CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    การจากลาของหมาน้อย

    ยิ่งอยู่ใกล้กันเหมือนยิ่งอยู่ห่างไกล   แต่พออยู่ห่างไกลกลับเหมือนอยู่ใกล้ชิดกัน...

    ของบางอย่างที่อยู่ใกล้ตัว ในหลายๆ ครั้งฉันก็มองข้ามมัน เพราะว่ามันอยู่ใกล้ตัวมากเกินไป ฉันเห็นทุกวันจนชินตา ในบางครั้ง ฉันก็ให้ความสำคัญของสิ่งใกล้ตัวน้อยเกินไป เพราะคิดว่ามันเป็นเพียงแค่ของธรรมดาชิ้นนึงที่ไม่มีความสำคัญอะไร จนกระทั่ง...

    วันสุดท้ายที่มันอยู่กับฉัน ฉันไม่คิดมาก่อนเลยว่ามันเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่ฉันจะได้เห็นเพื่อนที่ตอนนี้ฉันรักมากที่สุดจนเหมือนกับเป็นสมาชิกหนึ่งในครอบครัว

    เพราะเพื่อนผู้นั้นได้จากฉันไปอย่างไม่มีวันกลับ กว่าฉันจะเห็นค่า มันก็สายเกินไปซะแล้ว ภาพใบหน้าของเพื่อนผู้แสนดีจะยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของฉันตลอดไป...

    ถึงเราอยู่ห่างไกล แต่หัวใจเราใกล้ชิดกัน

    ไปดีเถอะนะ เจ้าเพื่อนยาก ฉันยังคิดถึงเธอเสมอ
                                                                                                                                               
    -----------------------------------------------------------------------------------

    ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว

    ในวันเกิดของฉัน วันที่ 30 สิงหาคม เป็นวันที่ฉันได้พบของขวัญที่ล้ำค่ามากที่สุดชิ้นหนึ่ง พ่อของฉันชอบมีอะไรมา Surprise ฉันอยู่เรื่อยเลย ปีที่แล้วพ่อไปสหรัฐฯ มา พ่อก็ซื้อนาฬิกาข้อมือมาให้ มันสวยมากๆ (แล้วก็แพงมากด้วย) ทุกวันนี้ฉันก็ยังใส่มันอยู่ โดยที่ไม่ซื้อนาฬิกาข้อมือเรือนใหม่เลย

    แต่ว่าในปีนี้ฉันจะได้อะไรเป็นของขวัญ ฉันเองก็ยังไม่รู้ ได้แต่อาศัยข่าววงในจากนักสืบมือสมัครเล่น (ก็คือพี่ชายของฉันเองนี่แหละ) มันไม่ค่อยน่าเชื่อถือซะเท่าไหร่ เพราะพี่บอกว่าปีนี้พ่อจะซื้อเจ้าตัวไต่ยั้วเยี้ยให้ฉัน (ฉันตีความได้ว่ามันคือหนอนที่พ่อมักจะซื้อมาให้เป็นอาหารของนกที่พ่อเลี้ยงอยู่) ของแบบนั้นน่ะฉันเตรียมเอาไว้เป็นของขวัญวันเกิดพี่ในปีหน้ามากกว่า

    แต่ที่น่าเชื่อถือได้ก็คือ มันต้องเป็นสัตว์เลี้ยงแน่ๆ ถ้าหากว่าเป็นแบบนั้นจริง แม่ฉันคงจะค้านแบบหัวชนฝาเลยล่ะ (เพราะแม่ฉันไม่ชอบให้มีสัตว์เลี้ยงไว้ในบ้าน) แม้แต่สัตว์ที่ตัวเล็กที่สุดเช่นหนูแฮมสเตอร์ก็เถอะ

    เจ้าหนูแฮมสเตอร์ที่แสนจะน่ารัก พ่อของฉันก็ซื้อมาให้ฉันเช่นกัน เพราะเห็นว่าฉันชอบมันมาก (ก็มันน่ารัก จริงๆนี่นา) แต่ว่าเลี้ยงได้ ไม่ถึงเดือนมันก็ตาย หลังจากที่พี่ชายล้างกล่องกรงของมันไปเพียงแค่สามวันเท่านั้นเอง เพราะพี่จับมันไปว่ายน้ำเล่นหลังจากที่ล้างกล่องพลาสติกใสของมันเสร็จ

    พี่เติมน้ำในกล่องนั่นเกือบเต็มแล้วก็จับเอาเจ้าหนูผู้น่าสงสารไปว่ายลอยคอในนั้น พี่อยากเห็นหนูน้อยตกน้ำว่ามันเป็นยังไง พอฉันเห็นล่ะตกใจแทบแย่ก็จะรีบไปช่วยมัน แต่พี่ก็ไม่ยอม บอกว่า " ดูสิ มันว่ายน้ำอยู่ เคยเห็นรึเปล่า หนูว่ายน้ำได้"

    ฉันดูหนูน้อยของฉันอย่างตกตะลึง มันว่ายน้ำได้จริงๆ ด้วย เท้าทั้งสี่ของมันพุ้ยน้ำไม่ยอมหยุด เหมือนท่าลูกหมาตกน้ำไม่มีผิด มันว่ายไปมาในกล่องพลาสติกใส คอของมันเงยสูงมองหาขอบฝั่ง เดี๋ยวเดียวมันก็ว่ายเข้าหาขอบกล่องได้

    พอเห็นว่ามันจะหนีออกจากกล่อง พี่ก็จะจับมันว่ายน้ำเล่นอีก แต่ทีนี้ฉันไม่ยอม รีบหาผ้ามาเช็ดตัวมันให้แห้ง ตัวมันสั่นมากเลย คงจะตื่นกับการเล่นพิเรนทร์ของพี่น่ะ

    แต่ว่าสามวันต่อมา หนูน้อยผู้น่าสงสารก็ตาย (สงสัยเป็นโรคปอดบวม) ฉันทะเลาะกับพี่อยู่หลายวันจนกระทั่งพี่ซื้อตัวใหม่มาให้อีกสองตัว เจ้าตัวสีน้ำตาลอ้วนกลมเหมือนตัวเก่าตัวนึง แล้วก็ตัวสีขาวหน้าเสี้ยมอีกตัว พอแม่รู้ก็แทบลมจับ ก็อย่างที่รู้ แม่เกลียดหนูจะตายไป

    แล้ววันนี้เป็นวันเกิดของฉัน พ่อฉันก็ได้เตรียมของขวัญมาให้เรียบร้อยแล้ว และนั่นก็ทำให้แม่โมโหจนไข้ขึ้นจริงๆ

    เจ้าตัวน้อยขนปุยสีดำกำลังหลับปุ๋ยอยู่ในลังสีน้ำตาลที่ตั้งวางอยู่กลางห้องนั่งเล่น อายุมันแค่เดือนเดียวเท่านั้นเอง มันน่ารักมากๆเหมือนตุ๊กตาเลย มันตัวสีดำ เท้าทั้งสี่ของมันเป็นสีขาวเหมือนใส่ถุงเท้า แล้วมันก็เป็นตัวเมียด้วย พอฉันเห็นมันแว็บแรกก็หลงรักมันทันที

    พ่อไปขอเจ้าตัวน้อยจากเพื่อนที่ทำงานของพ่อ ทีแรกเขาจะให้สองตัว แต่พ่อขอแค่ตัวเดียว (เพราะเกรงใจแม่) แต่สำหรับฉัน แค่ตัวเดียวก็รักมันจะแย่แล้ว

    แล้วนั่นก็เป็นวันแรกที่ฉันได้พบ "เจ้าตัวน้อย"

    -----------------------------------------------------------------------------------

    นับตั้งแต่มีสมาชิกใหม่เพิ่มมา อะไรหลายๆ อย่างก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป อย่างแรกเลยที่เปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัดก็คือบ้านดูรกกว่าเดิมมาก ข้าวของทุกอย่างในบ้านกระจัดกระจายดูเลอะเทอะยิ่งกว่ารังหนูซะอีก

    ตอนนี้ "เจ้าน้อย" อายุได้ 3 เดือนแล้ว เป็นช่วงที่กำลังซนสุดๆ มันจะกัดข้าวของทุกอย่างที่ขวางหน้า แม่บอกว่า มันโตพอที่จะไว้นอกตัวบ้านได้แล้ว ก่อนที่ข้าวของในบ้านมันจะพังไปมากกว่านี้

    รายการความเสียหายก็มีทั้งหนังสือพิมพ์ที่มันช่วยรีไซเคิลจนเปื่อย แล้วก็มีผ้าเช็ดโต๊ะ รองเท้าใส่อาบน้ำ สายไฟมันก็กัด (ดีที่มันไม่ตาย เพราะในบ้านมีระบบตัดไฟ ทั้งๆ ที่แม่อยากให้มันโดนไฟช็อตสักที)ยังไม่พอ ยังมีกางเกงขาสั้นของที่พี่ชอบวางหมกอยู่ที่เก้าอี้ตรงโต๊ะกินข้าว เจ้าน้อยมันก็เก็บเรียบ รวมไปถึงกางเกงขายาวที่แม่เริ่มใส่ตั้งแต่เริ่มเลี้ยงเจ้าน้อยด้วย มันชอบงับๆ ดึงๆ กางเกงของแม่ พ่อบอกว่ามันอยากเล่นด้วย แต่สำหรับฉันกลับคิดว่าแม่คงอยากเอาสากกะเบือไปฟาดหัวมันสักโป๊กมากกว่า

    เพื่อความสบายใจของแม่ พ่อก็ตัดสินใจให้มันอยู่นอกตัวบ้าน แต่ก็ยังไม่ปล่อยมันไว้นอกรั้วบ้านเพราะมันยังเด็กอยู่ พ่อจะพามันนอกบ้านแค่เฉพาะตอนที่ถ่ายทุกข์เท่านั้น พ่อจะเป็นคนจูงมันไป ถึงอย่างนั้นแม่ก็ยังไม่ชอบเจ้าน้อยอยู่ดี

    รองเท้าที่ไม่ได้เก็บในตู้เก็บรองเท้า เจ้าเทศบาลน้อยก็เก็บเรียบซะจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม ดูเหมือนว่าฉันต้องซื้อรองเท้าใหม่บ่อยที่สุด เพราะฉันชอบลืมเก็บรองเท้าไว้ในตู้ บางทีพี่ชายก็แกล้งเอารองเท้าของฉันออกมาจากตู้ให้มันฟัดเล่นอีก ฉันก็เลยเอาคืนโดยการเอารองเท้าของพี่ให้มันกัดเล่นบ้าง มันก็เมินซากรองเท้าเก่าของฉันไปเล่นกับของใหม่แทน คงชอบกลิ่นเท้าของพี่ชายล่ะมั้ง

    ลูกหมาก็เหมือนเด็กน่ะแหละ ซนจะตาย นิ่งเป็นหลับ ขยับเป็นเล่น ตอนแรกๆ ก็ยังพอให้อภัยเพราะหน้าตามันยังน่ารักอยู่ จะตีมันก็ทำไม่ลง จนกระทั่งมันเริ่มโต ความน่ารักของมันก็เริ่มลดลงไปตามวัย ฉันเริ่มห่างเหินมันมากขึ้น ไม่พิศวาสมันแล้วเพราะเห็นหน้าทุกวันจนชินตา สุดท้ายมันก็เป็นแค่หมาเฝ้าบ้านตัวนึงเท่านั้นเอง

    จากเด็กก็เริ่มโตเป็นสาวน้อย ตอนนี้มันโตพอที่จะเริ่มออกนอกบ้านแล้ว แล้วคราวนี้แหละที่มันได้รับบทลงโทษที่เจ็บปวดที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของมัน

    -----------------------------------------------------------------------------------

    เจ้าน้อยเริ่มรักอิสระภาพของมันที่มันไม่เคยได้รับในวัยเด็ก มันเริ่มเที่ยวเตร่ แรกๆ ออกนอกบ้านไปแป๊บเดียวก็กลับ เพราะมันยังไม่คุ้นกับถิ่นใหม่ที่มันไม่เคยเจอะเจอ แต่อีกไม่นานมันก็ได้พบเพื่อนใหม่(ก็คือหมาของเพื่อนบ้านนั่นเอง ทุกตัวเป็นตัวผู้หมด ยกเว้นเจ้าน้อยที่เป็นตัวเมีย) ช่วงแรกมันก็จะหนีเพื่อนใหม่เข้าบ้าน เพราะตัวมันเล็กกว่า

    แต่ว่าไม่นานนัก มันก็เริ่มสนิทสนมกับหมาพวกนั้นจนเริ่มไม่ยอมกลับบ้าน พ่อเรียกมันมากินข้าวก็ไม่ยอมมา มันกลับคุ้ยอาหารในถังขยะของหมู่บ้านแทน จากหมาผู้ดีก็แปรสภาพกลายเป็นหมาพเนจรแทน บางทีเพื่อนบ้านก็ให้ข้าวมันด้วย ใกล้ๆ ถังขยะนั่นแหละเพราะเรียกแล้วหมาตัวเองไม่ยอมเข้าบ้านเหมือนกัน

    เจ้าน้อยเป็นหมาสาวเจ้าสเน่ห์ประจำหมู่บ้าน มันใช้เวลาไม่ถึงปี หนุ่มทุกตัวที่อยู่ในหมู่บ้านก็หลงเสน่ห์แม่สาวน้อยกันหมด ช่วงหลังๆ มันไม่ยอมเข้าบ้าน หายหน้าไปเกือบเดือนเหมือนหายสาปสูญไปจากหมู่บ้านไปแล้ว ครั้งสุดท้ายกับความอดทนของพ่อก็สิ้นสุดลง เมื่อพ่อเห็นเจ้าน้อยกับหมาหนุ่ม(สีน้ำตาล พันธุ์ไทยหลังอาน) เล่นนัวเนียกันตรงพงหญ้าริมคลองใกล้ๆ ถนนใหญ่ของหมู่บ้าน ท่าทางมันมีความสุขมาก

    เหมือนพ่อตาหวงลูกสาว พ่อเอาไม้ไล่ฟาดเจ้าหมานั่นไป (ตอนนั้นเจ้าของหมาหนุ่มไม่อยู่บ้าน) แล้วพ่อก็ดึงตรงหนังคอเจ้าน้อย ลากคอมันให้เข้าบ้านจนได้ แล้วพ่อก็ไม่ยอมให้มันออกนอกบ้านอีกเลย

    คราวนี้พ่อโกรธมากจริงๆ แม้แต่แม่ก็ยังเกรงใจพ่อ พ่อได้แต่บ่นตลอดมื้ออาหารในวันนั้น ทำเอาหนังจีนที่ฉันดูไม่สนุกเลยสักนิด

    "ถ้ามันยังหนีได้อีก จะจับมันตัดหางปล่อยวัด ไม่ต้องมาเจอหน้ากันอีก"

    "แต่พ่อก็เคยรักมันนี่ พ่อซื้อมันให้ในวันเกิดนุชไม่ใช่เหรอครับพ่อ อย่าปล่อยมันเลย มันแค่ต้องการอิสระบ้าง ก็เท่านั้นเอง" พี่ชายฉันช่วยอ้อนพ่อ แม้แต่แม่ก็ยังช่วยอีกแรง ดูเหมือนว่าแม่จะยอมรับมันได้ส่วนหนึ่งแล้ว

    "ก็ตัวเองเป็นคนเอามันมาเลี้ยง ก็ต้องเลี้ยงมันให้ตลอดสิ ปล่อยมันทิ้งๆ ขว้างๆ ได้ยังไง เพราะอย่างนี้แหละ หมาจรจัดถึงได้เต็มบ้านเต็มเมือง เห็นตอนแรกบอกรักมันนักหนาไม่ใช่เหรอ"

    แต่ฝ่ายที่เงียบมาตลอดก็คือฉันเอง ก็มันถึงตอนสำคัญพอดีเลยนี่นา ฝ่ายจอมมารกับฝ่ายจอมยุทธหน้ามนกำลังสู้กันมันส์สุดเหวี่ยง พลังฝ่ามือเหินเวหาของฝ่ายจอมยุทธ กับ กระบวนท่าพิชิตโลกันต์ของจอมมารกำลังพยายามเข่นฆ่าอีกฝ่าย รังสีอำมะหิตที่ปะทะออกมาแม้แต่ภูผายังสะท้านแผ่นดินยังสะเทือน ทั้งสองต่อสู้กันอย่างสุดฝีมือ ชายผ้าสีขาวพริ้วของจอมยุทธชุดขาวปลิวว่อนเต็มจอไปหมด

    ศึกชิงเจ้ายุทธภพกำลังเกิดขึ้นพร้อมๆ กับชิงนาง(หมาน้อย) ในคืนเดียวกันนั้นเอง เจ้าหมาหนุ่มก็เริ่มวางแผนลังพาสาวไปอยู่ด้วยกัน มันเฝ้าชะเง้อคออยู่ที่ประตูรั้วสีเขียวนอกบ้าน จ้องดูฝ่ายสาวอย่างไม่ละสายตา แม่สาวน้อยที่นอนหงอยเหงามาตลอดวันก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันตา กระดิกหางระริกอย่างตื่นเต้นดีใจ

    มันอยากออกไปหาเจ้าหมาหนุ่ม อยากออกไปหาอิสรภาพ มันต้องหาทางออกจากตัวบ้านนี่ เจ้าน้อยจึงตัดสินใจหาทางลัดออกจากบ้าน โดยใช้ทางออกที่มันใช้อยู่ประจำ

    มันมองตู้เก็บรองเท้าที่อยู่ติดกับผนังรั้วบ้านสีขาว ฝ่ายหนุ่มเองก็เฝ้ามองอย่างลุ้นระทึก ส่งสายตาประมาณว่า "กระโดดไปอยู่บนนั้นเลยสิ"

    เจ้าน้อยใช้ความสามารถเฉพาะตัวในการกระโดดสูง ซึ่งมันไม่เคยทำพลาดเลย แค่มันใช้วิชาตัวเบาที่มันถนัด ไม่นานมันก็ยืนอยู่บนตู้เก็บรองเท้าได้แล้ว  เจ้าหมาหนุ่มกระดิกหางเชียร์แม่สาวน้อย "โดดอีก ๆ"

    มันมองดูขอบบนของผนังรั้วที่อยู่สูงเหนือหัวมันมาก แต่สำหรับมือโปรนักโดดสูงอย่างเจ้าน้อย มีหรือจะทำไม่ได้ ไม่นานมันก็โดดขึ้นมายืนบนขอบบนผนังรั้วได้แล้ว เจ้าหมาหนุ่มจ้องมองเจ้าน้อยอย่างตื่นเต้นกว่าเดิม แค่มันกระโดดออกจากผนังรั้วนั่นเท่านั้น (ซึ่งมันก็สูงมากๆ เมื่อเทียบกับความสูงของหมา) ถ้ามันโดดออกไปได้ อิสรภาพก็อยู่ใกล้แค่ปลายเท้าของมัน

    โชคร้ายที่พ่อเห็นมันในช่วงจังหวะนี้พอดี แล้วเจ้าน้อยก็หันหน้ามาทางพ่อซะด้วย

    มันกำลังลังเลใจ ...

    เจ้าหมาหนุ่มแค่เห็นหน้าเจ้าของบ้านก็รีบวิ่งหลบออกไปจากประตูรั้วทันที เสียงระเบิดดังตูมๆ (ของหนังจีน) ยิ่งทำให้อารมณ์เดือดเพิ่มทวีมากยิ่งขึ้น พ่อวางช้อนกินข้าวลง ลุกขึ้นออกไปหาเจ้าน้อยหน้าบอกบุญไม่รับเลย เจ้าน้อยยังคงยืนค้างอยู่ตรงขอบรั้วผนังนั่น ไม่กล้าโดดลงมา

    "อยากออกไปมากนักใช่มั้ย ได้!"

    จู่ๆ พ่อก็เลื่อนประตูรั้วสีเขียวหน้าบ้านออก ถ้ามันออกจากที่นี่ มันก็ได้รับอิสระแบบไม่ต้องเหนื่อยแรงปีนป่าย พี่ชายฉันถึงกับพูดออกปากเลยว่า "นี่พ่อคิดอะไรของเค้ากันแน่"

    ตอนที่มันยังเป็นลูกหมาน่ารักน่ากอด พ่อก็รักมัน หวงมันยังกับไข่ในหิน เลี้ยงดูเหมือนกับลูกตัวเอง เฝ้าดูแลมันอย่างไม่ห่างสายตา ทุกคนในบ้านรักมัน (ยกเว้นแม่) พอมันโตขึ้น ความน่ารักของมันก็ค่อยๆ ลดลง เพราะทุกคนเริ่มชินกับหน้ามัน จากความน่ารักก็กลายเป็นค่าหมาหน้าตาธรรมดาตัวนึง ไม่มีใครไปกอดมัน วิ่งเล่นกับมัน ไปแหย่มัน มันถูกปล่อยออกจากในตัวบ้านเหมือนหมดความสำคัญ

    แล้วสุดท้ายมันก็พบผู้ที่ให้ความสำคัญ เจ้าหมาหนุ่มที่มันรักนักหนาเฝ้ารอมันอยู่ห่างๆ เจ้าน้อยมองออกไปทางนอกบ้านอย่างอาวรณ์ มันอยากออกไปเหลือเกิน มันต้องเลือกแล้ว ระหว่างเจ้าของที่เลี้ยงดูมัน กับหมาหนุ่มรักใหม่ มันจะเลือกอันไหน

    เจ้าน้อยมองหน้าเจ้าของอย่างลังเล

    -----------------------------------------------------------------------------------

    แล้วสุดท้ายมันก็ตัดสินใจ...

    มันเลือกเจ้าของมัน ตัดใจจากหมาหนุ่ม ตัดใจจากอิสรภาพที่มันโหยหา มันลงไปหาเจ้าของอย่างนอบน้อม แล้วก็หมอบตัวลงแทบเท้าราวกับบ่าวที่พร้อมรับใช้นาย มันให้ได้ทุกอย่าง แม้แต่...ชีวิตของมันเองก็ตาม

    หนังจีนของฉันจบลงพอดี พระเอกฆ่าตัวร้ายได้สำเร็จ จากเสื้อสีขาวของจอมยุทธถูกย้อมเป็นสีแดงโลหิต แล้วในที่สุด คู่พระ – นางก็ได้อยู่ด้วยกัน...ตลอดไป

    ทั้งสองกอดกันแน่น นางเอกร้องไห้โฮ ดีใจที่คนรักรอดตาย ฉากหลังเป็นฉากน้ำตก มีรุ้งเจ็ดสี กับผีเสื้อปีกเหลืองเป็นภาพประกอบ ฝูงผีเสื้อน้อยบินไปทั่ว ราวกับที่นี่เป็นแดนสวรรค์ แล้วทั้งสองก็ถอนตัวออกจากยุทธภพ ให้ชีวิตเยี่ยงสามัญชน นั่นคือตอนจบของหนังจีน แต่ว่าเรื่องนี้ล่ะ
               
    เจ้าน้อยนอนหมอบอยู่แทบเท้าของพ่อฉัน ดูเหมือนว่ามันตัดสินใจได้แล้วว่ามันจะเลือกเดินทางไหน

    หลังจากนั้น มันก็เข้าบ้านตรงเวลา พ่อจะปล่อยมันแค่ช่วงที่มันจะถ่ายทุกข์เท่านั้น ชีวิตอยู่ในกรอบของกฎระเบียบ แต่มันเลือกชีวิตแบบนี้เอง ถึงแม้ว่าจะมีลังเลบ้างก็ตาม

    เจ้าหมาหนุ่มยังคงเฝ้าตามสาวเจ้าอย่างไม่ลดละ ไม่ว่าเจ้าน้อยจะไปทางไหน มันก็จะคอยตามไปด้วย มันถึงฤดูกาลผสมพันธุ์ของมันพอดี เป็นธรรมชาติที่หมาจะต้องมีคู่ แม้แต่คนเองก็เถอะ

    เจ้าหมาหนุ่มเดินนัวเนียรอบตัวหมาสาว เป็นที่บาดตาบาดใจสำหรับหมาหนุ่มตัวอื่นๆ มาก (อย่างที่บอก หมู่บ้านนี้มีหมาสาวแค่ตัวเดียว)

    เจ้าบิ๊กเป็นหมาที่ตัวใหญ่ที่สุด แล้วก็เอาเรื่องมากที่สุดด้วย มันขู่เจ้าหมาหนุ่มผู้ไม่เจียมตัวให้ถอยห่างออกไป เจ้าบิ๊กเป็นหมาตัวสีดำล้วน สีของมันเหมือนกันกับเจ้าน้อยแล้วก็ดูเข้าคู่กว่าเจ้าหมาหนุ่มนั่นด้วย

    แล้วก่อนที่จะมีศึกชิงนาง เจ้าน้อยก็ได้ยินเสียงเจ้าของบ้านเรียกตัวพอดี แค่พ่อปรบมือ 3 ที มันก็วิ่งปรู๊ดเข้าบ้านเลย เพราะมันรู้ว่าอีกไม่นานคงต้องเกิดสงครามแน่ๆ แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

    เจ้าหมาหนุ่มกับเจ้าบิ๊กกัดกัน หมาตัวอื่นๆก็มาร่วมแจม ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมใคร ถึงเจ้าของบ้านหมาแต่ละตัวจะหาทางห้ามยังไง มันก็ไม่ยอมแยกตัวยอมแพ้กันเลย ถึงแม้ว่าบางคนจะสาดน้ำจากถัง (เพราะหมาบางตัวกลัวน้ำ) ถึงอย่างไร มันก็ไม่ยอมเลิกกัดกันอยู่ดี แต่ละตัวรุมฟัดกันนัวเนีย ตัวเปียกปอนไปทั่ว จนกระทั่งเจ้าของหมา (ของบิ๊ก) ทนไม่ไหว หากระสุนปืนยางยัดใส่ปืนไล่หมา แล้วก็เอามายิงฝูงหมาที่บ้าคลั่ง เจ้าหนุ่มร้องเอ๋งเพราะโดนทั้งคมเขี้ยว โดนทั้งกระสุนปืนยางนั่น กว่าจะสลายตัวได้ เจ้าหมาหนุ่มก็เจ็บเจียนตาย แล้วก็ไม่กล้ามายุ่งกับเจ้าน้อยอีกเลย

    เจ้าน้อยยังคงครองตัวเป็นโสดต่อไป เพราะหลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น เจ้าของบิ๊กก็คุมหมาตัวเองอย่างเข้มงวด (ก็มันพันธุ์หมาดุนี่นา อัลเซเชี่ยน) เวลาจะปล่อยมันให้อยู่นอกบ้าน เขาก็จะจูงสายที่คอของมัน แล้วก็ใส่ตะกร้อครอบปากด้วย กลัวมันจะกัดหมาของชาวบ้านอีก

    -----------------------------------------------------------------------------------

    แล้ววันเวลาก็ผ่านไป เข้าสู่ปีที่ 3...

    เจ้าน้อยกลายเป็นสาวใหญ่เต็มตัว อีกทั้งยังโสดสนิท เพราะยังไม่มีสุนัขตัวผู้ตัวใดกล้ามาตอแย หรืออาจจะยกเว้นเจ้าโคล่า หนุ่มน้อยหน้าหล่อพันธุ์นอกก็ได้ (แต่ก็ไม่รู้ว่าพันธุ์อะไร เพราะผสมกันหลายสายพันธุ์จนแยกไม่ออก มันทั้งสูง สง่า ขนยาวกำลังดี ขนสามสี คือสีดำ สีน้ำตาล และสีขาว) มันอายุ 3 ปีเหมือนเจ้าน้อย พ่อกับเจ้าของเจ้าโคล่าสนิทกันมาก ถึงขั้นจะจับหมาของทั้งสองฝ่ายมาจับคู่แต่งงานกัน!

    คุณชัยเจ้าของเจ้าโคล่ามาเยี่ยมบ้านฉันอยู่บ่อยๆ เพื่อดูหน้าว่าที่เจ้าสาว แล้วก็มักซื้อของฝากมาให้ครอบครัวเราเสมอ โดยเฉพาะของฝากที่ซื้อให้แม่ ดูเหมือนจะเป็นการเอาอกเอาใจเป็นพิเศษ ทั้งรังนก เงาะกระป๋อง คุกกี้ บางทีก็ตำราทำอาหารด้วย

    คุณชัยเป็นหนุ่มวิศวะ สาขาเดียวกันกับที่พี่ชายฉันเพิ่งเรียนจบไป ช่วงนี้พี่ไม่ค่อยอยู่บ้านเพราะต้องออกไปทำงาน บางทีพี่ก็มาปรึกษางานกับคุณชัย ดังนั้นเขาจึงเหมือนญาติสนิทของครอบครัวฉันคนนึงด้วยเหมือนกัน

    ทุกครั้งที่มาบ้านฉัน คุณชัยก็ชอบกอดเจ้าน้อยอยู่เรื่อย ทั้งๆ ที่มันก็ไม่ใช่ลูกหมาตัวเล็กๆ แล้ว คุณชัยชอบชมเจ้าน้อยว่าน่ารัก โดยเฉพาะเจ้าถุงเท้าสีขาวของมัน (คือมันมีเท้าสีขาวเหมือนใส่ถุงเท้า) คุณชัยเห็นว่ามันแปลกดี แล้วตัวเมียที่มีสีดำก็ไม่มีให้เห็นกันบ่อยนัก

    แล้วสุดท้ายคุณชัยก็หาฤกษ์ได้ ว่าวันที่ 15 เมษายนเป็นช่วงที่เหมาะที่สุด (ทั้งๆ ที่เป็นช่วงที่อากาศร้อนที่สุดด้วย) โชคดีที่ทั้งสองฉีดยากันโรคพิษสุนัขบ้าแล้ว

    คุณชัยว่าอย่างไร พ่อก็ว่าไปตามนั้น สัปดาห์แรกพ่อจะให้เจ้าน้อยอยู่บ้านคุณชัย (ซึ่งเขายินดีที่จะรับเลี้ยงอย่างยิ่ง) เพื่อสร้างความคุ้นเคยแล้วก็สืบพันธุ์กัน ถ้าเจ้าน้อยมีลูก ก็จะตกลงแบ่งทายาทฝ่ายละครึ่งหนึ่ง (สมมุติว่ามี 6 ตัว ก็จะแบ่งให้คุณชัย 3 ตัว ที่เหลือเป็นของพ่อ)

    เริ่มเห็นลางร้ายแล้วสำหรับแม่ของฉัน แค่ตัวเดียวก็ปวดหัวจะแย่แล้ว นี่เพิ่มลูกของเจ้าน้อยอีกคงวุ่นตาย แต่แม่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เพราะเห็นแก่คุณชัยที่ซื้อของมาเยี่ยมอยู่เสมอ

    ทุกอย่างไปได้สวย จนกระทั้งเช้าวันที่ 14 เมษายน

    เช้าวันนั้น ทุกๆ คนไม่ได้เตรียมใจสำหรับข่าวร้ายเลย ทั้งๆ ที่ฤกษ์ดีก็ใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว พ่อเป็นคนเปิดประตูเพื่อที่จะให้อาหารนกตามปกติ แต่ว่าสิ่งที่พบเห็นมันผิดปกติกว่าทุกวัน

    และนั่นก็เป็นวันจากลาของเจ้าน้อย

    -----------------------------------------------------------------------------------

    เจ้าน้อยนอนนิ่ง ตัวเกร็ง มีซากอาเจียนอยู่ใกล้ๆ ตัวมัน แล้วที่ไม่ห่างกันก็มีซากงูเห่าตัวเบ้อเร่อ ดูเหมือนว่าเจ้าน้อยจะสู้กับงูเห่าเมื่อคืนในขณะที่ทุกคนหลับ กว่าจะรู้ข่าวเจ้าน้อยก็อาการหนักแล้ว

    พ่อต้องรีบพาเจ้าน้อยไปหาหมออย่างเร่งด่วนที่สุด ฉันกับพี่ชายอาสาจะไปด้วย ส่วนแม่ไม่ยอมไป (กลัวจะเห็นมันตอนตาย) แม่ส่งถุงพลาสติกสองใบให้พี่แล้วก็รีบเข้าบ้านเพื่อโทรหาคุณชัย

    เจ้าน้อยอาเจียนครั้งสุดท้ายในรถ โชคดีที่แม่เอาถุงมาให้ พ่อเป็นคนขับ ส่วนฉันนั่งอยู่เบาะหน้า พี่นั่งตรงเบาะหลัง เจ้าน้อยวางคอตรงตักพี่ หายใจรวยรินเต็มที

    ฉันเฝ้ามองดูเจ้าน้อยอย่างเป็นห่วง มันเอาแต่หลับ ฉันบอกพี่อยู่ตลอดทางว่าอย่าให้มันหลับ (ก็เหมือนคนนี่แหละ) แล้วต้องหาผ้ามารัดเหนือแผลไม่ให้พิษแล่นเข้าสู่หัวใจ แต่ปัญหาสำคัญคือไม่รู้ว่ามันถูกกัดตรงไหน

    พ่อวิ่งขับรถตรงดิ่งไปยังคลินิกแห่งเดียวที่พ่อรู้จัก ซึ่งมันก็ไกลจากบ้านพอสมควร ช่วงนี้ถนนโล่งเพราะคนไปต่างจังหวัดกันมาก แค่ 15 นาทีพ่อก็ไปถึงคลินิกแล้ว

    แต่พ่อก็ทำหน้าเสียเมื่อขับมาถึง เพราะมีป้ายเขียนติดเอาไว้ว่า...คลินิกปิด

    พ่อรีบออกไปจากรถ มองไปดูป้ายให้มันชัดๆ แต่ว่ามันเขียนอย่างนี้จริงๆ

    เหมือนโรงพยาบาลปิดในขณะที่มีผู้ป่วยฉุกเฉินใกล้ตาย  แล้วแบบนี้จะมีคลินิกไว้ทำไมกัน

    “พ่อ!” พี่เอตะโกนเรียกพ่อขณะที่พ่ออารมณ์เสียอยู่ที่หน้าคลีนิก “พ่อ แย่แล้ว เจ้าน้อยมัน...”

    พ่อรีบกลับไปดูอาการเจ้าน้อยที่รถ แต่มันสายไปแล้ว...

    มันสิ้นใจตอนที่พ่อเห็นกระดาษสีขาวติดไว้ที่หน้าประตูคลินิกว่า “หยุดทำการ วันที่ 12 – 15 เมษายน” ถ้านี่เป็นโรงเรียนกวดวิชามันก็ยังเป็นเรื่องปกติ แต่นี่...

    ฉันรู้สึกเศร้ามากๆ น้ำตาไหลออกจากตาอย่างไม่รู้ตัว มันสายเกินไปแล้ว จบแล้ว มันตายแล้ว

    ถ้าไม่ใช่เจ้าน้อยที่เจองูเห่านั่น ฉันไม่อยากนึกเลยว่ามันจะเป็นยังไงต่อ คนในบ้านอาจจะถูกงูกัดตายก็ได้ ถ้าเจ้าน้อยไม่เจอมันเข้า...

    ซากงูเห่าอยู่ใกล้ๆ ตู้เก็บรองเท้าพอดี ถ้ามีใครหยิบรองเท้าแล้วไม่สังเกตล่ะก็ อาจจะถูกงูกัดตายไปแล้วก็ได้ เจ้าน้อยช่วยชีวิตทุกคนเอาไว้จริงๆ

    ฉันได้แต่ร้องไห้ ฉันช่วยอะไรมันไม่ได้ ได้แต่ดูช่วงวินาทีสุดท้ายของมันที่มันหายใจ มันเหมือนกับเพื่อนสนิทของฉันคนนึงที่อยู่อย่างใกล้ชิด  เห็นหน้ากันแทบทุกวันตลอดช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมา มันเป็นเหมือนสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว

    พี่ชายของฉันเห็นว่าฉันเสียใจเลยพยายามหาทางปลอบ

    “หมาน่ะ ซื้อใหม่ก็ได้ ไม่ต้องเสียใจหรอก”

    พี่นึกว่านั่นเป็นคำปลอบ เหมือนกับตอนที่ฉันรู้ว่าหนูแฮมสเตอร์ตัวแรกของฉันตาย แต่เปล่า...เปล่าเลย นั่นยิ่งทำให้ฉันเสียใจและโมโหมากขึ้น

    “พี่อาจจะเห็นมันเป็นแค่หมา แต่สำหรับหนู มันคือเพื่อน คำว่าเพื่อนมันซื้อด้วยเงินไม่ได้หรอกพี่ แล้วเงินมันก็ซื้อชีวิตเจ้าน้อยไม่ได้ด้วย มันตายแล้ว! ไม่มีใครมาแทนทีเจ้าน้อยได้อีกแล้ว ไม่มีอีกแล้ว...”

    พ่อโทรไปบอกข่าวร้ายให้คุณชัยทราบ ว่างานที่จะจัดเตรียมสำหรับวันพรุ่งนี้ถูกยกเลิกเพราะว่าที่เจ้าสาวได้หนีจากไปแล้ว

    ส่วนศพของมัน คุณชัยกับพ่อลงมือฝังมันด้วยตัวเอง ฉันไม่รู้เลยว่าร่างของเจ้าน้อยถูกฝังไว้ที่ไหน รู้กันเพียงแค่พ่อกับคุณชัยสองคนเท่านั้น

    หลังจากวันนั้น บ้านของเราก็ดูเงียบเหงาขึ้นมาทันตา ฉันนอนไม่หลับ เพราะหลับตาทีไรก็เห็นหน้าเจ้าน้อยทุกที ฉันคิดถึงมัน อยากให้มันกลับมา

    เป็นครั้งแรกที่แม่ยอมให้พ่อมีเจ้าหมาน้อยตัวใหม่แทนที่เจ้าน้อย เพื่อที่ว่าฉันจะได้หายเศร้าเสียที พี่ชายของฉันกลับไปทำงานที่ต่างจังหวัดแล้ว ตอนนี้พ่อกำลังขอลูกหมาตัวใหม่จากเพื่อนสนิทของพ่อที่ทำงานด้วยกัน แต่ฉันเป็นฝ่ายขอร้องไม่ให้พ่อเอาลูกหมาตัวใหม่มาอีก

    เพราะฉันทนไม่ได้ที่จะเห็นวันสุดท้ายของมัน ทนไม่ไหวอีกแล้ว

    3 ปีที่ผ่านมามันช่างดูสั้นเหลือเกิน ถ้าย้อนกลับไปได้ ฉันอยากจะรักมันให้มากกว่านี้ ฉันอยากจะแก้ตัว กว่าจะรู้ตัวว่าฉันได้สูญเสียสิ่งที่มีค่าที่สุดสิ่งหนึ่งในชีวิตฉันไป ก็ตอนที่ฉันเสียมันไปแล้ว

    ดังนั้นฉันจึงได้แต่เขียนระบายความรู้สึกไว้ในไดอารี่ส่วนตัวของฉัน เขียนความรู้สึกของฉันที่มีต่อเจ้าน้อยทุกวัน วันนี้เป็นวันครบหนึ่งปีของการจากลาของเจ้าน้อยพอดี

    “หลับตาให้สบายนะ เจ้าเพื่อนยาก ฉันยังคิดถึงเธอเสมอ...ตลอดไป”

    แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 48 08:56:59

    แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 48 08:53:23

    แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 48 08:51:03

    แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 48 08:49:18

    จากคุณ : รัตน์ดา - [ 18 พ.ค. 48 08:47:32 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป