ขุนช้างขุนแผนฉบับนิทานข้างกองฟาง (๑๑)
แต่งงาน
พ่อแม่พี่น้องที่เคารพขอรับ เช้าแล้ว ตื่นเถิดขอรับ แล้วมานั่งล้อมวงฟังนิทานข้างกองฟางกันต่อ โดยปล่อยจินตนาการตามกระผมไป ถึงตอนที่ขบวนเกวียนสู่ขอแม่พิมพิลาไลยมาอยู่ ณ ท้ายสวนบ้านของแม่ศรีประจันที่เมืองสุพรรณบุรี ตั้งแต่ค่ำวานนี้แล้ว
ครั้นเช้าขึ้นมา แม่ทองประศรีก็บงการให้จัดกระบวน ไปขอลูกสาวเขาทันที บทกลอนสำนวนนี้ ก็คงจะได้เคยอ่านมาโดยทั่วกัน ดังนี้
ครั้นรุ่งแจ้งแสงสางสว่างหล้า
ทองประศรีตื่นตาหาช้าไม่
ล้างหน้าตำหมากใส่ปากไว้
นั่งเคี้ยวไบ่ไบ่แล้วตรองการ
จึงร้องเรียกตาสนกับตาเสา
ยายมิ่งยายเม้าเป็นเพื่อนบ้าน
ปรึกษาตูข้าจะขอวาน
คิดอ่านขอลูกสาวศรีประจัน ฯ
ครั้นแม่ศรีประจันเชื้อเชิญให้เพื่อนเก่าเข้าบ้านแล้ว ก็ปฏิสันถารกันด้วยความที่ไม่ได้พบหน้ากันมาหลายปี แล้วจึงถามแม่ทองประศรีว่า ที่มาหาฉันครั้งนี้ มีธุระอะไรหรือ
แม่ทองประศรีพอได้โอกาสดังนั้นจึงเริ่มการเจรจาทันที โดยใช้สำนวนอย่างที่กระผมอยากจะขอบันทึกไว้เป็นหลักฐานอีกครั้งหนึ่ง ในถ้อยคำการขอลูกสาวเขาดังนี้ขอรับ
จะขอพันธุ์ฟักแฟงแตงน้ำเต้า
ที่ออเจ้าไปปลูกในไร่ข้า
ทั้งอัตคัตขัดสนจนเงินตรา
จะมาขายออแก้วให้ช่วงใช้
อยู่รองเท้านึกว่าเอาเกือกหนัง
ไม่เชื่อฟังก็จะหาประกันให้
ได้บากบั่นมาถึงเรือนอย่าเบือนไป
จะได้ฤาไม่ได้ให้ว่ามา ฯ
แม่ศรีประจันได้ฟังก็หัวเราะพลางว่า ยายทองประศรีเอ๋ย เราก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สาว ๆ มีอะไรก็ว่ากันมาตรง ๆ ดีกว่า ซึ่งถ้าจะต้องยกลูกสาวให้ลูกชายเพื่อนแล้วละก้อ ไม่ได้ขัดข้องดอก แต่ว่าไอ้หนูของเธอนั่นมันสำมะเลเทเมา กินเหล้ากินยา เล่นเบี้ยเสียโบกบ้างหรือเปล่า
เพราะถึงยากจนอย่างไรก็ไม่ว่า แต่พร้าขัดหลังมาจะยกให้ คือขอให้เป็นคนทำมาหากิน ขยัน ขันแข็งเถิด ก็เท่านั้นแหละ
คราวนี้ ตาสน ตาเสา ยายเม้า ยายมิ่ง เฒ่าแก่เพื่อนบ้าน ที่แม่ทองประศรีขอร้องมาให้เป็นเพื่อน ก็เลยเล่าความหลังให้แม่ศรีประจันเตือนความจำว่า
ว่านอนสอนง่ายชายฉลาด
ทั้งรูปทรงก็สะอาดสำอางศรี
รุ่นหนุ่มน้อยจ้อยเรียบร้อยดี
ความชั่วไม่มีสักสิ่งอัน;
เมื่อเป็นเณรก็เทศน์มัทรีได้
เพราะเจาะจับใจดีขยัน
เมื่อปีกลายคุณยายเป็นเจ้ากัณฑ์
วันนั้นเจ้าพิมยังชอบใจ
เปลื้องผ้าออกบูชาซึ่งกัณฑ์เทศน์
เกิดเหตุเพราะขุนช้างมันทำให้
