CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    คนว่ายาก (รวมเรื่องสั้นของเจียวต้าย ชุดที่ ๓)

    คนว่ายาก
                                                                             

                       ผมนอนมองน้ำเกลือที่หยดจากขวด ลงไปในสายพลาสติค  ที่ห้อยลงมายังเข็มซึ่งปักตรึงอยู่กับเส้นเลือดเหนือข้อมือซ้ายของผม อย่างช้า ๆ ทีละหยดทีละหยด ดูจะกินเวลานานเหลือเกินกว่าจะหมดขวด

    แต่ละหยดของมันได้ช่วยคืนพลังวังชาของผมให้ดีขึ้นเป็นลำดับ ความคลื่นใส้ปั่นป่วนมวนท้องค่อยทุเลาลง หลังจากที่ได้อาเจียรอย่างหนักมาครึ่งคืนจนหมดแรง

    แล้วผมก็หวนนึกไปถึงอดีต เมื่อหลายสิบปีก่อน..........
                       

    # # # # #

                       ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งอายุแก่กว่าผมไม่กี่ปี แต่เขาเป็นสิบเอกอยู่ในกรมทหารแถวสะพานแดงแล้ว ในขณะที่ผมเพิ่งเป็นเสมียนต๊อกต๋อย เราคบกันอย่างใกล้ชิดสนิทสนม      เที่ยวด้วยกันกินด้วยกัน เว้นแต่ไม่ได้นอนด้วยกันเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่เขาจะเป็นผู้จ่ายเงิน เพราะเขามีมากกว่าผม

                       เราห่างกันไปร่วมสิบกว่าปี เมื่อเขาย้ายไปรับราชการที่ต่างจังหวัด จนกระทั่งผมได้มีโอกาสไปในงานแต่งงานน้องสาวของเพื่อนอีกคนหนึ่ง ที่จังหวัดนครสวรรค์ จึงได้พบเขาอีกครั้งที่หน้าภัตตาคารแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด ด้วยสภาพของสารถีรถ    สามล้อเครื่อง ผู้มีสุขภาพชำรุดทรุดโทรมเต็มที เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่เขาดื่มมันมาตั้งแต่ครั้งไปราชการสนาม  

    และก็ได้ความว่าออกจากราชการเสียแล้ว เพราะไม่ถูกกับเจ้านาย จึงยึดอาชีพขี่ สามล้อ เลี้ยงชีวิตไปตามแกน  สังขารก็ร่วงโรยลงไปตามลำดับ  จึงเปลี่ยนมาขับรถตุ๊ก ๆ แทน เงินที่เหลือจากค่าเช่าก็ลงขวดหมด                                                                    
     
    เมื่อผมถามถึงครอบครัวของเขาซึ่งผมหมายถึงภรรยาที่มีอาชีพครู และลูกชายหญิงของเขา

                       " เขาทิ้งข้าไปหมดแล้วละว่ะ อย่าไปห่วงเขาเลย สบายไปซะแล้ว "

                       " อ้าวไหงเป็นงั้น...แล้วเพื่อนก็เลยต้องมา..."

    ผมชงักปากไว้ ตามองดูยานคู่ชีพของเขา ซึ่งมีลักษณะโกโรโกโสพอ ๆ กับสภาพผู้เป็นเจ้าของ

                       " เราก็หากินเลี้ยงท้องตัวเองไปมื้อ ๆ ยังงี้แหละวะ "

    เสียงของเขาเข้มแข็ง ต่างกับสังขารที่ซูบซีดร่วงโรยที่มองเห็นได้ ใบหน้ากร้านเกรียม เบ้าตาลึก แต่แก้มป่องแทบจะย้อย จมูกแดงบานและมีน้ำมูกซึมอยู่ตลอดเวลา แขนทั้งสองข้างลีบเรียว บนผิวหนังมีรอยลอกเป็นแห่ง ๆ

                       " ยังพอทู่ซี้ไปได้ไม่ถึงกับอดตายหรอกว่ะ "

    ผมพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงรับทราบ อยากจะซักไซ้ต่อไป ให้ละเอียดกว่านี้อีก แต่สมองมึนตื้อด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ จึงจับต้นชนปลายไม่ถูก  

    พอดีเขาถามขึ้นว่า

                       " แล้วเพื่อนล่ะ คงสบายดีซีนะ "

                       " ฮื่อ "

    ผมยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้ดีไปกว่านั้น

                       " เป็นชั้นตรีหรือยังล่ะ"

    เขาถามถึงอาชีพหลักของผม

                       " ตอนนี้เป็นชั้นโทแล้ว"

                       " เออดี "

    เขาคว้ามือผมไปเขย่าอย่างแรง  ความรู้สึกซาบซึ้งตื้นตัน  แล่นผ่านมือทั้งสองของเราไปอย่างรู้สึกได้

                       " เพื่อนได้ดีก็ดีใจด้วยว่ะ ดีใจจริง ๆ แต่ไม่มีโอกาสได้เลี้ยงฉลอง "

                       " เฮ้ย...มีซีวะ "

    ผมเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้อย่างปัจจุบันทันด่วน

                       " เดี๋ยวนี้แหละ ไป...เข้าไปในร้านด้วยกัน "

                       " ไม่เอาโว้ย อายเขาตายห่ะ สารรูปเรายังกะอีแร้ง "

    เขาขืนตัวไม่ยอมลงจากรถตามแรงฉุดของผม

                       " เหอะน่า อายใครกัน ไม่มีใครเขาสนใจเราหรอก "

                       " ไหว้ทีละวะ ขอตัวที "

    เสียงของเขาอ้อนวอนขอร้องอย่างจริงใจ

                       " ตามสบายเถอะ อย่าห่วงเราเลย โอกาสหน้าค่อยเจอกันใหม่ "

    ว่าแล้วเขาก็สตาร์ทรถคู่ชีพออกไปจากที่จอด โดยไม่ยอมฟังเสียง ผมจำใจต้องปล่อยให้เขาไป เพราะไม่สามารถจะหยุดรถของเขาไว้ได้ ในขณะนั้น

                             # # # # #              

    ผมนึกถึงคำพูดของเขา เมื่อก่อนที่เขาจะย้ายออกไปต่างจังหวัด ตอนที่ผมเตือนเขาว่า

                       " กินเหล้าไม่เติมโซดายังงี้ ลูกยังไม่ทันจะโต แกจะแย่เสียก่อนนา "

                       " ชั่งหัวมัน "

    เขากระดกเสียอีกพรวดหนึ่งเป็นการยืนยัน

                       " เรากินเหล้ามาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น แกก็รู้ แต่อยู่มาได้ถึงเดี๋ยวนี้  ดูเจ้าผีนั่นไง ซัดกราขาวเป็นขวด ๆ ทุกวันก็ยังเห็นสบายดีไม่ใช่เรอะ ทีเจ้าออดกินเหล้าไม่ตายรถเสือกทับตายไปก่อน เอาแน่ได้เมื่อไร คนอย่างเราเชื่อดวงว่ะ จะตับแข็งหรือกะเพาะทะลุ หรือมะเร็ง มันก็ไอ้ตายเหมือนกันแหละวะ ไม่เห็นมีใครอยู่ค้ำฟ้าซักกะคน "

                           # # # # #

                       แล้วผมก็คิดไปถึงหมอที่ผมไปนอนให้รักษาเมื่อหลายปีก่อน ที่เอามือจิ้มชายโครงข้างขวาของผม กดเต็มแรง แล้วบอกว่า

                       " ตับโตออกมาตั้งนิ้ว "

    ผมยังมีกะใจถามว่า

                       " นิ้วฟุตหรือครับ "

                       " ฮื่ย นิ้วมือน่ะ "

    หมอถลกขากางเกงขึ้น พิจารณาดูข้อเท้าทั้งสองข้างที่บวมเป่ง มองไม่เห็นตาตุ่ม เอานิ้วกดลงไปบนหลังเท้าและหน้าแข้งจนเป็นรอยบุ๋ม แล้วว่า

                       " กินเหล้าหนักละซี  "

                       " ก็เอาอยู่ครับ "

    ผมอ้อมแอ้มตอบ

                       " ติดหรือเปล่า "

                       " ไม่ติดครับ "

    ผมยืนยันเหมือนทุกคนที่ถูกถามประโยคนี้

                       " งั้นก็เลิกได้แล้วถ้ายังรักที่จะมีชีวิตอยู่ "

    หมอกระแทกเสียงหนักแน่น แล้วก็ให้ยากินรักษาตัวอยู่เกือบปี

    พอตรวจครั้งสุดท้ายบอกว่า ผลการตรวจโลหิตเป็นปกติแล้ว เลิกกินยาได้ ผมก็ค่อย ๆ กระซิบบอกหมอว่า

                       " ตลอดเวลาที่แล้วมานั้น ผมกินเบียร์เติมโซดาครับ "

    หมอไม่ยักพูดว่าอะไร................

              # # # # #

    คราวนี้ผมนึกถึงคำพูดของหมอที่ตรวจ เมื่อเช้านี้ว่า

                       " พรุ่งนี้จะส่งไปตรวจอัลตราซาวด์  ดูถุงน้ำดีและตับ  กับเอ็กซเรย์ดูกระเพาะอาหารเมื่อทราบผลแล้วจึงจะได้รักษาให้ถูกทาง คืนนี้หลับให้สบายไม่ต้องวิตก "    

    ผมก็ไม่ได้วิตกอะไรนักหรอก ไม่ว่าจะเป็นนิ่วในถุงน้ำดี  หรือมะเร็งที่ตับ หรือแผลในกระเพาะอาหาร เพราะเชื่อคำพูดของเพื่อน ที่เล่ามาข้างต้นนั้น เขาไม่ได้ตายด้วยโรคอันน่ากลัวเหล่านั้นเลย

                       เขาเมาตกน้ำตายที่ปากน้ำโพ หลังจากที่ได้เจอกันไม่กี่วันเอง.

    จากคุณ : เจียวต้าย - [ 16 พ.ค. 48 06:22:38 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป