาหารที่นี่ได้หรือเปล่า”

    “รสชาติดีเทียวค่ะ ไม่ยักรู้ว่าพ่อครัวที่โรงเลี้ยงจะทำซุปแบบฝรั่งได้ด้วย”

    คนฟังหัวเราะ  โบกไม้โบกมือวุ่นวาย

    “ไม่ได้มาจากโรงเลี้ยงหรอกค่ะ นงมันเพิ่งบอกให้ฟังเมื่อกี้นี้เองว่านายเป็นคนลงมือ   ก็ตั้งแต่เย็นวันที่คุณเจ็บนั่นแหละค่ะ”  

    คราวนี้คนนอนฟังตาโต  อ้าปากค้าง

    “ปกติไม่ทำให้ใครทานง่ายๆหรอกค่ะนอกจากอารมณ์ดีจริงๆ   คุณมัสรับของเช้าเลยนะคะเดี๋ยวจะได้ทานยา  ข้าวต้มผีมือป้าไม่รู้จะสู้ฝีมือนายได้หรือเปล่า”

    ป้าคำหล้าแกล้งทำสุ้มเสียงล้อเลียนก่อนจะเดินออกจากห้องไป



    +++++



    มัสลินได้เจอชฎิลอีกครั้งในตอนเย็นที่โต๊ะอาหาร    เมื่อป้าคำหล้าประคองเธอออกมานอกห้องเป็นครั้งแรกในรอบสองสามวันที่ผ่านมานี้  

    ชายหนุ่มช่วยเลื่อนเก้าอี้และประคองเธอให้นั่งลง   ส่วนป้าคำหล้านั้น พอตั้งสำรับเสร็จก็ขอตัวไปดูสามีแกบ้าง

    “แผลคุณเป็นยังไงบ้าง”   เขาเอ่ยทักเป็นคำแรก

    “เริ่มแห้งแล้วค่ะ แล้วมันก็ตึงๆ ยังเดินไม่สะดวกสักเท่าไหร่”

    “คุณน่าจะพักต่ออีกสักหน่อยนะ เดี๋ยวแผลอักเสบจะหายช้า”   ชฎิลขมวดคิ้วอย่างที่เขาชอบทำ

    “ไม่ไหวแล้วล่ะคะ  มัสอยากออกมาข้างนอกบ้าง  อยู่ในห้องสองวันรู้สึกเหมือนจะขาดใจตายให้ได้”

    อะไรไม่รู้ที่ทำให้เธอพูดกับชฎิลได้อย่างสบายเหมือนที่พูดกับเพื่อนสนิท  ลูกกะตาที่เขามองมาเหมือนมีประกายระยิบระยับ  ถ้าให้อ่านใจเขาคงกำลังพูดว่า

    “ผมเชื่อล่ะ ไม่อย่างนั้นคุณไม่ต้องมานอนแกร่วอยู่บนเตียงเป็นสองสามวันอย่างนี้หรอก”




    +++++



    เป็นครั้งแรกอีกเหมือนกันที่มัสลินได้ออกมานั่งตากลมที่ระเบียงหลังกับเจ้าของบ้าน   เดิมเขาจะไม่ยอมเพราะเป็นห่วงกลัวไข้กลับ   แต่เมื่อป้าคำหล้าหาเสื้อหนาพร้อมผ้าพันคอให้   เขาจึงไม่อยากค้านด้วยว่าเห็นใจคนที่ต้องนอนแซ่วอยู่บนเตียงเสียหลายวัน

    “มัสไม่รู้จะขอโทษหรือขอบคุณคุณก่อนดี”

    คนที่นั่งจิบกาแฟเพลินๆหันมาเลิกคิ้วฉงน

    “ขอโทษที่มัสทำแต่เรื่องยุ่งให้คุณเดือดร้อนอยู่เรื่อยทั้งที่คุณมีงานหนักมากอยู่แล้ว”

    คนฟังวางถ้วยกาแฟ  ยกมือกอดอกเอียงหน้าน้อยๆ  ในสีหน้าผ่อนคลายอย่างนั้นมัสลินกลับรู้สึกว่าสายตาที่ทอดมองมายิ้มๆอย่างไรพิกล คำพูดที่เอ่ยออกมาจึงตะกุกตะกักไปนิดนึง

    “มัสอยากขอบคุณที่ช่วยดูแลมัส ทั้งที่บางอย่างคุณก็ไม่ต้องเหนื่อยทำเองเลย”

    ที่กลั้นใจพูดต่อได้จนจบเพราะเธอเสไปมองพระจันทร์ครึ่งค่อนดวงบนฟ้าแทน

    “ผมไม่ได้ลำบากอะไร”

    เป็นคำตอบที่แปลกที่สุดในความรู้สึกของมัสลิน  

    เขาไม่ได้ปฏิเสธว่าเธอไม่ได้ทำเรื่องยุ่ง  ไม่ได้บอกว่าไม่เป็นไรในเรื่องที่เขาช่วยเหลือมาทุกอย่าง  มัสลินไม่แน่ใจว่าคำพูดนี้หมายถึงความเต็มใจได้หรือเปล่า



    แล้วกระแสอบอุ่นบางๆที่เจืออยู่ในสายลมเย็นๆที่พัดผ่านนี้ล่ะ ...ใช่ความจริงไหม



    +++++

    จากคุณ : Gracie Lou Freebush - [ 6 พ.ค. 48 22:22:22 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป