วันหนึ่งเด็กๆ เจ็ดพี่น้องตระกูลส้มมาเยี่ยมคุณยายที่ไร่ส้มต่างจังหวัด เด็กทั้งเจ็ดประกอบไปด้วย ส้มเช้ง ส้มโอ ส้มแป้น น้ำส้ม
ส่วนส้มจุกกับส้มจี๊ดเป็นฝาแฝดกัน ทั้งหกล้วนเป็นเด็กผู้หญิงทั้งหมด คงมีเพียงส้มเขียวหวาน น้องคนเล็กอายุห้าขวบเท่านั้นที่เป็นเด็กผู้ชาย
เด็กๆ ทั้งเจ็ดล้วนชอบฟังนิทานเป็นชีวิตจิตใจ แต่คราวนี้ไหนๆ ก็มาเยี่ยมคุณยายถึงบ้านไร่ทั้งที
เจ็ดพี่น้องจึงตกลงกันว่าจะให้คุณยายเป็นคนเล่าให้ฟัง
เล่านิทานหรือ อืม ฟังดูน่าสนใจดีนี่ คุณยายบอก แต่ยายว่าพวกหลานๆ น่าจะเป็นคนเล่าให้ยายฟังมากกว่านะ
ว้า! ยายเอาเปรียบนี่นา น้ำส้มซึ่งเป็นคนกลางในบรรดาพี่น้องทั้งเจ็ดพูด
แต่นิทานเรื่องนี้ไม่ใช่นิทานธรรมดาๆ นะ แต่ว่าเป็นนิทานของพวกเธอ
หมายความว่ายังไงคะ ส้มเช้งพี่คนโตถาม
ก็หมายความว่าเป็นนิทานที่เกี่ยวกับไอ้นี่ยังไงล่ะ ว่าแล้วคุณยายก็หยิบผลไม้ที่อยู่ในตะกร้าบนโต๊ะขึ้นมา
ส้ม! ส้มจุกกับส้มจี๊ดพูดพร้อมกัน
ใช่ พวกหลานต้องใช้ไอ้นี่ประกอบการเล่าเรื่อง แต่มีข้อแม้อยู่อย่างนึง
ข้อแม้อะไรคะ ส้มแป้นถาม
ข้อแม้ก็คือ เจ้าของสิ่งนี้มันจะเป็นอะไรก็ได้ยกเว้นตัวมันเอง และห้ามพวกหลานเอ่ยชื่อของมันออกมาเด็ดขาด เราจะผลัดกันเล่าไปเรื่อยๆ จนกว่า...
จนกว่าอะไรคะ น้ำส้มถาม
จนกว่าเราจะเล่าต่อไม่ได้นะสิ แล้วถ้าใครเล่าต่อไม่ได้ คนนั้นก็ต้องกลายเป็นปิศาจนิทานสิงสถิตอยู่ในบ้านหลังนี้ชั่วนิรันดร์ ปิศาจนิทานจะต้องเล่านิทานให้แขกทุกคนที่ต้องการฟัง
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของคุณยาย เด็กหลายคนเริ่มวิตกกลัวโดยเฉพาะน้ำส้ม ในขณะที่พ่อหนูส้มเขียวหวานน้องคนสุดท้องก็ดูดนิ้วหัวแม่มือ โดยไม่ได้มีทีท่าร้อนใจกับเรื่องปิศาจนิทานเลยแม้แต่น้อย
ว่ายังไง พวกหลานพร้อมรึยังจ๊ะ เอาล่ะ ยายจะเริ่มเล่าตอนต้นให้ก็แล้วกัน จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของหลานๆ นะ
คุณยายเงียบไปครู่หนึ่ง หยิบผลส้มมาคลึงเล่นพร้อมกับใช้ความคิด แล้วจึงเริ่มต้นเล่าว่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายคนหนึ่งเกิดมาอาภัพนัก ด้วยเหตุที่ว่าเขาเกิดมามีแต่หัว ไม่มีแขน ขา ลำตัว หรือว่านิ้วมือ นิ้วเท้าเลย และหัวของเขานั้นก็กลมเหมือน...
ส้ม! ส้มจุกกับส้มจี๊ดร้องขึ้นพร้อมกัน
ชู่! ลืมแล้วหรือไงจ๊ะว่านิทานเรื่องนี้ห้ามหลานๆ เอ่ยชื่อของมัน ยายจะบอกว่าหัวของชายคนนี้กลมเหมือนแตงโมต่างหาก ดังนั้นเวลาจะไปไหนมาไหนที เขาก็ต้องกลิ้งไป...เอาล่ะตาหนูแล้วล่ะ คุณยายพยักหน้าให้ส้มเช้ง โดยไม่เรียกชื่อ
บ้านของชายคนนี้อยู่บนเนินเขา และทำงานในโรงโบว์ลิ่งที่ตีนเขา ส้มเช้งเล่าต่อทันทีโดยไม่ต้องหยุดคิด เนื่องจากเขากลมไปทั้งตัวก็เลยคิดว่าการทำงานเป็นลูกโบว์ลิ่งน่าจะเหมาะที่สุด วันหนึ่งชายคนนี้ก็เดิน เอ๊ย กลิ้งออกไปทำงานตามปกติ ขาไปทำงานนั้นแสนจะสบาย เพราะเพียงแค่กลิ้งลงไปแป๊บเดียวก็ถึงที่ทำงานแล้ว
ส้มเช้งวิ่งไปที่บันไดแล้วเอาผลส้มกลิ้งลงจากบันไดขั้นบนประกอบการเล่า
จะลำบากก็อีตอนขากลับบ้านน่ะสิ ส้มเช้งเล่าถึงตอนนี้แล้วก็หยุดเสียเฉยๆ พี่เล่าจบแล้ว ตาเธอแล้วล่ะ เด็กหญิงหันไปบอกส้มโอน้องคนรอง
พี่ขี้โกงนี่นา! ส้มโอโวยวาย เล่าถึงตอนยากแบบนี้แล้วฉันจะเล่าต่อยังไงล่ะ
เอาน่า ก็พี่คิดไม่ออกนี่นา ส้มเช้งสารภาพ
ส้มโอค้อนพี่สาวก่อนจะเริ่มเรื่องในส่วนของเธอ เขารู้ดีว่าการกลับบ้านที่อยู่บนเขานั้นแสนยากลำบาก แต่จะไม่กลับบ้านก็ไม่ได้ เพราะที่นั่นเขามีพ่อแก่ๆ กับแม่ที่ป่วยอยู่ต้องคอยดูแล
แล้วเขาทำยังไง! ส้มเช้งแทรกขึ้น
ส้มโอค้อนพี่สาวอีกครั้ง เธอลุกไปหยิบหลอดดูดนมที่มีปลายแหลมด้านหนึ่งไว้สำหรับเจาะมาเสียบเข้าที่ขั้วผลส้มแล้วจึงเล่าต่อ
ทุกวัน เขาต้องพกโซ่เส้นหนึ่งติดตัวไว้เสมอ เพื่อว่าขากลับบ้านหลังเลิกงานเขาจะได้เอาโซ่คล้องรอบหัว แล้วเขาก็จะสะบัดปลายโซ่อีกข้างไปคล้องกับโคนต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ แล้วดึงตัวเขาขึ้นไป เมื่อถึงต้นไม้ต้นนั้นแล้วเขาก็จะปลดโซ่ออกแล้วสะบัดขึ้นไปคล้องต้นไม้ต้นถัดไป ด้วยวิธีนี้เองเขาจึงสามารถกลับขึ้นบ้านที่อยู่บนเนินเขาได้ แต่ว่ากว่าจะกลับถึงบ้านได้ก็ดึกโขแล้ว จึงไม่มีใครหาข้าวเย็นให้พ่อแม่กิน ทันทีที่เห็นหน้าเขา แม่ซึ่งนอนป่วยอยู่ก็ตวาดขึ้นมาทันทีว่า แกมัวหายหัวไปไหนมา รู้ไหมว่าข้าหิวแค่ไหน ชายผู้นี้ก็ขอโทษขอโพยแม่ว่า ฉันขอโทษจ้ะแม่ พรุ่งนี้ฉันจะกลับบ้านให้เร็วกว่านี้ แม่ก็ยังไม่เลิกโวยวาย หล่อนบอกว่า ถ้าพรุ่งนี้แกกลับมาไม่ทันพระอาทิตย์ตกดินละก็ ข้าจะฟาดแกให้น่วมเลยเชียว
แล้ววันต่อมาเขาทำยังไงล่ะ ส้มแป้นถามพี่สาวด้วยความตื่นเต้น
พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน นั่นเป็นหน้าที่ของเธอแล้วล่ะ ส้มโอปัดภาระ เธอถอนหายใจโล่งอกที่ยังไม่ต้องกลายเป็นปิศาจนิทานในเวลานี้
เมื่อไม่มีทางเลี่ยง ส้มแป้นจึงหยิบส้มผลนั้นมาพิจารณาครู่หนึ่งแล้วเล่าว่า
ชายผู้นี้นอนไม่หลับทั้งคืน เพราะมัวแต่คิดว่าจะแก้ปัญหานี้ยังไงดี วันรุ่งขึ้นเขาทำงานอย่างไม่มีสติจึงกลิ้งลงท่อด้านข้างเลนบ่อยเป็นพิเศษ ทำเอาบรรดาคนมาโยนโบว์ลิ่งต่างบ่นกันเป็นแถวว่า เอ๊ะ ทำไมอยู่ดีๆ มันกลายเป็นล้างท่อไปได้ อีกคนก็ว่า ลูกโบว์ลิ่งลูกนี้ต้องเป็นอะไรแน่ๆ ฝีมือเราไม่เคยแย่ขนาดนี้มาก่อน ว่าแล้วเขาก็ไปฟ้องผู้จัดการให้เอาลูกโบว์ลิ่งลูกอื่นมาเปลี่ยนให้เขา ผู้จัดการรีบทำตามความต้องการ แต่หลังจากลูกค้าจากไปพร้อมลูกโบว์ลิ่งลูกใหม่แล้ว ผู้จัดการก็หันมาเอ็ดชายคนนี้ วันนี้แกทำงานประสาอะไรกัน ไม่เอาแล้ว ฉันขอไล่แกออก!
เมื่อไม่มีงานให้ทำแล้ว เขาก็ไม่รู้จะทำอะไรจึงกลับบ้านด้วยอาการเศร้าสร้อย เมื่อแม่เห็นเขาเดินเข้าบ้าน หล่อนก็ยิ้มด้วยความพอใจแล้วบอกว่า ดีมากที่กลับมาทันทำอาหารให้แม่กินมื้อเย็น ชายคนนี้จึงเข้าครัวไปทำอาหารง่ายๆ ให้พ่อกับแม่ด้วยปากของเขา
เมื่อเอาข้าวให้พ่อแม่กินเสร็จแล้ว แม่ก็ถามว่า แล้วไหนล่ะเงินค่าจ้างสำหรับวันนี้ เอามาให้แม่เก็บไว้เสียเถอะ ชายผู้นี้ก็บอกว่า ไม่มีหรอกจ้ะแม่ เพราะฉันถูกไล่ออกแล้ว เท่านั้นแหละแม่ก็โกรธจัด ลุกขึ้นเอาไม้กวาดไล่ฟาดเขาโดยลืมไปว่าตัวเองกำลังป่วยหนัก ชายผู้นี้ได้แต่กลิ้งหนีโดยไม่อาจปัดป้องได้เพราะไม่มีมือ จนระบมไปทั้งหัว ออกไปซะ! แล้วอย่ากลับมาให้ข้าเห็นหน้าอีก ไอ้ลูกเฮงซวย! ชายผู้นี้ไม่มีทางเลือกในเมื่อแม่ไม่ต้องการให้เขาอยู่แล้วเขาก็ต้องจากไป แต่เขาก็ไม่รู้จะไปไหน เพราะชีวิตนี้เขารู้จักแต่บ้านกับโรงโบว์ลิ่งเท่านั้นเอง...
พี่เล่าต่อสิ น้ำส้มบอกพี่สาว
ตาเธอแล้วล่ะ ส้มแป้นโบ้ยให้น้องสาว
น้ำส้มซึ่งเป็นเด็กขี้แยกว่าพี่น้องคนอื่นๆ ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ตาแดงก่ำ เธอหันไปบอกคุณยายว่า ยาย หนูไม่อยากเป็นปิศาจนิทาน
งั้นหลานก็เล่านิทานสิจ๊ะ เล่าอะไรก็ได้ต่อจากพี่เขา ยายเชื่อว่าชายคนนี้ต้องหาทางจนได้นั่นแหละ คุณยายให้กำลังใจ นอกจากหลานแล้วไม่มีใครรู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
น้ำส้มเอามือป้ายเช็ดน้ำตาแล้วจึงเริ่มเรื่องของเธอ โดยช่วงแรกน้ำเสียงยังสะอึกสะอื้นอยู่
เขาตัดสินใจกลิ้งลงเขา เมื่อกลิ้งลงเขาหัวของเขาก็ฟาดกับก้อนหินและต้นไม้ต่างๆ จนหัวแตก น้ำส้มเอาเล็บจิกผิวส้มแล้วแกะเปลือกออกส่วนหนึ่ง แล้วก็เอาหลอดดูดนมที่เสียบขั้วผลส้มออก เขาปวดหัว ส่วนโซ่ที่เขาใช้คล้องหัวตัวเองก็ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว เพราะเขาไม่อาจกลับบ้านได้อีกต่อไป
น้ำส้มเอาผลส้มกลิ้งไปมากับพื้น ยิ่งกลิ้ง เขาก็ยิ่งเจ็บแผล แล้วหัวของเขาก็ถลอกปอกเปิกจนหมด
ถึงตอนนี้เด็กหญิงก็แกะเปลือกส้มออกจนหมด
เขาตัดสินใจเร่ร่อนไปที่อื่น กลิ้งถึงที่ไหนก็ไปที่นั่น
แล้วเธอก็หยุดกลางคัน ดวงตาเธอมีน้ำตาคลอ ยาย หนูไม่รู้แล้วว่ามันจะเป็นยังไงต่อ
เท่านี้ก็ใช้ได้แล้วล่ะ เป็นนิทานที่เยี่ยมมากจ้ะ คุณยายยิ้มให้
หนูจะไม่กลายเป็นปิศาจนิทานใช่ไหมคะ
สำหรับตอนนี้ละก็ไม่หรอกจ้ะ คุณยายบอก ต่อไปก็ให้เป็นหน้าที่ของส้มจุกกับส้มจี๊ดก็แล้วกัน หลานสองคนใครจะเล่าก่อน
เราจะเล่าพร้อมกัน ส้มจุกกับส้มจี๊ดบอก
เอางั้นก็ได้ คุณยายบอก
วันหนึ่งชายคนนี้ก็เดิน เอ๊ย กลิ้ง ไปจนเจอขอทานคนหนึ่ง ส้มจุกเริ่มต้น ขอทานคนนี้บอกว่า นายท่าน หัวของท่านดูช่างน่านอนเหลือเกิน ถ้าไม่รังเกียจละก็ท่านจะช่วยทำบุญทำทานขอทานอย่างข้าให้ได้นอนบนหัวของท่านสักหน่อยจะได้ไหม
แล้วส้มจี๊ดก็เล่าบ้าง
ชายคนนี้ลังเลอยู่นาน เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าหัวของตัวเองจะน่านอนอย่างที่ขอทานพูด เพราะเขาไม่เคยนอนบนหัวของตัวเองมาก่อน แต่ในเมื่อขอทานขอร้องถึงขนาดนี้แล้ว เขาจึงยินดีมอบหัวของเขาให้ขอทาน
แล้วส้มจี๊ดก็ฉีกส้มแบ่งครึ่งลูกยื่นส่งให้ส้มจุก ดังนั้นคู่แฝดของเธอจึงเล่าต่อ
เขาเอาหัวของตัวเองครึ่งหนึ่งให้ขอทาน แล้วขอทานก็วางหัวของเขาครึ่งนั้นบนพื้นแล้วลองขึ้นไปนอนดู โอ้ ช่างสบายอย่างที่คิดไว้จริงๆ ขอบคุณท่านมากนะ ชายคนนี้รู้สึกดีใจที่ได้ทำให้คนอื่นมีความสุข ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อาจกลับไปทำงานเป็นลูกโบว์ลิ่งได้อีกแล้วก็ตาม
เมื่อส้มจุกหยุด ส้มจี๊ดก็เล่าต่อโดยไม่ปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุม
คราวนี้เขาจะกลิ้งก็กลิ้งไม่ถนัดแล้ว เพราะเหลือหัวแค่ครึ่งเดียว ด้านที่กลมนั้นยังพอกลิ้งได้ แต่เมื่อกลิ้งไปถึงด้านแบนๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะกลิ้งไปยังไงต่อ เขาเอาหัวถูกับพื้นขณะใช้ความคิด (ถ้าเขามีมือเหมือนคนปกติก็คงจะเกาหัวไปแล้ว) เขาคิดมากจนผมตัวเองร่วงไปตั้งเยอะ
แล้วส้มจี๊ดก็ดึงเอาใยส้มออกมาสองสามเส้น แล้วส่งส้มครึ่งลูกนั้นให้คู่แฝดของเธอ
เขามองซ้ายมองขวา ส้มจุกเล่าต่อ เพื่อจะหาของอะไรที่ช่วยเขาได้ แล้วเขาก็พบ...
แพลำหนึ่ง! ส้มจี๊ดเล่าต่อ เมื่อล่องแพไปจนสุดลำธาร ชายผู้นี้ก็ต้องขึ้นฝั่ง เขาเจอแม่มดตนหนึ่งมาขอแบ่งหัวของเขาไปทำเป็นหมวกของหล่อน ชายผู้นี้ก็เลยยื่นหัวของเขาให้แม่มด แม่มดตนนี้ก็โลภเหลือเกิน หล่อนแกะเอาหัวของชายคนนี้ไปเกือบหมด เหลือให้เจ้าของเพียงแค่เสี้ยวเล็กๆ เท่านั้นเอง
แล้วส้มจี๊ดก็แกะส้มออกจนเหลือแค่กลีบเดียว เธอยื่นส่งให้ส้มเขียวหวานผู้เป็นน้องชาย เธอกับคู่แฝดพูดพร้อมกันว่า เราไม่รู้จะเล่าอะไรต่อแล้ว
น้ำส้มเห็นสภาพของส้มที่เหลือแค่กลีบเดียวก็ทำท่าจะร้องไห้ขึ้นมาอีก
โธ่! ดูพวกเธอทำกับเขาสิ เหลือแค่เสี้ยวเดียวยังงี้แล้วจะทำอะไรต่อได้ล่ะ ยังอีกตั้งนานกว่าจะเช้า มีหวังน้องเล็กของเราต้องกลายเป็นปิศาจนิทานแน่เลย
ส้มเช้ง ส้มโอ และส้มแป้นต่างก็วิตกเหมือนน้ำส้ม ขณะที่ส้มเขียวหวานเอานิ้วหัวแม่มือออกจากปาก เขายื่นมือข้างนั้นไปรับส้มมาจากพี่สาว
หัวเขาเหลือแค่จี๊ดเดียวเอง เด็กชายเล่า เขากระโดดไปกระโดดมาจนเจอพระฤๅษีนั่งอยู่บนหินก้อนเบ้อเริ่ม เขาจับกลีบส้มกระโดดตามจังหวะการเล่าเหมือนเด็กเล่นตุ๊กตุ่นตุ๊กตา แล้วเล่าต่อว่า พระฤๅษีเห็นก็สงสาร ก็เลยชุบตัวให้เขาใหม่
เด็กชายลุกไปหยิบส้มผลใหม่จากตะกร้ามาอวดคนอื่นแล้วยิ้ม
พี่ๆ ทั้งหกได้เห็นและฟังนิทานของน้องชายก็โล่งอก ชายคนนี้กลับมามีหัวกลมๆ เหมือนเดิมแล้ว ทีนี้พวกเธอก็สารถเล่าเรื่องต่อไปได้
จนกระทั่งเช้านิทานเรื่องนี้ก็ยังไม่จบ เมื่อใดก็ตามที่ชายคนนี้มีสภาพยับเยินจนเกินเยียวยา เขาก็จะไปเจอพระฤๅษีซึ่งชุบตัวให้เป็นคนใหม่ทุกครั้ง
แม้ส้มในตะกร้าของคุณยายจะพร่องไปมาก พร้อมกับเปลือกส้มเกลื่อนพื้น แต่อย่างน้อยคืนนี้เด็กๆ ก็รอดพ้นจากการเป็นปิศาจนิทานไปได้!
จากคุณ :
ปรีดา
- [
9 พ.ค. 48 20:33:21
A:203.156.23.151 X:
]