เพื่อนรัก
เพื่อนของผมมีหลายกลุ่ม ตั้งแต่เพื่อนนักเรียนโรงเรียนเดียวกัน เพื่อนข้างบ้าน และเพื่อนเมื่อรับราชการแล้ว ซึ่งอาจอยู่ในหน่วยเดียวกัน หรือต่างหน่วย มีทั้งทหาร ตำรวจ พลเรือน และประชาชนคนธรรมดา ที่รักกันมากนั้น ขอเล่าเพียงสามคนก่อน
พี่สัน เป็นข้าราชการหน่วยเดียวกันมาก่อน เขามีอายุแก่กว่าผมหลายปี เมื่อผมเข้าทำงานตั้งแต่รุ่นหนุ่ม เขาเป็นหนุ่มฉกรรจ์แล้ว เขาสอนวิทยายุทธของลูกผู้ชาย ให้ผมเกือบทุกอย่าง สมัยนั้นเขามีเงินเดือนมากกว่า ผมจึงติดตามเขาไปเกือบทุกหนทุกแห่ง โดยที่ผมเกือบไม่ต้องจ่ายเงิน เมื่อผมโตขึ้นผมก็ไม่เคยทอดทิ้งเขาเลย
นายผี มีอาชีพหลายอย่างที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามแต่ความพอใจ เป็นทหารเกณฑ์รุ่นเดียวกัน แต่ไม่รักการเป็นทหาร ออกไปเป็นลูกจ้างในกระทรวงคมนาคม แล้วก็เปลี่ยนไปเป็นนายท่ารถเมล์ จนได้เมียเป็นกระปี๋ สุดท้ายเป็นพนักงานของกรุงเทพมหานคร เราคบกันตั้งแต่เด็กจนกระทั่งโต เขากินเหล้าเป็นก็เพราะผมชักนำ
นายออด เป็นครูโรงเรียนราษฎร์ แถวสี่พระยา อายุอ่อนกว่าผมร่วม ๕ ปี แรก ๆ ก็เรียกพี่ พอคบกันไปนานกินเหล้าแก้วเดียวกันได้ ก็เลยเลิกเรียกพี่ เขาเป็นคนมีความสามารถสูงในหลาย ๆ ด้าน มีปฏิภาณไหวพริบดีกว่าเพื่อน มีความเป็นนักเลงกล้าได้กล้าเสีย ไม่เอาเปรียบใคร แต่ก็ไม่ยอมเสียเปรียบใคร เหมือนกัน
พี่สันเป็นคนใจกว้าง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่คนทั้งหลาย โดยเฉพาะที่เป็นเพศตรงข้าม เวลาไปท่องเที่ยวในที่ต่าง ๆ จะชอบเป็นพ่อครัวทำอาหารให้เพื่อนกิน แต่ก็ไม่มีอะไรพิศดาร แค่ ผัด ๆ ต้ม ๆ ไปตามเรื่อง แล้วแต่วัตถุดิบที่หาได้ในภูมิประเทศ
อยู่มานานพอสมควร เกิดมีอาการเป็นโรคใส้เลื่อน ปรึกษาเพื่อนแล้วก็เข้าไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลมีชื่อในกรุงเทพ หลังผ่าแล้วนอนอยู่สามวันไม่ยอมเข้าส้วม คงจะไม่ถนัดเหมือนที่บ้าน เกิดกระเพาะปัสสาวะแตก ต้องผ่าตัดเป็นครั้งที่สอง
คราวนี้ต้องงดอาหาร ให้น้ำเกลือติดต่อกันสองวัน เกิดถ่ายเป็นเลือด เพราะมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร เนื่องจากเป็นแผลในกระเพาะโดยไม่รู้ตัว ต้องผ่าตัดอีกเป็นครั้งที่สาม
แต่ เมื่อกลับมานอนที่เตียง อาการถ่ายเป็นเลือดนั้นก็ยังไม่หยุด เลยต้องผ่าตัดซ้ำเป็นครั้งที่สี่ คราวนี้เรียบร้อย แผลหายตามลำดับจนกลับบ้านได้
แต่การที่ต้องดมยาสลบถึงสี่ครั้ง ภายในเดือนเดียว ทำให้เกิดอาการ ทางประสาท ได้หน้าลืมหลังกินแล้วว่าไม่ได้กิน จนกระทั่งถึงถ่ายเบาถ่ายหนักไม่รู้ตัว ไม่สามารถควบคุมได้ คล้ายคนชราที่มีอาการหลง เพื่อนไปเยี่ยมก็จำกันไม่ได้ เลยต้องไปหาปีละครั้งเดียวคือวันเกิด
รายนายผีนั้นช่วยเมียร้อยพวงมาลัยขาย เป็นงานอดิเรกอยู่นาน ก็พอได้ค่าน้ำแข็ง ค่าโซดาตามสมควร ถึงจะถูกบ่นว่าเอาบ้างก็พอทนได้ แต่เกิดไม่พอใจผู้บังคับบัญชาขึ้นอย่างฉับพลัน ก็ผลุนผลันลาออกมารับบำนาญเสีย แล้วก็สาบานว่าจะเลิกกินเหล้า
แต่กลัวจะควบคุมตัวเองไม่ได้ จึงไปบวชอยู่ที่วัดแถวถนนบางนาตราด ประมาณกิโลเมตรที่เจ็ด ผมไปเยี่ยมก็เห็นสบายดี
บวชอยู่ได้สักสามพรรษา เช้าวันหนึ่งออกบิณฑบาตร ขากลับถูกรถอะไรก็ไม่รู้ เฉี่ยวเอาขณะที่เดินข้ามถนนกลับวัด นอนกลิ้งคลุกฝุ่นสลบเหมือดอยู่ข้างถนน ชาวบ้านต้องช่วยกันพาไปส่งโรงพยาบาลเอกชนที่ใกล้ที่สุด สลบไปสามวัน พอฟื้นขึ้นมาเห็นตัวเลขค่ารักษาแล้ว เจ้าตัวบอกว่าอยากกลับไปนอนตายที่เดิม แต่บังเอิญมีญาติร่ำรวยและมีเมตตาช่วยชำระหนี้ให้ แต่ก็ต้องพิการบวชต่อไปไม่ได้ เลยอยู่บ้านให้เมียเลี้ยงสบายแฮ
ส่วนนายออดนั้น เป็นเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวกับผมอยู่นาน เคยไปเที่ยวถึงเชียงใหม่ แล้วต่อไปน้ำตกแม่กลาง สมัยที่ยังไม่มีถนนกว้างขวางอย่างเดี๋ยวนี้
เคยลงเรือทวนแม่น้ำเจ้าพระยา ขึ้นไปลอยกระทงถึงปากเกร็ด ในสมัยที่ ยังไม่มีเรือหางยาว หรือเรือด่วนเป็นใหญ่ในแม่น้ำอย่างเดี๋ยวนี้
เคยขึ้นรถไฟไปอยุธยา แล้วอาศัยท้ายบาหลีเรือพ่วงบันทุกสินค้า กลับมาถึงกรุงเทพเช้าวันรุ่งขึ้น
เคยไปช่วยงานบวชงานแต่งงานและงานศพต่างจังหวัด ด้วยกันทุกหนทุกแห่งที่มีคนชวน
และไม่ว่าจะไปแห่งหนตำบลใด สิ่งที่ไม่เคยขาดย่ามก็คือน้ำแข็ง ไปหาเหล้าเอาข้างหน้า เพราะกินได้ทุกชนิด ทุกยี่ห้อ ทุกเวลา และทุกสถานที่เว้นแต่ในโบสถ์เท่านั้น
ที่ชอบมากก็คือ เหล้าเซี่ยงชุนป้ายแดงของ ร.ง.บ.ย.ข. น้ำแข็งนั้นเอาไว้ตบตูด ขออภัย เขาเรียกการดื่มเหล้าเพียว ๆ แล้วตามหลังด้วยน้ำเย็นอย่างนั้นจริง ๆ ไม่ใช่คำหยาบอะไร อย่าเพิ่งเซ็นเซ่อร์นะครับ
นายออดเป็นผู้ที่มีความสามารถมากอย่างว่า เมื่อได้ที่เข้าไปแล้วจะให้ร้องรำทำเพลงอะไรได้ทั้งนั้น ทั้งเพลงฉ่อย ลำตัด ลิเก พากย์โขน เชิดหนังตะลุง ไม่มีติดขัด คราวหนึ่งไปงานบวชที่ไหนจำไม่ได้ เขามีวงดนตรีไทย ก็ช่วยเขาบอกเนื้อเพลงนางนาค สรรเสริญเจ้าภาพเป็นกลอนสดจนได้รางวัล
ผมจึงจำกลอนบทนั้นมาให้เขาท่อง เอาไว้ใช้ในงานอื่นต่อไป จะได้ไม่ต้องคิดให้เปลืองแรงงาน และเสียเวลาดื่ม
เรามีความสามารถในการถ่ายภาพเท่าเทียมกัน ในสมัยที่ยังไม่มีการถ่ายเทปโทรทัศน์ หรือที่เรียกกันติดปากว่าวีดีโอ เรารับถ่ายรูปในงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานอะไร และต้องไปด้วยกันสองคน ให้คนหนึ่งนั่งโต๊ะจองเก้าอี้ไว้ คนหนึ่งไปถ่ายรูป อีกคนหนึ่งเตรียมสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนฟิล์ม หรือถ่านแฟล็ชที่ต้องการความรวดเร็ว ให้ทันเหตุการณ์ เพราะเป็นกล้องรีเฟล็กซ์เล็นส์คู่ใช้ฟิล์มสามนิ้ว ถ่ายได้ม้วนละสิบสองรูป ต้องกะให้ถูกจังหวะตามลำดับพิธี พอหมดม้วนก็รีบกลับมาเปลี่ยนฟิล์ม แล้วก็ผลัดให้อีกคนหนึ่งไปถ่าย คนที่อยู่กับโต๊ะก็ได้ดื่มแก้เหนื่อยไปพลาง ๆ
ถ้าเป็นงานในกรุงเทพ หลังจากเลิกงานแล้ว เรามักจะหาที่นั่งคุยสรุปผลกัน ตามร้านข้าวต้มที่เปิดขายตลอดรุ่ง โดยไม่ได้กินข้าวต้ม เพราะมัวแต่วิเคราะห์การทำงาน ทั้งด้านดีและข้อบกพร่อง จนหมดไปร่วมคนละแบน แล้วจึงจะแยกย้ายกันกลับบ้าน
คราวหนึ่งไม่ดึกนัก คือยังไม่เลยสองยาม เรานั่งกันอยู่ที่ร้านแถวบางขุนพรหม ซึ่งเจ้าของร้านรู้จักกันมาตั้งแต่ยังเป็นลูกจ้าง ประจำหน้าเขียงอยู่ที่ร้านอื่น จนเจริญเติบโตมาเป็นเถ้าแก่เอง เรานั่งโต๊ะด้านในสุดชิดผนัง คุยกันไปได้ไม่นานนักโต๊ะที่อยู่บนทางเท้าริมถนน นั่งกันอยู่สามคน ก็ลุกออกจากโต๊ะ โดยเถ้าแก่เห็นว่ายังไม่ได้คิดเงิน จึงให้ลูกน้องเดินเข้าไปเตือน
แต่พูดกันอีท่าไรไม่ทราบเพราะไม่ได้คอยจ้องดู เกิดพะบู๊กันขึ้น แต่ไม่ยักใช่หนึ่งต่อสาม กลับเป็นสามต่อห้า เพราะลูกน้องเถ้าแก่วิ่งจากหลังร้านออกมาช่วยกันอีกสี่คน ฟาดกันจนโต๊ะเก้าอี้ถ้วยชามล้มระเนระนาด ลูกค้าที่อยู่ในร้านอีกสองสามโต๊ะเลยถือโอกาสหลบลูกหลง ออกจากร้านไปหมด เหลือแต่เราสองคน
เมื่อเหตุการณ์สงบแล้ว เถ้าแก่ก็มาคุยเล่ารายละเอียดให้ฟัง ผมก็เลยกะจะสั่งต่อมาดับความตื่นเต้นอีกสักแบน แต่นายออดบอกว่าพอเถอะ เฉ่งเงินแล้วรีบไปเสียจากที่นี่ ไม่งั้นอาจโดนลูกเกลี้ยงหรือขรุขระก็ได้
เพราะสมัยนั้นกองกำลังไม่ทราบฝ่าย เกลื่อนกรุงไปหมด ทั้งขวาพิฆาตซ้าย และซ้ายทลายขวา
ต่อมาอีกครั้งหนึ่ง กลับจากต่างจังหวัด ยังไม่ดึกนักตามเคย อย่างที่ครูแจ๋วเรียกว่าราตรียังเยาว์ เขาชวนไปบ้านเพื่อนของเขาชื่อนายผึ่ง ซึ่งยังไม่ค่อยสนิทกับผมนัก และรู้สึกว่าหนักเกินไปแล้วด้วย จึงขอแยกกลับบ้าน เขาเลยไปคนเดียว
พอรุ่งขึ้นเจอกันตอนเย็น เขาก็เล่าว่าเมื่อไปถึงบ้านนายผึ่ง ปรากฎว่ามีเพื่อนอีกสองคนนั่งอยู่ก่อน และล่อกันมาตั้งแต่เย็นจนได้ที่แล้ว คุยกันเสียงดังลั่นไปไกล พอเขาไปถึงคุยได้ไม่นาน เพื่อนสองคนก็ลากลับ บ้านนั้นเป็นบ้านชั้นเดียวเตี้ย ๆ เขานั่งขัดสมาธิหันหลังให้ประตูหน้าบ้าน สักครู่หนึ่งก็มีก้อนอิฐลอยละลิ่ว ผ่านประตูข้ามหัวเขาตกโครมลงบนจานกับข้าวกลางวง แตกกระจาย น้ำแกงกระเด็นเปรอะเสื้อกางเกงทั้งสองคน
นายผึ่งเดาว่าเป็นฝีมือคนข้างบ้าน ที่ไม่ค่อยจะชอบขี้หน้ากันอยู่ ก็ลุกขึ้นตะโกนด่าท้าทายอย่างหยาบคาย ไปทางบ้านหลังนั้น แต่ก็ไม่มีใครตอบโต้ว่ากระไร ทั้งสองจึงลงนั่งดวดต่อ พลางวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุการณ์อันน่าหวาดเสียวนั้นอยู่สองคน
อีกไม่ช้าไม่นาน ก็มีเสียงตะโกนเรียกอยู่นอกรั้วบ้าน ท้าทายให้ออกไปตีกัน ตามที่นายผึ่งได้ประกาศไว้ นายผึ่งชักหายเมา แต่นายออดชักยั้วะ มองออกไปเห็น เด็กหนุ่มสองสามคน ถือไม้ดุ้นเบ้อเริ่ม เดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าบ้าน
นายออดเห็นช้างเท่าหมู ก็เดินอาด ๆ ออกไปโดยไม่ฟังเสียงเรียกของนายผึ่ง
" แล้วเป็นยังไง "
ผมรีบซัก
" ไม่เป็นไงเลย พูดกับมันสองสามคำ มันก็ทิ้งไม้ยกมือไหว้เรา "
" ฮ้า...ถึงยังงั้นเชียวเรอะ ไม่น่าเชื่อ "
" ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ "
เขาบอกด้วยเสียงธรรมดา
" ก็เราจำหน้ามันได้ เป็นเด็กที่โรงเรียนเราเอง ก็ถามมันว่าจำครูไม่ได้หรือ ก็เท่านั้นเอง จบเรื่อง "
ผมถอนหายใจเฮือก
"แล้วไง ลองสรุปซิ"
" มันบอกว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย นายผึ่งไปด่าพ่อล่อแม่มัน ตอนนั้นมันออกไปนอกบ้าน พอกลับมาก็เป็นเรื่อง "
" มันไม่ใช่คนที่เขวี้ยงก้อนอิฐเข้ามาหรอกเรอะ "
" เปล่าเลย เจ้าผึ่งโทรไปขอโทษเราที่โรงเรียนว่า เพื่อนมันเองที่ลากลับไป นึกอยากจะล้อเล่นเลยโยนก้อนอิฐเข้ามากะแค่หน้าประตู บังเอิญเมามากเลยดันตกลงกลางวงพอดี ยังกะจับวาง "
แล้วตั้งแต่บัดนั้น ผมก็ไม่ได้กินเหล้ากับนายออดอีกเลย เป็นเวลานานมากแล้ว ผมจึงคิดถึงเพื่อนรักของผมคนนี้มาก
เพราะเขาถูกรถชนตาย ขณะที่ออกจากบ้านกำลังจะข้ามถนน เพื่อขึ้นรถเมล์เล็กไปโรงเรียนในอีกสองสามวันต่อมา นั้นเอง.
จากคุณ :
เจียวต้าย
- [
11 พ.ค. 48 10:04:10
]