CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    เจาะเวลาหาสุนทรภู่ ตอน 3

    ตอน   "แร๊พ-นางเงือก-เกาะแก้วพิศดาร"
    เนื่องจากปรานทัศน์ไม่เคยสนใจเรื่องราวของสุนทรภู่เลยจึงทำให้เขาประติดประต่อเรื่องราวอะไรในยุคนี้ไม่ได้เลยดังนั้นเขาจึงเริ่มเปิดหาข้อมูลในหนังสือเล่มนั้นให้มากที่สุด เย็นนั้นขณะที่ปรานทัศน์กำลังคร่ำเคร่งอยู่กับการค้นหาประวัติของสุนทรภู่อยู่ด้วยหนังสือเล่มเก่าเล่มนั้น

       “เจ้าเป็นกวีหรือ?” เสียงนั้นถามขึ้นมาอย่างกะทันหันปรานทัศน์จึงไม่ทันได้ตั้งตัว
       “เอ่อ...ช-ใช่ ขอรับ” เขาตอบด้วยความตกใจ
       “แล้วนั่นหนังสือตับจากหรือทำไมไม่เห็นเหมือนของบ้านเมืองข้าเลย” สุนทรภู่สังเกต
       “มันคือกระดาษนะขอรับ”
       “กระดะ-กระ? เจ้าเรียกมันว่าเยี่ยงไรนะ”
       “กระดาษ ขอรับ กระดาษ”
       “กระดาษ อ๋อ แล้วมันใช้เขียนดีกว่าใบลานหรือ”    
       “ดีกว่ามากขอรับ”
       “สงสัยข้าคงต้องไปเยี่ยมเยียนบ้านเมืองเจ้าจริง ๆ เสียแล้วไว้ให้ข้าเสร็จธุระทางนี้ก่อนแล้วข้าจะตามเจ้าไป” พอพูดจบสุนทรภู่สีหน้าหมองเศร้าขึ้นทันทีจนสังเกตได้ ปรานทัศน์เห็นท่าไม่ดีจึงถามขึ้นมา

       “เอ่อ...แล้วท่านจะทำอย่างไรต่อไปขอรับ”
       “มิรู้สิ หลังจากองค์เลิศหล้านภาลัยทรงเสด็จสวรรคตแล้ว ชีวิตข้าคงเปลี่ยนไปแน่ ๆ”
       “ทำไมล่ะท่าน” ปรานทัศน์สงสัย
       “ก็เพราะ องค์เจษฎาบดินทร์ท่านมิชอบด้วยการกวีนะสิ อีกอย่างข้าเกรงว่าอยู่ไปก็รังแต่จะมีภัยถึงตัวเพราะว่าข้านั้นได้หักหน้าพระองค์ด้วยการแก้บทกวีของพระองค์ถึงสองครั้งสองครา ข้าเห็นทีจะต้องขอลาจากราชวงศ์นี้เสียที” สุนทรภู่ทำหน้าสลดพลางเปิดหนังสือของปรานทัศน์ดูตัวหนังสือไทยสมัยใหม่ได้มีการปรับแก้แล้ว จึงไม่เหมือนกับสมัยเก่าแต่จะคล้ายกันมากสุนทรภู่เห็นแปลกตาเลยถามขึ้นมาว่า

       “นี่ลายสือบ้านเจ้าหรือที่เมืองไทย น่ะ แปลกตาดีเหลือเกินมันเรียกว่าภาษาอะไรหรือ?”
       “ภาษาไทยขอรับ”
       “แล้วมันเหมือนของพวกขอมหรือเปล่าล่ะ? เอ...แต่ว่ามันดูคล้ายลายสือของสยามบ้านข้าเลยไว้เจ้าสอนข้าบ้างได้หรือเปล่า”
       “โอเคขอรับ”    
       “ฮะ เจ้าว่าเยี่ยงไรนะ”
       “ป-เปล่าขอรับ”
       “มิเป็นไรดอก เจ้าสอนภาษาของบ้านเจ้าให้ข้าบ้างก็ได้มันน่าขันดีข้าชอบ” สุนทรภู่เริ่มอารมณ์ดีขึ้นปรานทัศน์เห็นดังนั้นจึงหยอกล้อ
       “โอเคก็ได้ขอรับโอเค”
       “ดี ในเมื่อเจ้าเป็นกวีเยี่ยงข้าเราคงสนทนากันถูกคอมากขึ้น เยี่ยงนั้นเรามาเป็นสหายกันเถอะ”

       เช้าวันรุ่งขึ้นปรานทัศน์เดินทางเข้าวังกับสุนทรภู่  ด้วยความตั้งใจที่ว่าจะไปขอลาออก วันนั้นสุนทรภู่จึงมีความเศร้าใจมากเพราะเขารักงานที่ตนทำอยู่แต่ด้วยสถานการณ์บังคับอีกทั้งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 ไม่ทรงโปรดบทกวีเขาจึงไม่มีทางเลือก

       หลังจากลาออกจากงานสุนทรภู่ก็ตกยากปรานทัศน์เห็นทุกอย่างแห่งความลำบากและเขาก็อยากจะช่วยเย็นวันนั้นทั้งสองนั่งอยู่นอกชานปรึกษาหารือกันสุนทรภู่นั่งดื่มเหล้าเรื่อยมาตั้งแต่วันที่ลาออกและมีท่าทีว่าจะดื่มหนักขึ้นเรื่อยๆ    

       “ท่านขุน ต่อไปท่านจะทำอะไรล่ะขอรับ” ปรานทัศน์ตั้งคำถาม
       “มิรู้สิ คงจะต้องประพันธ์คำกลอนหรือนิยายขายแล้วล่ะ”
       “ให้ข้าช่วยนะท่าน” ปรานทัศน์เสนอตัวเพราะขณะนั้นสุนทรภู่เหมือนคนหมดอาลัยตายอยากและเขาก็ไม่สามารถแม้กระทั่งจะแต่งกลอนสักบทตอนนั้น

       ปรานทัศน์ไม่มีความสบายใจเป็นอย่างมากที่เห็นสุนทรภู่เป็นอย่างนี้เขาจึงนำกลอนบทหนึ่งของเขาแกล้งทำเป็นดูแล้วพูดขึ้นว่า

       “ท่านรู้มั๊ยว่าข้าเห็นบทกลอนพวกนี้แล้วข้านึกถึงอะไร” ปรานทัศน์ชักชวนเพื่อดึงความสนใจของสุนทรภู่เพื่อให้กลับมาใส่ใจกับงานประพันธ์อีกครั้ง

       “นึกถึงสิงใดหรือท่าน” สุนทรภู่ถามพลางทอดสายตามาที่กลอนบทนั้น
       “ข้านึกถึงเพลงแร๊พน่ะท่าน” ปรานทัศน์คิดว่าถ้าเขาเกร็งพูดจาตามน้ำต่อไปคงไม่ดีแน่ ไหนๆ คนในสมัยนี้ก็ไม่รู้จักประเทศไทยอยู่แล้วเขาจึงเริ่มใช้ภาษาของเขาเองเพื่อจะได้ดูเหมือนว่ามาจากที่อื่นจริงๆ

       “เพลงแลบ!” สุนทรภู่โพล่งขึ้นมา
       “แร๊พนะท่าน ไม่ใช่แลบ!”  
       “แล้วมันคล้ายกับเพลงเรือหรือบทละครหรือเปล่า”
       “เอ่อ...แบบว่ามันก็คล้ายๆ กันนะแต่ของข้ามันจะมีจังหวะ ตึ๊บๆ น่ะ”
       “ตึ๊บๆ เอ...แบบไหนนะ เจ้าลองเล่นเพลงแร๊พหรืแลบอะไรของเจ้าให้ข้าชมหน่อยสิ” ด้วยจิตใจที่เป็นกวีสุนทรภู่จึงสนใจทันทีแล้วปรานทัศน์ก็นึกสนุกจึงสอนสุนทรภู่ไป
       “ก่อนอื่นนะท่าน เรามารู้จักท่าประกอบเพลงกันก่อนนะ ทำตามข้านะ” เขายกมือขึ้นระดับสายตาแขนชูตรงไปข้างหน้าใช้ปลายนิ้วที่เรียงติดกันสี่นิ้วชี้ลงพื้นแล้วพูดออกมาดังๆ “โย่!” สุนทรภู่เห็นดังนั้นก็เกิดความอยากเรียนรู้จึงทำตาม “โย่” นี่หรือคือท่าฟ้อนรำของบ้านเมืองเจ้า เจ้ารำกันแปลกๆ อย่างนี้หรือสุนทรภู่พูดพลางหัวเราะชอบใจ

       “เอ่อ...ก็เป็นบางกลุ่มน่ะท่าน” ปรานทัศน์ยิ้มแหยๆใจหนึ่งก็คิดไปว่าถ้าอาจารย์สอนภาษาไทยที่โรงเรียนเห็นว่าเค้ากำลังสอนให้สุนทรภู่กวีเอกของโลกเล่นพิเรณอย่างนี้ล่ะก็มีหวังโดนยำเละแน่ๆ

       สุนทรภู่มีอาการที่ดีขึ้นมากเย็นวันนั้นเองทั้งสองก็ได้นั่งปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรต่อไปเกี่ยวกับเรื่องที่สุนทรภู่คิดขึ้นใหม่

       “ทัศน์บ้านเมืองเจ้าช่างน่ารื่นรมย์ดีนะแล้วอยู่ที่นั่นเจ้ารับตำแหน่งอะไรหรือเหมือนข้าหรือเปล่า
       “นักศึกษาขอรับ” เขาตอบ
       “นักศึกษา อือ...แปลกดีนะ”
       “ท่านขุนขอรับให้ข้าช่วยท่านประพันธ์งานชิ้นใหม่นะขอรับข้าอยากช่วย”
       “ได้สิ” สุนทรภู่ตอบ “เข้านอนเถอะรุ่งเช้าเราต้องตื่นแต่เช้า”
    ทั้งสองแยกย้ายกันไปนอน ปรานทัศน์เริ่มคิดถึงบ้านแล้วไม่รู้ว่าแม่ของเขาจะเป็นห่วงหรือเปล่าแต่เขาอยู่กับสุนทรภู่มาเกือบ 2 อาทิตย์โดยลืมคิดถึงเรื่องกลับบ้านเสียสนิทแต่ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวเขาจึงไม่รู้ว่าจะคิดไปทำไมเขาจึงหลับไป
     
    เช้าวันต่อมา
       “โย่! ท่านขุน” ปรานทัศน์ทักสุนทรภู่ขณะที่เขานั่งอยู่ที่นอกชานหน้าบ้าน
       “อะไรหรือคำนั้นอะไรที่เจ้าทำเมือครุ่น่ะ”
       “เป็นการทักทายแบบ แร๊พๆ ที่ข้าสอนท่านเมื่อวานไง แบบโย่ น่ะ โย่”
       “หึ ๆ เจ้านี่หน้าขันเสียจริงนะ” สุนทรภู่ชวนปรานทัศน์ออกไปนั่งทำงานที่ริมน้ำ

       แสงแดดยามเช้าต้องผืนน้ำสวยงามมากและจากที่ปรานทัศน์อ่านประวัติของสุนทรภู่ในหนังสือเล่มนั้นปรากฏว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่แต่งหลังจากลาออกจากราชการแล้วเขาจึงถามขึ้น

       “ท่านขุนประพันธ์มากี่ชิ้นแล้วขอรับ”
       “ก็ไม่กี่ชิ้นดอกนะแต่ส่วนใหญ่ข้าจะชอบคำกลอนมากกว่าเรื่องนิทานน่ะ”
       “เอ่อ...ท่านขุนลองประพันธ์เรื่องแปลกๆ ดูบ้างใหมขอรับ”ปรานทัศน์แกล้งเสนอ
       “เยี่ยงไรหรือ” สุนทรภู่เริ่มสนใจ
       “อือ เห็นแม่น้ำสงบอย่างนี้ข้านึกถึงนางเงือกนะท่านรู้จักหรือเปล่าเงือกน่ะ”
       “เงือกหรือมันคือสิ่งใดหรือ”
       “อ๋อ เป็นคนครึ่งปลาน่ะท่าน”
       “มีหรือแล้วมันอาศัยอยู่ที่ใดล่ะ”
       “ก็ไม่ทราบนะ แต่บ้านเมืองข้าเค้าเล่าต่อกันมาว่าอยู่แถวทะเลลึกน่ะ”
       “น่าแปลกดีนะ เยี่ยงนั้นข้าขอมาเป็นตัวละครในนิทานเรื่องใหม่ของข้าได้หรือไม่” สุนทรภู่ถามอย่างกระตือรือร้น
       “เรื่องอะไรล่ะท่าน” ปรานทัศน์ถามขึ้นทั้งที่รู้ว่ามันคือเรื่องพระอภัยมณี
       “เกาะแก้วพิสดารน่ะ” สุนทรภู่ตอบอย่างมั่นใจเพราะเรื่องที่นึกขึ้นได้นั้นมันต้องมีแต่สัตว์แปลกๆ พิสดารๆ ที่ได้ชื่อนี้ก็เพราะว่าเขามัวไปนึกถึงแต่นางเงือกเป็นส่วนใหญ่
       “อ้าว! ไม่ใช่เรื่อง “พระอภัยมณี” หรอกหรือ” ปรานทัศน์ถามอย่างงงๆ
       “แล้วเจ้ารู้ได้เยี่ยงไรว่าข้าคิดชื่อนั้นไว้ แต่ไม่เป็นไรข้าได้เรื่องใหม่ๆ แล้ว”

       ปรานทัศน์คิดในใจว่าถ้าเขาไม่พูดถึงนางเงือกเด็กไทยก็ได้อ่านพระอภัยมณีอยู่แล้ว แล้วดันไปพูดทำไม เขาคิดอยู่พักหนึ่งแล้วได้ความคิดว่า

       “แล้วทำไมท่านไม่นำทั้งสองเรื่องมารวมเข้าด้วยกันเสียล่ะ” ปรานทัศน์เสนอ
       “ทัศน์ เจ้านี่เป็นกวีชั้นยอดจริงๆ นะขอบใจมาก ข้าว่าเรื่องนี้ต้องขายดีแน่ๆ เลยเช่นนั้นเราให้ชื่อเรื่องว่าพระอภัยมณีแล้วกันเจ้าว่าเยี่ยงไร”
       “ดีขอรับ” ปรานทัศน์ตอบอย่างโล่งใจไม่อย่างงั้นเด็กไทยคงไม่รู้จักพระอภัยมณีแน่นอนเพราะในนิทานตามที่ปรานทัศน์คิดคงมีแต่สัตว์ประหลาดแน่ๆ

       สุนทรภู่ทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นมาว่า “ข้าได้เนื้อเรื่องแล้วเอาเยี่ยงนี้นะ เจ้าคอยเล่าถึงสัตว์แปลกๆ ของบ้านเมืองเจ้าส่วนข้าจะคิดเนื้อเรื่องเอง โอเคนะ” สุนทรภู่ล้อเล่นกับปรานทัศน์เพราะตอนนี้จิตใจของเขากลับสู่สภาพดีมากแล้วและประกอบกับที่เขาได้นิทานเรื่องใหม่แล้วจึงอารมณ์ดี

       “โอเคก็โอเคขอรับ” ปรานทัศน์รับคำ
       แล้วต่อจากนี้เขาจะต้องช่วยสุนทรภู่แต่งเรื่องพระอภัยมณีต่อไปและนี่เองคงเป็นเหตุผลที่เขามีหนังสือเล่มนี้ติดตัวมาด้วยแต่ถึงอย่างไรเขาก็จะช่วยสุนทรภู่จนถึงทีสุดอยู่แล้ว

    จากคุณ : ขุนไกรพลพ่าย - [ วันวิสาขบูชา 00:41:14 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป