1.เจ๊หงอย
ผมเห็นเธอนั่งอยู่ที่นั่นเป็นประจำ บนโต๊ะขนาดเท่าโต๊ะครูตามโรงเรียน ต่างแต่ว่าเธอเป็นแม่ค้าผู้ใช้วิชาคณิตศาสตร์มากกว่าในห้องเรียน ภายในร้านประดับประดาไปด้วยเครื่องใช้และของกินหลากยี่ห้อ ในตู้แช่นั่นเล่าเต็มไปด้วยเครื่องดื่มหลากชนิดหากคุณโชคดีอาจเปิดใต้ฝาเจอหนึ่งล้านให้ก็เป็นได้ แต่นั่นสินะคนโชคดีในหกสิบล้านคนมีเพียงกี่คนกันแน่
ดวงตาของเธอจดจ้องที่จอทีวี ราวกลับว่าโลกนี้มีเพียงเกมโชว์เท่านั้นคือสารัตถะของชีวิตและสิ่งอันเป็นประโยชน์ก็เพียงในโฆษณาเท่านั้น เธอมองผมด้วยดวงตาวิเคราะห์และเหยียดเย้ยอยู่บ้างหรอกในท่าทีที่เฉยชา อาจเป็นเพราะผมเข้ามาขั้นระหว่างที่ดาราสวยในจอทีวี กำลังเผยเคล็ดลับความงาม
ผมเดินไปเรื่อยๆ ดวงตาเหลือบแลสิ่งที่สนใจบนชั้นวางของ แต่กระนั้นก็ไม่สมใจแห่งความอยากได้ ลงเอยที่มาม่าอีกเช่นเคย ปลอบใจตัวเองหากโชคดีผมอาจได้รถปิกอัพสักคัน ถ้าเกิดส่งไปชิงโชค ไม่ดีกว่า ความคิดอีกวูบหนึ่งในใจขัดขึ้นมาอย่างรู้ทัน หากได้มาแล้ว เองจะเอาเงินที่ไหนไปเติมน้ำมันว่ะ โคตรแพงอย่างนี้
. และที่สำคัญจักรยานเอ็งยังแทบจะทรงตัวไม่อยู่
มนุษย์อย่างเอ็งเหมาะสมที่จะเดินเท้าเท่านั้น และมีรถเมล์เป็นที่พึ่งพิงทางใจ ผมล้วงกระเป๋าทั้งหน้าหลัง กว่าจะพบเม็ดเงินอันจำกัด ส่งให้เธอไป พันธะของผมกับเธอมีอยู่เพียงแค่นี้ ที่สำคัญแม้แต่ชื่อของเธอ ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่อยู่ร่วมกันมาหลายเดือนแล้ว
2.ห้อง 37
ผมบอกไม่ได้หรอกว่าสายตาตัวเอง ไยต้องเพ่งห้อง 37 อยู่เป็นประจำ ทุกครั้งที่เดินมาถึงชั้นสองของตึกผมเป็นต้องแอบมองเสียวูบหนึ่ง บางทีมันอาจเกิดจากความเป็นวัยหนุ่มที่หลงเหลืออยู่ในกายผมบ้าง ยังสนใจในความงาม และมีความต้องการทางเพศในขั้นพอเพียง
ผมจะเห็นเธอเป็นประจำในทุกบ่ายของวันปรกติ เธออาจเป็นคนงานในโรงงานอาหารทะเล ที่ตั้งอยู่ดาษดื่นแถบท่าฉลอมยันมหาชัยนี่ก็ได้ กลิ่นอายปลาเค็มมักล่องลอยมากับลมเสมอ บางทีผมอยากเอาปั้นข้าวเหนียวจ้ำไปในอากาศเพื่อเสพรสแห่งปลาเค็มเสียด้วยซ้ำ
เมื่อก้าวขามาถึงชั้นสอง เท้าของผมจะชะลอความเร็วคล้ายมันรู้ทันดวงตาและความคิด และเหมือนเธอเองจะเข้าใจคนตกยาก แบบคนไม่มีแฟนอย่างผมว่าต้องการอะไร เธอจะนอนทอดร่างในชุดวาบหวิว เสื้อกล้ามสีขาวบางๆ หรือแม้กระทั่งในชุดที่ล่อแหลมต่อการถูกประเมินค่าของหญิงไทย โชคดีที่เธอไม่พบกับนักสิทธิสตรีหรือพวกหัวเก่า ทางค่านิยมของหญิงไทยในกระทรวงอะไรสักอย่างที่เป็นข่าวครึกโครมอยู่บ่อยๆ
เธอนอนทอดร่างหายใจแผ่วเบาหน้าอกหน้าใจของเธอแฝงแรงสะท้อนบางอย่าง ผมจ้องมองแบบอายๆ ในอารมณ์ เหมือนเธอรู้ว่ามีคนจ้องมองพลิกร่างจากหมอนหันหน้ามาทางประตู สบตาผมอย่างจัง ในแววตาของเธอมีรอยยิ้มหยาดเยิ้ม บนริมฝีปากสีแดงเผยออย่างเย้ายวนราวการคลี่บานของกลีบกุหลาบ
นั่นทำให้ผมต้องกำหนด ซ้ายย่างหนอ-ขวาย่างหนอ ขณะก้าวเดิน ผมสังเกตได้ว่าเธอไม่เคยปิดประตูห้องเลย เป้าหมายของเธอคืออะไรกันแน่ หรือ
แค่คิดผมก็ร้อนวูบไปทั่วใบหน้า ความคิดอีกส่วนหนึ่งเผยตน เธอแค่ร้อนมากกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง
3.เด็กชายที่เล่นอยู่กับรถพลาสติก
จะเชื่อไหม? ถ้าผมบอกว่าเด็กชายวัยสี่ขวบคนนี้แหละ คือเพื่อนคนเดียวที่ผมมีในอพาร์ทเมนท์ วันนั้นผมจำได้ดีวันที่หนูน้อยพยายามยกรถขึ้นบันไดตึก แต่เขาไม่อาจทำได้ จนกระทั่งผมผ่านมา
เขาอ้อนวอนผมด้วยดวงตาใสซื่อ ผมได้แต่ยิ้มให้และไถ่ถามชื่อแซ่เหมือนหนังจีนกำลังภายในพบกันตามโรงเตี๊ยม แล้วอาสาช่วยยกรถขึ้นไปบนชั้นสามของตึก ด้วยความสมัครใจของการบำเพ็ญบุญเล็กๆ ระหว่างขั้นบันไดอีกนั่นแหละ เราได้พูดคุยกันอย่างถูกคอ คนผ่านไปมา อาจคิดไปว่าพ่อลูกคู่นี้ช่างรักกันเสียจริง
เด็กน้อยคุยเก่งเหลือเกินถามโน่นถามนี่ ผมก็ตอบโน่นตอบนี่ไปเหมือนกัน หลังจากวันนั้น ทุกครั้งที่เจอกันเขาต้องชวนผมคุย และวานยกรถให้เป็นประจำ บางทีผมก็คิดไปว่าเขาอาจเงียบเหงาเหมือนอย่างที่ผมเป็น อยู่กับเพื่อนที่ไร้ชีวิต พูดคุยกับตัวเองและพูดคุยกับสิ่งที่ไม่อาจตอบโต้เป็นวัจนภาษาได้
บ่อยครั้งที่แม่ของหนูน้อยนี่ มองผมด้วยสายตาแห่งความหวาดระแวง อาจเป็นเพราะเธอจมปลักอยู่กับข่าวคราวของบ้านเมือง ที่เกี่ยวกับการล่อลวงเด็ก ทำอนาจารเด็ก หรือแม้กระทั่งรักเด็กอย่างนางสาวไทย หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้พบเห็นเด็กน้อยคนนั้นอีก หนูน้อยถูกขังไว้ในห้องกับแม่ผู้ชอบรายการทีวี ผมเพียงได้ยินแต่เสียงลากล้อรถ ดังกังวานอยู่ในห้องนั้น
4.หนุ่มหมอลำซิ่ง
เอ้า ย่าว ย่าว หละว่าย่าว ย่าว เด้อๆ นางเอ่ย เติง เติง ฯลฯ ถ้าเสียงมันเบาผมจะไม่ว่าอะไรหรอก ในความอนุรักษ์นิยมถิ่นฐานบ้านเกิดของเขา แต่นี่มันดังสนั่นไปถึงสรวงสวรรค์ พอที่พญาแถนจะลุกขึ้นเต้นใส่อารมณ์เพลงได้เลยทีเดียว
เขาอยู่ห้องข้างๆ ของผมนี่แหละ ถ้าวันไหนได้ยินแต่เสียงเพลงพอทน แต่ถ้าวันดีคืนดีหนุ่มๆในห้องเกิดคิดฮอดบ้านรุนแรงขึ้นมา จะจัดวงร่ำร้องคาราโอเกะ นั่นแหละมันเรื่องใหญ่สำหรับผม ห้องของผมเป็นห้องที่ต้องการความเงียบ ในการเพาะบ่มจินตนาการต่อการสร้างเรื่องราว
ทุกครั้งที่ผมได้ยินเสียงเพลงเหล่านี้อดคิดไม่ได้ว่า หากเจ้าของเพลงมาได้ยินจะดีใจขนาดไหน ถ้ามาได้ยินหนุ่มๆ พวกนี้ร้องเพลงของเธออย่างออกรส คลอแก้วเหล้า ยิ่งท่อนเพลงตรง ไปหาแหย่ไข่มดแดง ฟังดูใส่อารมณ์ยิ่งกว่าโลโซเสียอีก
ผมอดตลกไม่ได้ว่าจะไปหาแหย่ไข่มดแดงแถวไหนกันพ่อหนุ่มทั้งหลาย ถ้าไปหาแหย่ไฟแดงนั่นก็พอได้หรอก บางทีพวกเขาก็ทำให้ผมมีอารมณ์ตลกได้อย่างประหลาด สิทธิและเสรีภาพในอพาร์ทเมนท์นั้นขึ้นแล้วแต่เจตนารมณ์ของแต่ละบุคคล ว่าใครจะคิดได้มากน้อยเท่าไหร่ พอห้องหมอลำซิ่งเปิดการแสดง ห้องเพื่อชีวิตก็จะตามมาเพลงของคาราบาวจะสามช่าจนบานเกล็ดสะเทือนทีเดียว
สังเกตได้ว่าเจ้าของห้องไว้ผมยาว สูบยาหน้าระเบียงทีไรเป็นสะบัดผมยาวรุงรัง จะเดินไปไหนไร้คนสนใจเป็นประจำ มันทำไปทำไม พอห้องเพื่อชีวิตดังขึ้นห้องสตริงก็จะตามมา และตามติดด้วยห้องเพลงฝรั่ง มันอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงกันและกันว่า เครื่องเสียงในห้องของใครดังกว่ากัน
ผมเป็นคนกลางได้แต่รับฟังคลื่นเสียงไปพร้อมๆ กัน จนหลงร้องเพลงหมอลำออกทำนองสตริง ไปสะดุดท่อนเพื่อชีวิตอยู่เรื่อยๆ ถ้าคิดในแง่ดี ก็ดีอยู่หรอกได้ฟังเพลงฟรีไม่ต้องหยอดเหรียญให้ยุ่งยาก แต่ถ้าคิดในแง่ร้าย มันก็ร้ายเหลือเกิน ความเห็นอกเห็นใจระหว่างกันไม่เหลือเยื่อไยให้ถามถึงอีกแล้ว
ฉากอวสานของศีลธรรมคงใกล้เข้ามาในอีกไม่นานนี้ ถ้าทุกคนใช้อิสรภาพเกินขอบเขตของกฎกติกาในการอยู่ร่วมกัน
5.ห้องของผม
มันเป็นห้องที่ปราศจากเครื่องเสียง และไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีเตียงนอน ไม่มีตู้เย็น ไม่มีตู้เสื้อผ้า แต่ผมมีกาน้ำร้อนเป็นสรณะ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ผมผูกพันมากที่สุดเห็นจะเป็นกาน้ำร้อนนี่แหละ ผมรักมันเหมือนเพื่อน เทิดทูนมัน แต่ไม่ถึงขั้นซื้อพวงมาลัยมาคล้อง อาหารของผมจำเป็นต้องอาศัยน้ำร้อน
ถ้าคุณมองดีๆ จะเห็นถ้วยกาแฟทิ้งคาบวางอยู่ข้างๆ หรือไม่ก็ถ้วยมาม่าที่ยังไม่ล้าง และพื้นห้องจะเต็มไปด้วยหนังสือพิมพ์บางฉบับ นิตยสารเก่าๆ ที่ผมไปซื้อหาตามแผงขายหนังสือเก่า หรืออาจมีหนังสือดีๆ หลายเล่มอยู่หรอกนะ วางอยู่บนลังไม้ ที่ผมแอบไปเก็บมาจากถังขยะในค่ำคืนหนึ่งที่แสงไฟหน้าตึกดับ
หนังสือทำให้ในห้องเงียบของผมนั้น เป็นการจำลองโลกทั้งใบไว้ด้วยกันระหว่างผมกับถ้อยคำและความนึกคิดภายใน ผมไม่มีเงินพอจะซื้อตั๋วเครื่องบินไปอเมริกาหรอก แต่ผมพอรู้ วัฒนธรรม การเป็นอยู่ การดิ้นรน และความนึกคิดของพวกเขาผ่านตัวหนังสือ ผมไปเที่ยวหลายแห่งจากภาพ ตามหน้านิตยสารกับถ้อยคำบรรยายของนักเขียน ทำให้ผมเหมือนได้ย่ำเท้าไปบนหาดทรายที่พวกเขาทอดเท้าเดินนั่น
จะว่าไป ผมไปเที่ยวเกือบค่อนโลกแล้วมั้งผ่านตัวอักษรและรูปภาพ วันๆ หนึ่งผมจึงอยู่กับการอ่านและคิด ถ้าพร้อมก็ลงมือเขียน เมื่อไหร่ที่ผมมีเงิน สิ่งแรกที่ผมคิดจะครอบครองจะอะไรเสียอีกเล่านอกจากหนังสือดีๆ สักเล่ม การเดินทางผ่านถ้อยคำของหนังสือนั้นทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง
อย่างน้อยผมก็ได้รู้ว่า การเกิดมาในชาตินี้ไม่สูญเปล่าต่อการเรียนรู้โลกและผู้คน เราต่างพูดคุยกันและกันในมุมของเราเองผ่านถ้อยคำเพียงไม่กี่บรรทัด แต่เชื่อเหลือเกินว่าสิ่งยิ่งใหญ่ทั้งหลายแหล่ในโลกต่างซุกซ่อนตัวกันอยู่ในนี้ เพื่อรอการค้นพบจากพวกเรา
6.ผมกำลังเขียนหนังสือ
ผมนั่งอยู่นานนับนานในแต่ละวันเพื่อจะสร้างสรรค์ถ้อยคำขึ้นมาสักประโยค แต่กระนั้นโลกก็ไม่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้เป็นอัจฉริยะเหมือนกันหมดหรอกนะ โดยเฉพาะแรงกดดันจากปัจจัยที่เป็นอยู่ ความพยายาม ความฝันและการเรียนรู้ ยิ่งงานเขียนไม่ใช่เรื่องง่ายของนักเขียนใหม่ที่จะแหวกตัวขึ้นไปผงาดตามหน้านิตยสารได้
พรุ่งนี้ค่าเช่าห้องก็ต้องจ่าย เรื่องที่เขียนค้างไว้ยังคงไม่จบอีกเช่นเคย ไหนความมุ่งหวังจากคนทางบ้าน ความคิดสับสนทั้งปวงหลั่งไหลกันเข้ามา มันโหมหนักจนผมมิอาจสะกัดกั้นมันเอาไว้ได้ พร้อมเสียงเพลงจากรอบด้านที่ทะลักกันเข้ามาทางช่องลม
ทำให้ผมแทบไม่มีสมาธิที่จะเขียน ผมวางมือและหลับตาลง เฝ้าฟังสิ่งรอบข้างเพียงลำพัง บางทีผมอาจหัดปล่อยวางตัวตนและละอัตตาค่านิยมของถ้อยคำลงไปบ้าง หรือทิศทางในการวางตัวในสังคมควรเป็นอย่างนั้น อย่างที่พวกเขาเป็นกัน
แว่วเพลงแหย่ไข่มดแดงดังมาอีกแล้ว..ผมสะกดกั้นอารมณ์เหล่านั้นไว้ในใจ มันเดือดผุดๆในอก สุดท้ายผมเริ่มขยับปากร้องเพลงไปกับพวกเขา ดี
เราจะไปหาแหย่ไข่มดแดงพร้อมๆ กันในวันนี้!!!
จากคุณ :
เดอะแหลม
- [
7 พ.ค. 48 15:34:13
]