เปลื้องผ้าทับผ้าเจ้าพิมไว้
คุณยายจำไม่ได้หรือไรนา ฯ
ที่ว่าเปลื้องผ้านั้น คือผ้าขาวสไบเฉียงที่พาดทับแพรสไบอีกชั้นหนึ่ง เป็นธรรมเนียมของการเข้าวัดทำบุญของคนสมัยก่อนนะขอรับพ่อแม่พี่น้องไม่ต้องตกอกตกใจไป
พอพูดถึงพ่อเณรเสียงหวาน ที่เทศน์กัณฑ์มัทรี แม่ศรีประจันก็เลยร้องอ๋อและในที่สุดเมื่อตกลงกันได้แล้ว แม่ศรีประจันก็เรียกสินสอดถึง หนึ่งพันสองร้อยบาท ซึ่งเท่ากับสิบห้าชั่ง พร้อมขันหมากและผ้าไหว้สำรับหนึ่ง กับให้ปลูกเรือนหอห้าห้องฝากระดานคือมีเสาใหญ่หกคู่ และมิใช่ฝาขัดแตะจากตอก แล้วก็กำหนดงานในเดือนสิบสอง วันเสาร์ขึ้นเก้าค่ำ
เมื่อแม่เฒ่าทั้งสองปรองดองตกลงกันได้แล้ว ก็เป็นอันว่าต้องปลูกเรือนขึ้นมาที่ สุพรรณนี้อีกหลังหนึ่ง นอกจากที่แม่ทองประศรีได้สั่งเสียไว้ ให้ปลูกที่เมืองกาญจน์ไว้นั้นแล้วหลังหนึ่ง แต่ก็คงไม่กระไรนักดอก ก็รักเสียอย่างนี่นา ถึงเรียกอีกสักสิบหลังก็คงจะสู้
พอถึงจุดนี้ กระผมก็อดไม่ได้ ที่จะต้องขออนุญาตนำวิธีต่อเรือนไทย ในสมัยนั้น จากฉบับหลวงยกขึ้นมาอีกแล้ว เพราะหากนานไปก็อาจจะไม่มีใครรู้ว่าเรือนไทยนั้นเขาปลูกกันอย่างไร
ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายแก้ว
ครั้นถึงกำหนดแล้วจึงนัดหมาย
บอกแขกปลูกเรือนเพื่อนผู้ชาย
มายังบ้านท่านยายศรีประจัน
ให้ขุดหลุมร ะดับชักปักเสาหมอ
เอาเครื่องเรือนมารอไว้ที่นั่น
ตีสิบเอ็ดใกล้รุ่งฤกษ์สำคัญ
ก็ทำขวัญเสาเสร็จเจ็ดนาที
แล้วให้ลั่นฆ้องหึ่งโห่กระหน่ำ
ยกเสาใส่ซ้ำประจำที่
สับขื่อพรึงติดสนิทดี
ตะปูตียกเสาดั้งตั้งขึ้นไว้
ใส่เต้าจึงเข้าแปลานพลัน
เอาจันทันเข้าไปรับกับอกไก่
พาดกลอนผ่อนมุงกันยุ่งไป
จั่วใส่เข้าฝาเช็ดหน้าอึง ฯ
ถึงตรงนี้กระผมผู้เล่านิทานเอง ก็ยังจะต้องขอความรู้จากท่านสถาปนิกหรือวิศวกรบ้างเหมือนกันว่า ฉบับหลวงตอนนี้ที่กระผมยกมานั้น มันแปลว่ากระไรกันบ้าง ไม่ว่าจะเป็น เสาหมอ แปลาน จันทัน หรือ อกไก่ ฯลฯ ก็ตาม ถ้าท่านผู้ใดมีความรู้ ก็กรุณาบอกมาหน่อยเถิดครับ จะได้เป็นวิทยาทานแก่เด็กรุ่นหลังด้วย
เมื่อเรือนหอเสร็จ ก็ถึงกระบวนขันหมาก ซึ่งเอิกเกริกมโหฬารเต็มที่เพราะยกไปด้วยกระบวนเรือกัญญา คือเรือยาวที่มีศาลาเล็กกลางลำ คล้ายเรือดั้งในพระราชพิธีนั่นแหละขอรับ แถมยังมีมโหรีวงใหญ่ใส่เรือไปเสียอีก ไม่ทราบว่าแม่ทองประศรีแกขนใส่เกวียนมากาญจนบุรีหรืออย่างไร ?
