CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    ความฝันของเจ้าชาย

    พระราชาเดินไปเดินมาด้วยความกระวนกระวายใจ เนื่องจากเจ้าชายผู้เป็นพระโอรสหนีออกไปจากเมืองตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว
    เจ้าชายอายุสิบหกแล้ว จึงเดินทางออกสู่โลกกว้าง หากเป็นเจ้าชายทั่วไปอาจเดินทางไปศึกษาหาวิชาจากฤๅษีในป่าเพื่อเตรียมตัวกลับมาเป็นพระราชา
    แต่เจ้าชายไม่ได้อยากฝึกวิชาจากฤๅษีใดๆ หรือจะพูดตรงๆ ก็คือ เจ้าชายไม่ได้อยากกลับมาเป็นพระราชาปกครองบ้านเมือง
    แล้วเจ้าชายอยากเป็นอะไร?
    ความฝันของเจ้าชายมีเพียงหนึ่งเดียว คือการได้เป็นนักร้อง ออกอัลบั้มซีดี มีเพลงติดชาร์ตบิลบอร์ด และมีคอนเสิร์ตเป็นของตัวเอง
    แต่แน่นอนว่าพระราชาย่อมไม่ยอมรับความคิดนี้ของพระโอรสได้
    และแล้วในระหว่างที่ทรงกลุ้มพระทัยอยู่นั้นก็ทรงนึกได้ว่าพระองค์มีพระสหายอยู่องค์หนึ่ง (ต้องเรียก ‘องค์’ เพราะพระสหายเป็นพระราชาเหมือนกัน) พระสหายองค์นี้มีลูกไม่รักดีเหมือนกัน
    ว่าแล้วพระราชาก็ไม่รีรอ ทรงเปิดพระคอมพิวเตอร์ ทรงอินเตอร์เน็ต แล้วส่งอีเมลถึงพระสหายทันที

    จดหมายของพระราชามีใจความดังนี้

    “Dear ท้าวสุทัศน์
    เนื่องจากเราทราบมาว่าท่านมีลูกชายไม่เอาถ่านอยู่คนหนึ่ง แทนที่จะสนใจศึกษาหาวิชา ประกอบสัมมาอาชีวะสมฐานะพระราชา แต่กลับไปเรียนเป่าปี่เสียนี่ ขอบอกท่านตามตรงว่าตอนนั้นเรารู้สึกสมเพชว่ะ (ขออภัย นี่อาจทำให้ท่านโกรธ แต่มันเป็นความจริง) ที่ดันมีลูกชายความคิดประหลาด แต่พอถึงตอนนี้เราถึงค่อยเข้าใจความรู้สึกของท่านในเวลานั้น (และเลิกสมเพชท่านแล้ว ขอบอก)
    ที่เป็นยังงี้ก็เพราะว่าเราเองก็มีลูกไม่รักดีเหมือนท่านน่ะสิ หน็อย! เป็นเจ้าชายอยู่ดีๆ ไม่ชอบ ริอยากจะเป็นนักร้อง เป็นพวกเต้นกินรำกิน (เอ๊ะ! หรือว่าที่จริงแล้วลูกชายเราเห็นพ่อนักเป่าปี่ลูกชายท่านเป็นตัวอย่าง ถ้าเป็นยังงั้นท่านต้องรับผิดชอบด้วย!)

    เราถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่หลายวัน จะห้ามยังไงลูกชายเราก็ไม่ฟัง ในที่สุดเขาก็หนีออกจากวังไป บอกว่าจะไปตาม ‘ความฝัน’ เราสงสัยนักว่าพระราชวังสามฤดูของเราออกจะโอ่โถง เมืองของเราก็แสนจะกว้างใหญ่ แล้วมันไม่มีไอ้เจ้า ‘ความฝัน’ ที่ลูกชายเราต้องการเลยหรือไง เขาถึงต้องออกไปตามหาถึงเมืองอื่นยังงั้นน่ะ
    ขออภัยที่พล่ามมาเสียยาว ที่เขียน (ความจริงแล้วพิมพ์) มาเสียยืดยาว ก็เพราะไม่เห็นใครเป็นที่พึ่งได้อีกแล้วนอกจากท่าน หวังว่าจะได้รับคำตอนจากท่านโดยด่วน

    เราเอง

    ป.ล. ตอนนี้เรามีเว็บไซต์ของเมืองเราแล้วนะ ว่างๆ ท่านก็ลองคลิกเข้ามาดู หรือจะแลกลิงค์กันก็ได้”

    หลังจากส่งอีเมลไปให้พระสหายแล้ว พระราชาก็รอเมลตอบกลับอย่างใจจดใจจ่อ ถึงขนาดทรงออนไลน์ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยทีเดียว (พระราชาใช้ไฮสปีดอินเตอร์เน็ต ระบบเหมาจ่ายรายเดือน) บางครั้งพระราชาก็เปิดหน้าต่างอื่นดูแล้วก็ถอนหายใจ

    กระทั่งสามวันผ่านไป พระราชาจึงได้รับพระราชสาส์นอีเมลตอบกลับจากพระสหาย มีใจความดังนี้

    “Dear ท่าน (ท่านชื่ออะไรนะ?)
    เราขอบอกตามตรงว่าโกรธท่านมั่กๆ ตอนที่อ่านเมลของท่านถึงตอนที่บอกว่ารู้สึกสมเพชเรา แต่เมื่ออ่านไปจนจบความโกรธของเราก็บรรเทาลง เพราะเรามันก็หัวอกเดียวกัน

    ตอนแรกที่เรารู้ว่าลูกอภัยฯของเราไปเรียนวิชาเป่าปี่น่ะ เราโมโหจนลมออกหูทีเดียว (ความจริงยังมีลูกศรีฯอีกคน แต่นั่นเขาไปเรียนวิชากระบี่กระบองมา ก็ยังพอโอเคน่ะ) เราถึงกับขับไล่ลูกทั้งสองออกจากวัง ให้พวกเขาตุหรัดตุเหร่ไปเผชิญโลกกว้างตามลำพัง แต่เวลาผ่านไปหลายปี เราถึงได้รู้ว่าดินแดนของเราแม้จะกว้างใหญ่ไพศาล และมีสิ่งของต่างๆ มากมายแค่ไหน แต่มันก็ไม่มีซอกมุมไหนในเมืองของเราที่มี ‘ความฝัน’ ของลูกชายเราซุกซ่อนอยู่ เขาจึงต้องออกไปตามหาด้วยตัวเอง ก็เหมือนกับลูกชายท่านน่ะแหละ (ว่าแต่เขาชื่ออะไรนะ?)

    ตอนหลังเราถึงได้รู้ว่าการที่ลูกอภัยฯสำเร็จวิชาเป่าปี่มา อย่างน้อยก็ไม่เสียหลาย เขาสามารถเป่าปี่ให้พราหมณ์ง่วงหลับไป (ตอนที่ได้ฟังความสามารถด้านนี้ของลูกอภัยฯ เราไม่แน่ใจหรอกว่าเขาเป่าปี่เก่งหรือห่วยกันแน่) เขาใช้เพลงปี่เกี้ยวสาวได้หลายคน แล้วก็บทเพลงเดียวกันนั่นแหละ เขาก็ใช้สังหารผีเสื้อสมุทรได้ (เราแอบไม่บอกท่านว่าความจริงผีเสื้อสมุทรที่ว่าก็เมียคนแรกของเขานั่นเอง)
    เราคิดว่าประเด็นสำคัญที่สุดไม่ใช่อยู่ที่ว่าเขาไปเรียนอะไรมา หากแต่เป็นว่าเขาได้ตั้งใจอย่างเต็มที่ และมุ่งมั่นกับความฝันของตัวเองหรือเปล่าต่างหาก สิ่งที่คนเป็นพ่อแม่ควรทำก็คือสนับสนุนสิ่งที่ลูกได้เลือกและทำแล้ว

    ถึงตอนนี้เราบอกท่านได้อย่างไม่อายว่า เราแสนจะภูมิใจในตัวลูกอภัยฯของเรา ถึงเขาจะไม่เก่งเรื่องการบริหารบ้านเมือง แต่อย่างน้อยเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นพระราชาที่เป่าปี่เก่งที่สุด เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าลูกชายของท่านจะได้เป็นพระราชาที่ร้องเพลงเพราะที่สุดในอนาคตก็เป็นได้

    บางทีลูกเรากับลูกท่านอาจมีโอกาสเล่นคอนเสิร์ตร่วมกันก็ได้นะ

    ท้าวสุทัศน์
    ป.ล. เราเข้าไปดูเว็บเมืองของท่านแล้ว แอดบุ๊คมาร์คไว้แล้วด้วย”

    พระราชาได้อ่านพระอีเมลของท้าวสุทัศน์ผู้เป็นพระสหายแล้วก็ถอนหายใจ
    “บางทีเราควรภูมิใจและยินดีที่ลูกชายของเราไปตามหาความฝันที่ไม่มีอยู่ในเมืองของเรา”
    แล้วพระราชาก็บรรจงพรมนิ้วลงบนแป้นคีย์บอร์ดตอบพระอีเมลกลับให้ท้าวสุทัศน์

    “Dear ท้าวสุทัศน์
    เราได้อ่านเมลของท่านแล้วก็ตอบกลับทันที จริงอย่างที่ท่านว่า สิ่งที่คนเป็นพ่อแม่ควรทำก็คือสนับสนุนสิ่งที่ลูกได้เลือกและทำแล้ว ขอบใจท่านมากที่ได้ให้คำปรึกษาที่ดีแก่เรา

    อ้อ! แล้วที่ท่านบอกว่าลูกของเราสองคนอาจได้เล่นคอนเสิร์ตร่วมกันน่ะ มันเรียกว่าเป็น ‘ความฝัน’ ของคนเป็นพ่อรึเปล่า?

    แต่ถ้าจะให้ดี ท่านน่าจะให้ลูกชายอีกคนมาร่วมเล่นคอนเสิร์ตด้วยนะ นอกจากใช้กระบี่กระบองแล้ว เขาพอจะเป็นแดนเซอร์ได้ไหม?

    เราเอง (เราชื่อ "พระราชา" ส่วนลูกเราชื่อ "เจ้าชาย")
    ป.ล. เว็บไซต์ของเมืองเรายังขลุกขลักเล็กน้อย แต่เราจะรีบแก้ไขโดยด่วน

    เมื่อจดหมายไฟฟ้าของพระราชาถูกส่งไปเรียบร้อย พระราชาก็ทรงเปิดหน้าต่างอีกเว็บไซต์ขึ้นมา ที่นั่นพระองค์เห็นกลุ่มเด็กหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งกำลังขะมักเขม้นอยู่กับการซ้อมร้องเพลง โดยมีป้ายโฆษณาจำนวนมากมายเป็นฉากหลัง

    แล้วพระองค์ก็เห็นใบหน้าของลูกชายจากกล้องที่ติดอยู่บนเพดาน

    ภาพที่เห็นนั้นไม่ใช่ใบหน้าของ ‘เจ้าชาย’ หากแต่เป็นใบหน้าของเด็กหนุ่มที่อิ่มเอิบจากการตามหา ‘ความฝัน’ ของตนเองจนพบ เขากำลังซ้อมร้องเพลงโดยมีครู (ความจริงต้องเรียกพระอาจารย์) คอยแนะวิธีการร้องที่ถูกต้องให้
    พระราชายิ้มด้วยความภาคภูมิใจ แล้วก็เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเบอร์โทรศัพท์ที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ แล้วส่งเอสเอ็มเอสโหวตให้เจ้าชาย

    หนึ่งคะแนนนี้คือการสนับสนุนสิ่งที่ลูกได้เลือกและทำแล้ว

    -----------
    หมายเหตุ - มีบล็อกเป็นของตัวเองแล้วครับ อยู่ที่
    http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=preeda&group=6

    จากคุณ : ปรีดา - [ 26 พ.ค. 48 10:52:35 A:203.156.20.228 X: ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป