บันทึกของคนเดินเท้า
เรื่องของเรือดำน้ำ
เรื่องราวของเรือดำน้ำนั้น ได้รับการกล่าวขวัญถึงกันอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๘ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยเหตุที่กองทัพเรือได้มีความประสงค์จะจัดหาเรือดำน้ำ มาเพิ่มเขี้ยวเล็บให้แก่ราชนาวีไทย จำนวน ๒ ลำเท่านั้น
แต่มีทั้งผู้ประสงค์ดี และประสงค์ร้าย ตลอดจนผู้ที่รู้น้อยพลอยรำคาญ พากันออกมาให้ความเห็นอย่างมากมายหลายแง่หลายมุม โดยเฉพาะพวกกลุ่มหลัง ที่เห็นว่าประเทศไทยไม่ควรจะมีเรือดำน้ำให้ล้ำหน้าเพื่อนบ้าน ก็จะให้ความเห็นว่าอ่าวไทยนั้นตื้น ดำแล้วอาจจะติดโคลนไม่โผล่ หรือไม่จำเป็นเพราะเราไม่ได้ไปรุกรานใคร หรือว่า เรือดำน้ำที่เคยมีมาแล้ว ก็ไม่เห็นได้ทำอะไร ได้แต่จอดเฉย ๆ จนสนิมแดงอยู่ที่หน้ากรมอู่ เป็นต้น
และไม่ว่ากองทัพเรือในปัจจุบัน จะจัดหาเรือดำน้ำได้สำเร็จหรือไม่ก็ตาม แม้ว่าจะมีเรื่องที่เกี่ยวกับเรือดำน้ำ อย่างชนิดที่มีหลักฐานชัดเจน ลงพิมพ์ในวารสารของทหารเรือ เช่น นาวิกศาสตร์ ของราชนาวิกสภา อยู่อย่างสม่ำเสมอ เกือบจะทุกเดือนกันยายนของทุกปีแล้วก็ตาม
บุคคลที่ยังไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับเรือดำน้ำ ก็คงยังไม่รู้อยู่เช่นเดิม เพราะไม่เคยสนใจจะอ่าน และกลับเชื่อตามความเห็นผิด ๆ นั้น อย่างงมงายต่อไป
เรื่องของเรื่องก็คือว่า ผมมีเพื่อนบ้านเป็นทหารเรือดำน้ำอยู่ถึง ๒ คน ตั้งแต่เมื่อหลายสิบ กว่าปีมาแล้ว ท่านทั้งสองนั้นคือ จ่าโท อุทัย สุนทรสิงห์ และ จ่าโท รัตน์ พุ่มพวง ทั้งคู่เป็นทหารเรือดำน้ำ
ท่านแรกประจำเรือหลวงวิรุณ เป็นพรรคนาวินเหล่าปืน ครั้งสุดท้ายมียศเป็นนาวาโท ได้เกษียณอายุ และย้ายภูมิลำเนาไปจากหมู่บ้านของผมนานแล้วด้วย
อีกท่านหนึ่งประจำเรือหลวงสินสมุทร เป็นพรรคนาวินเหล่าปืนเช่นกัน ยศครั้งสุดท้ายเรือเอก แต่ได้ลาออกจากราชการเมื่อ อายุได้ ๕๑ ปี จนถึงขณะที่ผมชวนคุยเรื่องเรือดำน้ำ ท่านก็ยังแข็งแรงดีอยู่
ท่านได้เล่าถึงวีรกรรมของเรือหลวงวิรุณ ซึ่งจอดอยู่ที่หน้าท่าราชวรดิษฐ์ ในขณะที่เครื่องบินสัมพันธมิตร บินมาทิ้งร่มบรรจุเวชภัณฑ์ที่ท้องสนามหลวง ในตอนปลายสงครามโลกครั้งที่สอง คราวนั้นมีการสั่งพร้อมรบบนเรือ ทางเครื่องบินขับไล่สองลำตัวที่คุ้มกันเครื่องบินทิ้งร่ม จะคิดอย่างไรไม่ทราบ ได้จิกหัวดิ่งลงยิงกราดด้วยปืนกลมายังเรือดำน้ำที่จอดทอดทุ่นอยู่เป็นคู่
เรือของท่านถูกกระสุนปืนของเครื่องบิน ถากลำกล้องปืนสามนิ้วที่หัวเรือ เป็นรอยบากให้เห็นได้ถนัด
ท่านเล่าว่าท่านเป็นนักเรียนจ่าทหารเรือเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๗ เรียน ๒ ปี
สำเร็จออกรับราชการ พ.ศ.๒๔๗๙
ได้รับยศ จ่าตรี
และประจำเรือหลวงรัตนโกสินทร์
ท่านได้ออกเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น
ซึ่งกองทัพเรือไทยได้สั่งต่อเรือดำน้ำไว้ ๔ ลำ
ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๗๙
ระหว่างรอเรือก็ได้ฝึกศึกษากับเรือดำน้ำญี่ปุ่น
จนถึง พ.ศ.๒๔๘๑ เรือดำน้ำทั้ง ๔ ลำจึงสำเร็จเรียบร้อย ให้ทหารเรือไทยลงประจำเรือเพื่อฝึกหัดทั้งบนผิวน้ำและใต้น้ำ รวมทั้งการใช้อาวุธ
ซึ่งมีตอร์ปิโดในท่อหัวเรือ ๔ ท่อ ขนาด ๔๕ ซ.ม.และอะไหล่อีก ๔ ลูก กับมีปืนขนาด ๓ นิ้วตั้งอยู่บนดาดฟ้าหัวเรือกับปืนกลขนาด ๘ ม.ม.อีก ๑ กระบอกด้วย มีทหารประจำเรือประมาณ ๓๐ คน ความเร็วเรือประมาณ ๑๐ น็อต ดำได้ลึก ๖๐ เมตร ดำได้นานประมาณ ๒๔ ชั่วโมง รัศมีทำการไกล ประมาณ ๔๐๐๐ ไมล์
เรือหมายเลข ๑ ชื่อ มัจฉาณุ เป็นชื่อลูกชายของหนุมาณ กับนางมัจฉาในเรื่องรามเกียรติ์
หมายเลข ๒ วิรุณ ซึ่งมาจากชื่อยักษ์วิรุณจำบังในเรื่องรามเกียรติ์เช่นเดียวกัน
หมายเลข ๓ สินสมุทร จากเรื่องพระอภัยมณี
หมายเลข ๔ พลายชุมพล จากเรื่องขุนช้างขุนแผน
ซึ่งต่างก็เป็น ผู้มีฤทธิ์เดชในเรื่องดำน้ำดำดินทั้งสิ้น
เมื่อฝึกจบแล้วทหารเรือไทยก็ได้นำเรือดำน้ำทั้ง ๔ ลำ เดินทางกลับประเทศไทย โดยแล่นบนผิวน้ำตลอดทางและได้แวะที่ใต้หวันก่อน แล้วจึงมุ่งตรงมายังประเทศไทย
ระหว่าง พ.ศ.๒๔๘๑ - ๒๔๘๓ ทหารเรือดำน้ำทั้ง ๔ ลำ ก็ได้ทำการ ฝึกการเดินเรือทั้งผิวน้ำและใต้นำ และการใช้อาวุธตลอดจนยุทธวิธีของเรือดำน้ำ ซึ่งจะทำการฝึกบริเวณเกาะคราม จังหวัดชลบุรี ถ้าถึงฤดูมรสุมก็ย้ายไปฝึกทางจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ตอนเกิดยุทธนาวีที่เกาะช้าง เมื่อ ๑๗ มกราคม ๒๕๘๓ ในสงครามอินโดจีน เรือหลวงสินสมุทรจอดอยู่ที่สัตหีบ พอได้รับโทรเลขทราบข่าวการรบ ก็ได้รับคำสั่งให้ออกเดินทางไปยังเกาะช้าง แต่ต้องใช้เวลาทั้งวัน จึงไปถึงยุทธภูมิเมื่อเวลาเย็น ได้เห็นแต่เรือหลวงธนบุรีเกยตื้นอยู่
แต่หลังจากนั้นก็เคยได้ออกลาดตระเวนทางทิศตะวันออก ไปจนถึงอ่าวเรียมฐานทัพเรือของฝรั่งเศส โดยไม่ได้โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำเลย บางครั้งถึง ๑๒ ชั่วโมง ซึ่งนับว่านานที่สุดเท่าที่เคยดำมา แต่ก็ไม่ได้ปฏิบัติการอย่างใด เพราะได้รับคำสั่งว่าญี่ปุ่นเข้ามาไกล่เกลี่ยให้หยุดยิงแล้ว
ขณะที่ทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกในประเทศไทย เมื่อ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ เริ่มสงครามมหาเอเซียบูรพานั้น เรือหลวงสินสมุทรได้จอดอยู่ที่หน้ากรมสรรพาวุธบางนา พอทราบข่าวรัฐบาลไทยก็ตกลงใจ ยินยอมให้กองทัพญี่ปุ่นผ่านประเทศไทยได้แล้ว ตลอดระยะเวลาของสงครามโลกครั้งที่ ๒ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๘๕ - ๒๔๘๘ เรือดำน้ำก็ไม่ได้ออกไปปฏิบัติการในทะเลหลวงเลย คงอยู่ภายในอ่าวไทยเท่านั้น
จนกระทั่งสงครามสงบลง ประเทศญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้สงคราม เรือดำน้ำก็ไม่สามารถจะดำน้ำได้ เพราะแบตเตอรี่หมดอายุใช้งาน โดยปกติเมื่อเรือแล่นบนผิวน้ำ เครื่องยนต์ก็จะอัดประจุไฟฟ้า ลงในหม้อแบตเตอรี่ ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษเก็บเอาไว้ ถึงเวลาดำน้ำก็ใช้ไฟฟ้าในแบตเตอรี่นั้น เดินเครื่องยนต์ดีเซล แบตเตอรี่ก็เป็นของญี่ปุ่น ประเทศไทยยังทำเองไม่ได้ และไม่สามารถจะหาซื้อได้จากที่อื่น
แม้เมื่อกองทัพไทยได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา ก็ไม่มีการสนับสนุนแบตเตอรี่ ของเรือดำน้ำชนิดนี้อีกด้วย
และนี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เรือดำน้ำของราชนาวีไทยทั้ง ๔ ลำ ต้องจอดทอดทุ่น อยู่ที่ท่าราชวรดิษฐ์ตลอดเวลา เพราะแม้จะแล่นบนผิวน้ำได้ แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะเรือยาวเพียง ๕๑ เมตร ใช้บรรทุกอะไรก็ไม่ได้ จึงไม่ได้ใช้งาน
จนกระทั่งปลดระวางออกจากประจำการ ประมาณ พ.ศ.๒๔๙๔ แล้วก็จอดอยู่อย่างนั้นต่อไป โดยทาสีกันสนิมไว้อย่างเดียวจนมองดูเหมือนเรือขึ้นสนิม และต่อมาอีกหลายปีจึงได้ขายทอดตลาดเป็นเศษเหล็กไป
แต่มีอยู่ลำหนึ่ง ซึ่งไม่ทราบว่าชื่ออะไร ทางกองทัพเรือได้เก็บหอบังคับการเรือ กับปืนประจำเรือ ไปตั้งไว้ที่หน้าพิพิธภัณฑ์ทหารเรือสมุทรปราการ อยู่จนถึงบัดนี้
ส่วนเรือหลวงธนบุรีนั้น ทางกองทัพเรือกู้ขึ้นมา แต่ซ่อมไม่คุ้มค่า จึงยกหอบังคับการและป้อมปืนหน้า ขึ้นไว้บนบก ที่หน้าโรงเรียนนายเรือสมุทรปราการ เช่นกัน
เรือเอก รัตน์ พุ่มพวง ร.น.นั้น เมื่อพ้นจากเรือหลวงสินสมุทรแล้ว ก็ได้ไปรับเรือหลวงลิ่วลม จากสหรัฐอเมริกา เมื่อกลับมาก็ได้เลื่อนยศเป็นนายทหารสัญญาบัตร ต่อมาได้ย้ายไปประจำเรือหลวงบางปะกง แล้วจึงได้ขึ้นบกไปรับราชการ ที่ฐานทัพเรือสัตหีบ จนถึง พ.ศ. ๒๕๐๘ ได้รับเงินเดือนเต็มขั้นชั้นยศเรือเอก และมีวันทวีคูณในฐานะนักดำสิบกว่าปี จึงขอลาออกจากราชการเพื่อรับบำนาญ
กองทัพเรือได้กำหนดให้วันที่ ๔ กันยายน เป็น วันเรือดำน้ำ ซึ่งทหารเรือที่เคยประจำการในเรือดำน้ำทั้ง ๔ ลำ ก็ได้มาพบปะสังสรรค์กันเป็นประจำทุกปี จนถึงปัจจุบัน เรือเอก รัตน์ พุ่มพวง ร.น.ก็ไปร่วมงานด้วยทุกครั้งไม่เคยขาด เพิ่งจะเว้นไปตั้งแต่ ๔ กันยายน ๒๕๓๘ เนื่องจากสุขภาพไม่อำนวย ครั้งสุดท้ายก็ยังได้พบกันประมาณ ๓๐ กว่าคน
สุดท้ายท่านได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรือดำน้ำว่า เมื่อครั้งก่อนนั้นกองทัพเรือตั้งใจจะมีกองเรือดำน้ำทั้งกอง แต่ได้เริ่มจัดหามาเพียง ๔ ลำ เพื่อใช้เป็นเรือฝึกก่อน พอดีเกิดสงคราม
ปัจจุบันนี้กองทัพเรือก็ควรจะมีเรือดำน้ำอย่างน้อย ๔ ลำเท่าเดิม เพราะเรือดำน้ำไม่ใช่จะเป็นอาวุธในเชิงรุกเท่านั้น แต่ยังสามารถตั้งรับ ป้องกันอ่าวไทยโดยจอดซุ่มอยู่ใต้น้ำที่ไหนก็ได้ ไม่มีใครรู้ตำแหน่งแห่งที่ แต่แม้ว่าจะต้องการเพียง ๒ ลำเท่านั้น ก็ดูเหมือนจะยากเย็นเต็มที มีแต่อุปสรรคขัดขวางตลอดเวลา
ท่านอยากจะเห็นเรือดำน้ำในราชนาวีไทยอีกสักครั้ง แต่ก็คงจะไม่สมปรารถนา
เรือเอก รัตน์ พุ่มพวง ร.น. ได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา เมื่อ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๔๖ อายุประมาณ ๘๐ ปีเศษ.
จากคุณ :
เจียวต้าย
- [
7 พ.ค. 48 08:45:57
]