พอดำเนินการขั้นตอนยกขันหมากเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาเลี้ยงดูปูเสื่อกันละ คาดว่าจะเชิญแขกกันทั้งเมืองเลยทีเดียว โดยเฉพาะแขกคนสำคัญ ที่พลายแก้วใช้อ้ายไทยผู้เป็นบ่าว ให้ไปเชิญถึงเรือนเป็นพิเศษ คือนายขุนช้างนั่นเอง
พอขุนช้างได้ทราบข่าวก็แทบช็อค แต่ก็พยายามหักใจ ถึงยังไง ๆ มันก็เป็นเพื่อน ว่าแล้วก็แข็งใจแต่งตัวไปร่วมงาน ตามที่ฉบับหลวงท่านว่าไว้ดังนี้ขอรับ
ครั้นถึงที่อยู่เจ้าพลายแก้ว
เพื่อนบ่าวมาแล้วนั่งพร้อมหน้า
จึงชวนกันนั่งกินรินสุรา
เมามายพูดจากันอึงไป
เจ้าพลายแก้วจึงว่าเจ้าเกลอเอ๋ย
อย่าถือเลยที่นางพิมเรารักใคร่
รู้ว่าเป็นเมียเอ็งกูเกรงใจ
เอ็นดูจงให้เสียแก่เรา
ขุนช้างฟังว่าทำหน้าเก้อ
นิจจาเกลอดอกหาไม่ไม่ให้เจ้า
แม้นเอ็งไม่รักกูจักเอา
ว่าแล้วกินเหล้าเมาสำราญ ฯ
ฟังผาด ๆ แล้วก็คล้าย ๆ กับนายขุนช้างแกมีน้ำใจนักกีฬา รู้แพ้รู้ชนะรู้อภัย ดีอยู่หรอกนะขอรับ เมื่อเพื่อนมีความสุขก็มีมุทิตาจิตด้วย แต่ถ้าลองสังเกตลึก ๆ ดูสิขอรับ
"แม้นเอ็งไม่รักกูจักเอา"
ใครจะไปรู้ได้ว่าในอนาคตนั้น อีตาขุนช้างแกมั่นคง ต่อคำพูดที่แกได้ลั่นวาจาไว้ในวงเหล้างานแต่งงานพลายแก้ววันนั้น อย่างสาหัสขนาดไหน พอถึงตอนนั้นกระผมจะได้เล่าให้พ่อแม่พี่น้องฟังเองแหละว่า เรื่องราวมันจะโกลาหลกันอย่างไรบ้าง
กลับมาเข้าเรื่องดีกว่าขอรับ คิดวุ่นวายไปไยเวลามันยังมาไม่ถึง ก็ว่าถึงเรือนหอจะเสร็จแล้ว ขันหมากจะเปิดแล้วกินเลี้ยงก็แล้ว แต่ก็ยังส่งตัวไม่ได้ดอกขอรับ เพราะเจ้าบ่าวจะต้อง "อยู่หอรองามถึงสามวัน" (อันนี้มิใช่ฉบับหลวงหรอกขอรับ แต่เป็นสำนวนของ อาจารย์ ภิญโญ ศรีจำลอง ผู้เขียนเรื่องชุด นายหนังตะลุง "พริ้ง พระอภัย" อันเลื่องลือเมื่อหลายปีมาแล้ว)
พอครบแล้วแม่ศรีประจันก็พาแม่พิมพิลาไลยมาส่งที่เรือนหอ แล้วก็มีการส่งตัวและอบรมกัน ดังนี้
โอ้เจ้าพิมนิ่มนวลของแม่เอ๋ย
เจ้าไม่เคยให้ชายสเน่หา
ร้อยชั่งจงฟังคำมารดา
นี่คู่เคยของเจ้ามาแต่ก่อนแล้ว
ร้อยคนพันคนไม่ดลใจ
จำเพาะเจาะได้เจ้าพลายแก้ว
แม่เลี้ยงไว้มิให้อันใดแพว
แต่แนวไม้เปรียะหนึ่งไม่ต้องตัว
ครั้นเติบใหญ่จะไปเสียจากอก
แม่วิตกอยู่ด้วยเจ้าจะเลี้ยงผัว
ฉวยขุกคำทำผิดแม่คิดกลัว
อย่าทำชั่วชั้นเชิงให้ชายชัง
เนื้อเย็นจะเป็นซึ่งแม่เรือน
ทำให้เหมือนแม่สอนมาแต่หลัง
เข้านอกออกในให้ระวัง
ลุกนั่งนบนอบแก่สามี
อย่าหึงหวงจ้วงจาบประจานเจิ่น
อย่าก่อเกินก่อนผัวไม่พอที่
แม่เลี้ยงมาหวังว่าจะให้ดี
จงเป็นศรีสวัสดิ์สุขทุกเวลา ฯ
ก็น่าประทับใจในรายละเอียด ที่แม่ศรีประจันสอนลูกสาวอยู่หรอกขอรับ แต่ผมมาสะดุดเล่น ๆ อยู่นิดหนึ่งตรงที่ แม่ศรีประจันพูดคล้ายกับจะขู่พลายแก้วไว้ว่า ลูกสาวฉันเลี้ยงมาราวกับไข่ในหิน ที่ว่า "แม่เลี้ยงไว้มิให้อันใดแพว แต่แนวไม้เปรียะหนึ่งไม่ต้องตัว"
ซึ่งถ้ากระผมเป็นพ่อพลายแก้วเจ้าบ่าว แล้วกำลังนั่งพับเพียบเรียบร้อยฟังอบรมอยู่อย่างนั้น กระผมคงต้องถึงขนาดที่ว่า กัดริมฝีปากกลั้นหัวเราะ กันเลยทีเดียวแหละขอรับ ก็เพราะกรณีใดเล่าที่ทำให้เณรแก้วผ้าเหลืองร้อนจนต้องสึกออกมาขอ นี่ยังไง ขอรับ
"น้อยฤารอยไม้เป็นริ้วริ้ว
เออนี่ผูกมือหิ้วเจียวหรือนี่
จึงยับย่อยเป็นรอยทั่วอินทรีย์
ฟ้าผี่นิ้วน่อยพลอยเป็นแนว"
แต่ตอนนี้ถึงจะขำ พ่อแม่พี่น้องก็อย่าหัวเราะดังไปขอรับ สองคนนั้นเขาจะขาดความสงบ ไว้เราพบกันคราวหน้าดีกว่านะ ขอรับ...จุ๊....จุ๊....!
############
จากคุณ :
พจนารถ
- [
27 พ.ค. 48 19:13:21
A:61.91.79.104 X:
]