ติดไว้ก่อนครึ่งหนึ่งนะครับ แต่งไม่ทันจริงๆ ช่วงนี้วุ่นๆ หน่อย คุยกับคนอ่านก็ไม่ได้คุย ติดไว้ก่อนเช่นกันจ้า ขออภัยจริงๆ ติดตามส่วนที่เหลือได้ในกระทู้นี้เช่นเดิมนะครับ ขอบคุณครับ
เป็นเวลาหลายวันแล้วที่พวกฮั่นตงทั้งห้าคนหลบหนีออกจากสำนักใหญ่ฉิกจับอิด โดยอาศัยความมืดในยามกลางคืนเป็นเครื่องกำบัง ส่วนกลางวันก็อาศัยหยุดพักลอบเร้นกายตามพุ่มไม้รกชัฏ อาศัยใบไม้กิ่งไม้หนาทึบเป็นเครื่องพรางตัว
ช่วงเวลาที่หยุดพักนี้เสี่ยวโกยก็แยกตัวออกตรวจสอบร่องรอยการติดตามของศัตรู พร้อมทั้งกลบเกลื่อนร่องรอยของพวกตนไปด้วยในตัว ส่วนเสี่ยวซาก็ออกค้นหาร่องรอยของซือไท้กล้วยไม้หยกและพวกที่พลัดหลงกันด้วย ทว่าจนแล้วจนรอดก็มิได้ความ เหวินเหม่ยชิงเริ่มรู้สึกเป็นห่วงศิษย์พี่น้องรวมถึงอาจารย์อาอย่างยิ่ง จิตใจนางร้อนรุ่มและกังวลไปต่างๆ หลายครั้งมีอาการเหม่อลอย จนฟาหลินซีต้องออกช่วยสืบข่าวเรื่องนี้เป็นอีกผู้หนึ่ง
ทั้งสามคนกลับมาในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยที่คำตอบก็เป็นลักษณะคล้ายคลึงกัน นั่นก็คือมิพบเห็นร่องรอยของพวกฉิกจับอิด และพวกหันซานแม้แต่น้อย พวกเขายังคงมิสามารถสืบหาร่องรอยของพวกหันซานได้ แต่ก็น่ายินดีที่ไม่มีข่าวว่าคนเหล่านั้นถูกจับกุมตัว เหวินเหม่ยชิงพอฟังก็คลายใจลงเปลาะหนึ่ง เพราะหญิงสาวทราบดีว่า หากพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องตกอยู่ในมือฝ่ายตรงข้ามแล้ว จะต้องถูกนำมาใช้เป็นเครื่องข่มขู่นางอย่างแน่นอน เวลานี้ที่เงียบอยู่แสดงว่าคงสามารถหลบหนีสำเร็จ
เมื่อปัญหาในใจของเหวินเหม่ยชิงคลายลงไป ทั้งห้าคนจึงปรึกษากันว่าจะทำเช่นไรต่อไปดี ฟาหลินซีเป็นฝ่ายเสนอให้ทั้งหมดหาที่หลบซ่อนก่อน เพื่อฮั่นตงจะได้พักรักษาตัวฟื้นฟูพลังฝีมือส่วนพวกที่เหลือจะได้ออกติดตามข่าวฉิกจับอิด
ทั้งหมดเมื่อฟังเหตุผลของอดีตเจ้าสำนักคุ้มกันภัยผู้นี้ก็รู้สึกสมเหตุสมผล จึงตกลงใจกันว่าจะหาที่ปลอดภัยเพื่อพักฟื้นก่อน ตอนแรกเสี่ยวซาเสนอให้ไปยังเขตหวงห้ามบนยอดเขาบู๊ตึ๊ง เพราะภายหลังที่เตียหงีถูกลอบสังหารเสียชีวิตในที่นั้น มันก็กลายสภาพจากเขตหวงห้ามเป็นพื้นที่ปิดตายที่มิว่าผู้ใดก็ไม่ย่างกรายเฉียดผ่านเข้าไป นับว่าเป็นสถานที่เหมาะสมในการหลบซ่อนตัวอย่างยิ่ง ทว่าเสี่ยวโกยแย้งว่าการจะไปหลบซ่อนอยู่ที่แห่งนั้นก็นับว่าประเสริฐ เพียงแต่ระยะทางจากหยางโจวไปบู๊ตึ๊งนั้นห่างไกลนัก เหตุใดมิหาที่ที่อยู่ในบริเวณนี้
ฟาหลินซี เสี่ยวซา และเหวินเหม่ยชิง รวมทั้งฮั่นตงได้ยินต่างก็คล้อยตามเห็นชอบด้วย ทว่ายามกระทันหันมิอาจนึกหาสถานที่อันเหมาะสมได้
ระหว่างขบคิดกันอยู่นั้น ฮั่นตงพลันกล่าวว่า "ไกลสุดปลายฟ้า ใกล้แค่ปลายจมูก ขอเพียงพวกเราสามารถหาที่หลบซ่อนอันเร้นลับเฉพาะในเมืองหยางโจวซึ่งเป็นเหมือนบ้านของพวกฉิกจับอิดเองนั้นได้ พวกมันก็จะหาเราไม่พบ เพราะมิว่าผู้ใดต่างต้องคิดว่าพวกเราหลบหนีไปไกล คาดมิถึงพวกเรากลับมาอยู่ใต้จมูกของพวกมัน!!!!!"
เสี่ยวซา เสี่ยวโกย และฟาหลินซีตาเป็นประกายพากันร่ำร้องออกมาเสียงดังพร้อมเพรียง
"หมู่บ้านดอกท้อ"
...........................
ผ่านไปอีกหลายวันทั้งห้าก็เดินทางมาถึงบ้านน้อยกลางดงท้ออันสงัดเงียบ เสี่ยวซาดีใจจะได้พบหลี่ซังซังอีก จึงรีบถลันเข้าในตัวบ้านกล่าวด้วยเสียงอันดัง
"ซังเอ๋อ ดูสิว่าข้าพาใครมา?"
"..................."
เด็กหนุ่มพบว่าภายในบ้านน้อยมิมีผู้ใดเลย มีเพียงโต๊ะเล็กตัวหนึ่ง กับป้านน้ำชาที่ฝุ่นเกาะตั้งอยู่บนโต๊ะน้อยนั้น หลี่ซังซังจากไปแล้ว!
ฟาหลินซี และเสี่ยวโกยติดตามเข้ามาเมื่อพบว่าทั่วทั้งห้องว่างเปล่า เมื่อเห็นสีหน้าของน้องสี่พวกมันก็เดาเรื่องราวออกจึงกล่าวปลอบประโลม บอกว่ามิต้องกังวลเพราะหลี่ซังซังนั้นเฉลียวฉลาด มีแต่ผู้อื่นถูกนางข่มเหง หามีผู้ใดสามารถข่มเหงนางได้
เสี่ยวซาได้ฟังนึกถึงเหตุการณ์ที่เด็กสาวหลอกลวงคนขายอัญมณีก็พลันยิ้มออกมาได้ จริงสิ นางมีแต่ข่มเหงผู้อื่น ยังมีผู้ใดสามารถข่มเหงนาง!
ดังนั้นเด็กหนุ่มพักเรื่องของหลี่ซังซังไว้ชั่วคราวหันมาสนใจอาการบาดเจ็บของฮั่นตงแทน
...................................
หลังจากใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วยามตรวจสอบ มันก็พบว่าเส้นชีพจรทั่วร่างพี่รองฉีกขาดหมดสิ้น มิว่าพลังฝีมือ หรือลมปราณล้วนสูญสลาย เสี่ยวซาแม้พยายามช่วยเหลือจนสุดความสามารถ ก็มิอาจทำประการใดได้!!
เสี่ยวซาทดลองถ่ายทอดลมปราณเข้าสู่ร่างของฮั่นตงเที่ยวแล้วเที่ยวเล่า มันเดินพลังด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ทว่าจนแล้วจนรอดก็ไม่บังเกิดผลใดใดแม้เพียงเล็กน้อย!
หรือฮั่นตงยอดมือปราบ จะต้องจบสิ้นลงในลักษณะนี้?! ก่อนที่ความหวังของทั้งหมดจะดับสูญไปจนหมดสิ้น เสี่ยวซาก็พลันพบว่าหลังจากที่ถ่ายทอดลมปราณเข้าสู่ร่างของฮั่นตงเป็นเที่ยวที่แปด มีพลังลมปราณอันน้อยนิดที่แฝงอยู่ในเส้นชีพจรที่ขาดสะบั้นของพี่รองได้ตอบสนองต่อลมปราณจิตว่างของมัน ปฏิกริยาดังกล่าวแม้จะแผ่วเบาอ่อนล้ายิ่ง แต่สำหรับเสี่ยวซาแล้วมันคือ.....สิ่งที่ยิ่งใหญ่ มันเป็นประกายความหวัง!!! ถึงแม้จะเลือนลางแต่มันก็ยังคงอยู่!!!!!
เสี่ยวซาร่ำร้องออกมาด้วยความยินดี กล่าวว่า "พี่รอง! ข้าพเจ้าพบว่าแม้นเส้นชีพจรของท่านจะขาดสลายไปสิ้น ทว่าในส่วนลึกลงไปยังมีปฏิกิริยาตอบสนอง มิแน่ว่าลมปราณมังกรเขียวในร่างของท่านจะสามารถสร้างปาฏิหารย์ต่อเชื่อมเส้นชีพจรขึ้นใหม่ ถึงเวลานั้นพลังฝีมือก็อาจกลับฟื้นคืนมาทั้งหมด!!!!!"
"แล้วต้องทำประการใดพี่รองจึงจะหาย?!!!!"
"แล้วต้องทำประการใดน้องรองจึงจะหาย?!!!!" เสี่ยวโกย และฟาหลินซีแทบจะร้องออกมาพร้อมกันทีเดียว
คำถามนี้ทำให้เด็กหนุ่มพลันมีสีหน้าหมองคล้ำลง จนคนอื่นๆ ผิดสังเกตพากันไถ่ถาม
"ที่แท้พี่รองมีโอกาสหายหรือไม่กันแน่?" เสี่ยวโกยถามเสียงดัง
"ข้าพเจ้าไม่ทราบ เรื่องนี้คล้ายขึ้นอยู่กับตัวของพี่รองเอง ข้าพเจ้าแม้นจะทุ่มเทพลังภายในถ่ายทอดเข้าไปก็มิเกิดประโยชน์ เหมือนกับว่าพี่รองต้องเป็นคนฟันฝ่าอุปสรรคนั้นออกมาให้ได้ด้วยตนเอง!!!" เสี่ยวซาตอบ
ฮั่นตงได้ยินเช่นนั้นก็ปั้นสีหน้ายิ้มแย้มกล่าวบอกทุกคนมิต้องเป็นห่วง เมื่อตอนอยู่ในถ้ำใต้ดิน ตนเองก็เคยบาดเจ็บในลักษณะนี้ ก็ยังสามารถอาศัย ปราณมังกรเขียว และ เคล็ดปราณผันแปร ต่อเชื่อมเส้นชีพจร สุดท้ายมิเพียงสามารถต่อเชื่อมเส้นชีพจร ยังบรรลุ ปราณผันแปร ขั้นสุดท้ายมาแล้ว
แม้คำพูดนั้นจะทำให้ทุกคนใจชื้นขึ้นมาก ทว่าแท้จริงแล้วยอดมือปราบกลับรู้ดีว่าตนเองมิมีวันหายจากอาการบาดเจ็บเช่นนี้ได้ เนื่องเพราะความมุ่งมั่นนั้นถูกทำลายไปหมดสิ้นตั้งแต่พ่ายแพ้หลี่เฉินเชียง ทุกครั้งที่พยายามใช้พลัง ก็จะไม่สามารถคุมสมาธิได้ เพราะมักประหวัดถึงเหตุการณ์ที่พ่ายแพ้ดังกล่าว
ยอดมือปราบยังนึก... ต่อให้ตนเองสามารถรักษาอาการจนหาย แล้วจะเป็นอย่างไร ยังสามารถเอาชัยต่อหลี่เฉินเชียงได้หรือ?
อาการบาดเจ็บที่เกิดกับมันมิเพียงเกิดกับร่างกาย แต่มันบาดลึกจนเป็นแผลไปถึงจิตใจอีกด้วย และนั่นจะมากจะน้อยก็เป็นผลจาก ยาเสริมกิเลส ตัวยาที่ทำให้จิตใจของมนุษย์มัวเมาลุ่มหลงในกิเลส บาดแผลที่เกิดขึ้นจึงยิ่งลึกล้ำลงไปทุกที
.
คืนนั้นเสี่ยวซาเหม่อมองดวงจันทร์ คิดถึงผู้มีพระคุณทั้งสองของมันที่ตายจาก ยังมีหลี่ซังซังที่หายไป
"จอมยุทธเสี่ยวซา ท่านทำอันใด?"
เด็กหนุ่มสะดุ้งหันกลับไปพบฮั่นตงยืนยิ้มอยู่
"พี่รองท่านกลับล้อข้าพเจ้า" เสี่ยวซาต่อว่า
"ฮา ฮา เวลานี้ชื่อเสียงของเจ้าดียิ่ง ทุกผู้คนต่างรู้วีรกรรมของเจ้า" มือปราบหนุ่มหัวเราะ วันก่อนเสี่ยวโกยสืบข่าว ได้ยินคนในโรงเตี้ยมกล่าวกันว่า แม้ศึกนี้หอห้ากระบี่จะพ่ายแพ้ แต่กลับปรากฏจอมยุทธน้อยนามเสี่ยวซา ที่เปี่ยมด้วยเมตตาธรรมและมีพลังฝีมือล้ำลึกร้ายกาจ สามารถสยบกองกำลังฉิกจับอิดนับพันโดยมิได้สังหาร
เด็กหนุ่มเกาหัว กล่าวว่า "ข้าสู้กับคนไม่กี่ร้อย พวกมันกลับพูดราวกับข้าพเจ้ามีสามเศียร หกกร หากยังลือกันต่อไป น่ากลัวคงกลายเป็นข้าพเจ้าเพียงลำพังสยบกองกำลังนับแสนแล้ว ฮา ฮา "
"ฮา ฮา"
ตอนท้ายทั้งสองต่างหัวเราะออกมา
"ในค่ำคืนเช่นนี้ท่านมิไปอยู่เป็นเพื่อนพี่สะใภ้ กลับออกมาสนทนากับข้าพเจ้า คิดว่าคงมีความในใจ"
"เพ้ย เจ้ากล่าวอันใด ผู้ใดเป็นพี่สะใภ้เจ้า!" ฮั่นตงถลึงตาใส่อีกฝ่าย
เสี่ยวซาทำเป็นมิเห็น กล่าวหยอกอีกว่า "ผู้ใดไม่ทราบ แต่ในที่นี้คล้ายมีสตรีอยู่เพียงผู้เดียว"
ยอดมือปราบแค่นยิ้มเจื่อนๆ จึงถอนหายใจยาวนาน เสี่ยวซามองพี่รองของมัน กล่าวเสียงมั่นคงว่า
"พี่ฮั่น อาการของท่านรักษามิหายใช่หรือไม่?"
ฮั่นตงถอนหายใจยาว
"เรื่องนี้บอกต่อเจ้าผู้เดียว อาการของเรา .....คงมิมีวันรักษาหาย"
เสี่ยวซาก้มหน้านิ่ง สุดท้ายถอนหายใจยาวนานกล่าวว่า "ข้าพเจ้ากลับคิดว่า จริงๆ แล้วการที่จะสามารถต่อชีพจรของท่านได้นั้นมิใช่เรื่องที่เป็นไปมิได้ เพียงแต่ว่าการจะทำเช่นนั้นได้ล้วนขึ้นอยู่กับตัวท่านเอง ข้าพเจ้าเข้าใจว่ามิใช่เรื่องง่ายดาย การจะทำให้สำเร็จต้องอาศัยพลังใจอันเข้มแข็ง บาดแผลในครานี้ของท่านมิได้อยู่ที่เส้นชีพจรที่ขาดสะบั้นเหล่านั้น และมิได้อยู่ที่ร่างกายส่วนหนึ่งส่วนใด แต่อยู่ที่จิตใจของท่าน!!!! หากต้องการรักษาอาการบาดเจ็บนี้ให้ได้ มีแต่ต้องเยียวยาที่จิตใจ!!!!"
เว้นนิดหนึ่งกล่าวว่า
"พี่รองหากท่านมิถือ ข้าพเจ้าจะถ่ายทอดเคล็ดลับ "เป็นอยู่ด้วยจิตว่าง" แก่ท่าน คิดว่าคงมีส่วนช่วยท่านได้มาก"
ฮั่นตงจ้องมองน้องสี่ของมัน กล่าวว่า "นี่เป็นเคล็ดวิชาที่ไต้ซือหัวหลินถ่ายทอดแก่เจ้ามิควรนำมาเปิดเผยแก่คนนอก"
เสี่ยวซากล่าวว่า "พี่รองท่านมิใช่คนนอก อีกอย่างเคล็ดวิชานี้คนเลวฝึกไปก็หามีประโยชน์ ดังนั้นมิกลัวว่าคนอื่นแอบฝึก ข้าเชื่อว่าขอเพียงท่านเข้าใจความเป็นอยู่ด้วยจิตว่าง ก็จะสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้เอง โดยมิต้องพึ่งพายาหรือหมอวิเศษใดๆ ทั้งสิ้น จากนั้นเด็กหนุ่มจึงบอกเคล็ดว่าด้วยการปล่อยวางกิเลสแก่ฮั่นตงคร่าวๆ
มือปราบหนุ่มจับจ้องมองน้องสี่ของมันด้วยความสำนึกตื้นตัน จากนั้นกล่าวว่า "เจ้าต้องไปแล้วสินะ"
เสี่ยวซาผงกศีรษะ "ต้องไป พี่สามบอกข้าพเจ้าว่าออกไปสืบข่าวครานี้ได้ล่วงรู้มาว่า ฉิกจับอิดจะนำกำลังทั้งหมดไปบุกบู๊ตึ๊ง เพื่อคิดบัญชีกับ"หอห้ากระบี่" โดยเฉพาะจื่ออิง ท่านก็ทราบบู๊ตึ๊งเป็นสำนักที่เลี้ยงดูข้าพเจ้ามา อดีตเจ้าสำนักก็ดีต่อข้าพเจ้ามิใช่น้อย เวลานี้สำนักมีภัย หากข้าพเจ้านิ่งดูดาย ยังเป็นผู้คนอีกหรือ?"
ที่จริงในใจของเด็กหนุ่มยังมีเรื่องอีกประการ นั่นคือหลี่ซังซัง มันตกลงกับนางว่า ถ้าตนเองจากไปแล้ว นางมิอยู่ต่อก็ขอให้ไปยังบู๊ตึ๊ง หลบอยู่เขตหวงห้ามรอคอยตน เสี่ยวซายังหวังว่านางจะรักษาสัญญา มิใช่โกรธแค้นจนหลบหน้าหนีหายไปจริงๆ
ฮั่นตงตบไหล่บ่าของน้องสี่มัน กล่าวว่า "เราเข้าใจ และจะบอกแก่พี่ใหญ่ พี่สามของเจ้าเอง เจ้าไปเถิด จากนั้นบอกว่า "พวกเราสาบานเป็นพี่น้องกันมานาน เรามิเคยขออะไรเจ้าเลย วันนี้เรามีคำขอร้องประการหนึ่ง"
"เรื่องอันใด พี่รองโปรดบอกกล่าว"
ฮั่นตงนิ่งไปครู่ใหญ่ กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังหนักแน่น "มิว่าเกิดอันใดขึ้น ห้ามตายเด็ดขาด!!!!!!!!"
เสี่ยวซารับฟังจนดวงตาแดงก่ำ โผเข้ากอดฮั่นตง ทั้งสองพี่น้องกอดกันแน่น ด้วยความรู้สึกราวกับพี่น้องร่วมอุทรจริงๆ
"ข้าพเจ้าไปแล้ว" เสี่ยวซากล่าว พลางเดินจากไปท่ามกลางแสงจันทร์ที่ลูบไล้บนร่างของมัน
การไปของเสี่ยวซาคราวนี้ ใช่ว่ามันมิสามารถกลับคืนมาอีกหรือไม่?
แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 48 22:11:25
แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 48 22:09:12
จากคุณ :
ทีมแต่งนิยาย
- [
26 พ.ค. 48 22:03:40
]