เจ้าโมโม่เห่าไม่ยอมหยุด จนเค้าเปิดประตูออกมา มันก็กระโจนใส่เค้า และเลียหน้าเค้าด้วยความดีใจ ส่วนพัชริน ก็ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ ด้วยความที่ไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไรดี...
เธอรู้สึกอายชายหนุ่มที่เจ้าโมโม่ทำท่าทางจะติดเค้าเข้าแล้ว..เธอนึกในใจว่า
ถ้ากลับบ้านไปนะ พัชจะไม่พูดด้วยเลยเชียว โมโม่นะโมโม่
พัช เข้ามาในบ้านก่อนสิ ยืนอยู่ตรงนี้แดดร้อนนะ เธอก็เลยจำต้องเข้ามาในบ้านของเค้า ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เข้ามาในนี้
บ้านของเค้าดูสะอาดสะอ้าน เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่เหมือนกับเป็นบ้านของผู้ชายที่อยู่คนเดียวเลย ในบ้านของเค้า มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้
และเธอก็ต้องตะลึงเมื่อเธอเห็นดอกกุหลาบสีขาวประดับประดาอยู่ในบ้านนี้เต็มไปหมด ไม่เฉพาะในแจกันเท่านั้น ทุกอย่างในบ้านล้วนดูสะอาดตา และมีภาพวาดติดตามฝาผนัง และวางพิงอยู่ข้างฝา ในบ้านหลังนี้ ไม่มีรูปถ่ายโชว์อยู่เลย มีเพียงแค่รูปวาด ซึ่งไม่ต้องบอกเธอก็รู้ว่าต้องเป็นรูปที่เค้าวาดเองทั้งหมดแน่ๆ
และเธอก็หันไปเห็นรูปวาดรูปหนึ่งเป็นรูปผู้หญิงวัยกลางคน ที่หน้าตาสะสวย แววตาดูอบอุ่นใจดี เธอมองเพ่งไปที่หน้าตาของผู้หญิงคนนั้น ใช่ หน้าตาของเธอเหมือนกับบิ๊กมาก ไม่ใช่สิต้องบอกว่าบิ๊กหน้าเหมือนผู้หญิงคนนี้มาก เธอจึงเดาเอาว่าผู้หญิงคนนี้ต้องเป็นแม่ไม่ก็ญาติของเค้าแน่ๆ
ดื่มน้ำก่อนสิพัช เจ้าโมโม่ล่ะ หิวมั้ย อ่ะเอานี่ไปกินนะ
ภัคนนท์ส่งแก้วน้ำให้พัชแล้วก็วางชามน้ำเย็นที่มีน้ำแข็งอยู่เต็มให้เจ้าโมโม่ เค้ารู้ดีว่าเจ้าโมโม่ชอบดื่มน้ำเย็นๆโดยเฉพาะต้องมีน้ำแข็งด้วย เค้าเคยบอกพัชรินว่าเจ้าโมโม่เป็นสุนัขขั้วโลก ซึ่งนั่นทำให้พัชรินหัวเราะกับสิ่งที่เค้าพูดอยู่นาน เพราะว่าคำพูดของเค้าขัดกับบุคลิกของเค้า
อืม บิ๊ก พัชถามอะไรหน่อยสิ
พัชรินทำหน้าลำบากใจกลัวว่าเค้าจะไม่สบายใจถ้าเธอถามออกไป เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา พัชรินก็เรียนรู้ว่า ภัคนนท์เป็นคนที่มีโลกส่วนตัว มีเรื่องในใจมากมาย ถ้าถามไปแล้วเค้าไม่อยากตอบ เธอคงรู้สึกไม่ดีที่ทำให้เค้าไม่สบายใจ
ถามอะไรเหรอ ถามมาสิ ถ้าบิ๊กตอบได้ บิ๊กจะตอบนะ ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ บอกว่าจะถามก็ถามมาสิ ไม่ต้องกลัวหรอก อ่ะ ว่ามา ภัคนนท์ทำหน้าขึงขังล้อเลียนพัชริน
บิ๊กนี่ พัชไม่ตลกนะ คือว่า รูปผู้หญิงคนนี้ ใช่คุณแม่ของบิ๊กรึป่าว เพราะพัชสังเกตว่าหน้าตาเหมือนกันมากเลยนะ พัชรินถามออกไปอย่างหวั่นๆ
ทันทีที่ได้ยินคำถามนี้ ทำให้ภัคนนท์กลับไปสู่อาการที่เหมือนตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง
ใช่ นี่คือรูปแม่ของบิ๊กเอง บิ๊กวาดรูปนี้เป็นรูปสุดท้าย ก่อนที่แม่จะจากไป เราไปวาดรูปนี้กันที่บ้านหลังเก่าที่เราสามคนพ่อแม่ลูก เคยอยู่ด้วยกันก่อนที่พ่อจะจากไปแล้วพอบิ๊กวาดรูปนี้เสร็จแม่ก็ถูกรถชน แม่ตายอยู่ในอ้อมกอดของบิ๊ก ก่อนแม่จะตาย แม่บอกว่า
ไม่ว่าแม่จะอยู่ที่ไหน แม่จะเป็นทั้งแขนซ้ายและแขนขวาให้ลูกเสมอ พ่อของลูกไม่ได้หายไปไหน เมื่อลูกอายุ 25 ปี ให้ลูกกลับไปหาคุณป้า คุณป้าจะเป็นคนเล่าเรื่องทุกอย่างให้ลูกฟังเอง
เล่ามาถึงตรงนี้ภัคนนท์ก็น้ำตาไหลเอ่อ จนไม่สามารถควบคุมให้มันหยุดไหลได้ เค้าร้องไห้ ร้องไห้ต่อหน้าพัชริน
พัชรินตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก...เธอยืนดูเค้าร้องไห้อยู่สักพัก แล้วจึงเข้าไปกุมมือเค้าเอาไว้...แล้วมองเค้าไปในดวงตาคู่นั้น..ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยประกายแห่งความอบอุ่น ณ ตอนนี้เต็มไปด้วยความเศร้าหมอง อย่างสุดหัวใจ พัชรินสัมผัสได้ ราวกับว่า เค้าถ่ายทอดความรู้สึกนี้ให้เธอผ่านดวงตาของเค้ามาถึงเธอ...
พัชรินกุมมือเค้าเอาไว้อยู่อย่างนั้น จ้องเข้าไปในแววตาอันแสนเศร้าหมองและเจ็บปวดของเค้า เธอเองก็น้ำตาไหลรินลงมาและไหลอย่างไม่ขาดสายเช่นเดียวกัน เธอรู้สึกสงสารเค้าจับใจ และเกิดความเข้าใจทันทีว่าทำไมเค้าถึงได้ดูโดดเดี่ยวเดียวดายนัก....
เธอยกมือขึ้นมาประคองใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยน้ำตาของเค้าเอาไว้อย่างแผ่วเบา ราวกับว่ากลัวว่าถ้าเธอสัมผัสเค้าแรงไปจะเป็นการทำร้ายความรู้สึกที่เปราะบางของเค้าได้ เธอค่อยๆเช็ดน้ำตาให้เค้าอย่างเบามือ นาทีนั้น เธอรู้สึกเศร้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต
ก่อนที่จะมีใครได้พูดอะไร เค้าก็กอดเธอไว้แน่น เธอตกใจระคนกับมีความรู้สึกว่าสัมผัสนี้เป็นสัมผัสที่เธอต้องการมาตลอดชีวิตจากผู้ชายคนนี้ ผู้ชายคนนี้คนเดียวเท่านั้น เธอเงียบงัน เค้ากอดกระชับเธออยู่อย่างนั้น เธอไม่รู้ว่าเค้าจะรู้สึกอย่างไรกับสัมผัสนี้ แต่สำหรับเธอแล้วมันยิ่งทำให้เธอแน่ใจกับอะไรบางอย่างที่เธอไม่สามารถบอกเค้าได้ เธอปาดน้ำตาของตัวเอง แล้วปล่อยให้เค้าร้องไห้เงียบๆอยู่อย่างนั้น....
เธอไม่ได้เอ่ยถามถึงเรื่องนี้ในตอนนี้ เพราะเธอรู้สึกได้ว่า เพียงแค่นี้เค้าก็ดูเศร้าจับใจเพียงพอแล้ว
เค้าคลายอ้อมกอดจากเธอ แล้วนั่งลงตรงโซฟา เจ้าโมโม่นับว่าเป็นสุนัขแสนรู้จริงๆ มันเข้ามาหาเค้าแล้วกระโดดขึ้นมานั่งตักเค้า เอาหัวของมันซบไว้ที่ตักเค้า เหมือนจะเป็นการปลอบโยน เค้าลูบหัวมันเบาๆ สายตาเลื่อนลอย...พัชรินไม่รู้ว่าตอนนี้เค้าคิดถึงเรื่องอะไรอยู่ เธอทำได้เพียงแค่นั่งลงข้างๆเค้า...ไม่นานนัก..เค้าก็เอนศีรษะลงมาซบกับไหล่ของเธอ แล้วหลับตานิ่งอยู่อย่างนั้น...นานพอสมควร...พัชรินจึงได้รู้ว่า..ทั้งคนทั้งสุนัขหลับไปทั้งคู่แล้ว
เธออุ้มโมโม่ลงมาจากตักของเค้าอย่างแผ่วเบา แล้วนั่งมองเค้านอน ดวงตาที่เธอเคยคิดเสมอว่า เหมือนกับดวงดาวบนท้องฟ้าที่ส่องประกายระยิบระยับตลอดเวลา บัดนี้ปิดสนิท ใบหน้าของเค้าแม้ยามหลับก็ยังดูเศร้าหมองไม่คลาย..ตอนนี้เค้ากำลังหลับฝันถึงเรื่องอะไรอยู่นะ เธอคิด...และหวนคิดไปถึงเรื่องของตัวเอง...ก่อนที่จะได้รู้จักกับเค้า...
เมื่อปีที่แล้ว
วันนั้นอากาศดีเป็นพิเศษ ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสดใส ลมพัดผ่านเบาๆ หญิงสาวอายุ 20 ปี กับสุนัขตัวโปรดของเธอออกมาเดินเล่นกันตามลำพัง สถานที่ที่เธอและเจ้าสุนัขชอบไปเดินเล่นเป็นประจำก็คือทุ่งหญ้าท้ายหมู่บ้าน
ทุกๆวันเธอจะต้องไปที่ทุ่งหญ้านี้ เพื่อพาเจ้าโมโม่ไปเดินเล่น แต่เธอมีเหตุผลอื่นด้วยที่มาที่นี่ ณ ตรงนั้น ใกล้ๆแม่น้ำ จะมีชายหนุ่มคนหนึ่งมานั่งวาดรูปอยู่ตรงนั้นเป็นประจำ เธอประทับใจเค้าตั้งแต่นาทีแรกที่ได้เห็นหน้าเค้าเลยก็ว่าได้ เป็นเค้ารู้สึกที่เธอเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
ผู้ชายคนนี้รูปร่างสูงโปร่ง คิ้วเข้มได้รูปรับกับจมูกเป็นสันสวยงาม และผิวที่ขาวใสสะอาดราวกับผิวของเด็กทารก เค้ามักจะมีรอยยิ้มบางๆฉาบอยู่ที่ใบหน้าเสมอ
ครั้งแรกที่เธอได้เห็นเค้าก็ตอนที่เธอกับเจ้าโมโม่กำลังจะเดินออกมาจากสวนสาธารณะในหมู่บ้าน เธอเหลือบไปเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆอายุไม่เกิน 7 ขวบคนหนึ่งกำลังร้องไห้ อยู่ ก่อนที่เธอจะทันได้เข้าไปไต่ถามหรือช่วยเหลือเด็กคนนั้น ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินตรงรี่เข้ามาที่เด็กหญิง
เธออุ้มเจ้าโมโม่ไปอยู่บริเวณพุ่มไม้ที่ใกล้กับชายหนุ่มและเด็กหญิงให้มากที่สุด เพื่อจะดูว่าผู้ชายคนนั้นจะทำอะไรเด็กหญิงหรือว่ามาช่วยเหลือ แต่ดูท่าทางเค้าเป็นมิตร คงไม่มีอะไรหรอก เธอคิด และก็เป็นจริงดังนั้น ชายหนุ่มตรงเข้ามาปลอบเด็กหญิง
" เป็นอะไรไปครับคนสวย ร้องไห้ทำไม แล้วมาที่นี่กับใคร ไหนบอกพี่สิ" ชายหนุ่มถาม
เด็กหญิงไม่ได้มีอาการตื่นกลัวคนแปลกหน้าอย่างเค้าแม้แต่นิดเดียว เค้าเช็ดน้ำตาที่อาบแก้มเด็กหญิงออกอย่างเบามือ เด็กหญิงตอบเค้าว่า
" หนูมากับแม่ค่ะ แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าแม่หายไปไหนแล้ว " ว่าแล้วเด็กหญิงก็ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ต่อ
"โอ๋ๆๆ ไม่ต้องร้องนะครับ เดี๋ยวพี่จะพาหนูกลับบ้านนะ ว่าแต่บ้านหนูอยู่ที่ไหนล่ะ" ชายหนุ่มนั่งยองๆลงไปแล้วลูบศีรษะเด็กหญิงเบาๆ แล้วก็อุ้มเธอขึ้นมา
"ตัวหนักไม่ใช่เล่นแฮะเรา ว่าไง บ้านหนูอยู่ที่ไหน"
เด็กหญิงทำท่าครุ่นคิด และนึก ในที่สุดเด็กหญิงก็ตอบเค้าว่า
" หนู หนูจำทางกลับบ้านไม่ได้ค่ะ หนูรู้แต่ว่าหน้าบ้านของหนูมีประตูสีฟ้า "
เด็กหญิงตั้งท่าจะร้องไห้ขึ้นมาอีก แต่ชายหนุ่มไม่ได้มีทีท่าตกใจที่รู้ว่าเด็กหญิงจำทางกลับบ้านไม่ได้ เค้าสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะบอกเด็กหญิงว่า
"หนูเชื่อเรื่องนางฟ้ามั้ย " เด็กหญิงพยักหน้า
" ถ้าหนูเชื่อ หนูก็ต้องเชื่อพี่นะว่าหนูจะกลับบ้านได้แน่ๆ เรามาช่วยกันตามหาบ้านของหนูกันนะ ไม่ต้องกลัว ถ้าหนูเชื่อว่านางฟ้ามีจริง นางฟ้าก็จะอยู่กับหนู"
เค้าจำคำที่แม่บอกเค้าเมื่อตอนเค้ายังเด็กมาบอกกับเด็กหญิง เค้ายื่นมือออกมาให้เด็กหญิงจับเด็กหญิงจับมือเค้าไว้แน่น ทั้งสองยิ้มให้กัน
พัชรินและเจ้าโมโม่แอบตามภัคนนท์และเด็กหญิงไปเรื่อยๆ โดยไม่ให้เค้ารู้ตัว ภัคนนท์อุ้มเด็กหญิงบ้าง ปล่อยให้เธอเดินบ้าง และก็กลับมาอุ้มเธอใหม่ ทั้งสามคน รวมเจ้าสุนัขน้อยอีกหนึ่งตัว เดินเข้าออกตั้งแต่ซอยแรกของหมู่บ้านจนถึงซอยสุดท้าย
ระหว่างที่เดินไปนั้น ภัคนนท์กับเด็กหญิงก็พูดคุยกันเกี่ยวกับลักษณะของบ้านของเด็กหญิงไปเรื่อยๆ เพื่อให้เด็กหญิงจำสิ่งที่เด่นๆของบ้านของเธอได้
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป เด็กหญิงหลับไปแล้วในอ้อมแขนของภัคนนท์น่ะเอง ตอนนี้ถึงแม้ว่าเค้าจะดูเหนื่อยๆ แต่ใบหน้าก็ยังฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มบางๆอยู่เช่นเดิม เหงื่อเม็ดเล็กๆที่ผุดขึ้นมาเต็มหน้าของเค้า ทำให้พัชรู้สึกว่า เค้าช่างมีเสน่ห์นัก
ภัคนนท์พาเด็กหญิงกลับไปที่สวนสาธารณะอีกครั้ง เผื่อแม่หรือครอบครัวของเด็กหญิงจะกลับมาตามหา พัชรินเองก็เริ่มอ่อนเพลียกับการเดินตามภัคนนท์และเด็กหญิงเช่นกัน แต่เธอไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร
เธอเพียงแค่อยากจะตามไปดูว่า เด็กหญิงได้กลับบ้านอย่างปลอดภัยหรือเปล่า และชายหนุ่มคนนี้เป็นใครกันนะ ทำไมเธอถึงได้รู้สึกคุ้นตายิ่งนัก แต่เธอก็รีบสลัดความคิดนี้ออกไป จะคุ้นตาได้ไง ก็ไม่เคยเจอกันมาก่อนนี่นา
เด็กหญิงฟุบหลับอยู่บนตักของชายหนุ่ม เค้าเองก็เริ่มอ่อนแรงและหิว แต่เค้าก็ไม่สามารถจะทิ้งเด็กผู้หญิงเล็กๆคนนี้ไว้คนเดียว แล้วแอบไปหาอะไรกินได้
เค้าคิด คิด และคิดว่าจะทำยังไงดี คิดไปคิดมา เค้ารู้สึกมึนๆ เคลิ้มๆ และเค้าก็ผล็อยหลับไปในที่สุด
ชายหนุ่มใจดีกับเด็กหญิงที่หลงทางจำทางกลับบ้านตัวเองไม่ได้ พัชจะทำอย่างไรดี จะปล่อยให้เค้าสองคนนอนตากน้ำค้างอยู่แบบนี้เหรอ ไม่ได้นะ เธอต้องทำอะไรสักอย่าง
จากคุณ :
พัชรีพร
- [
7 พ.ค. 48 12:27:24
]