CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    นิทรานคร

    คุณเคยเชื่อเรื่องประสบการณ์เฉียดความตายหรือไม่

    หลายคนคงไม่เชื่อ ถ้าเรื่องพวกนั้นไม่ประสบกับตัวเอง

    ส่วนใหญ่เรื่องเหล่านี้ถูกนำมาเล่าจากคนที่ “ตายแล้วฟื้น”ทั้งสิ้น ซึ่งทุกคนต่างก็เล่าเป็นสิ่งเดียวกันหมด คือหลังจากที่เขาสิ้นใจไปแล้ว เขาก็เดินทางไปยังสถานที่ที่เขาไม่เคยไปมาก่อนในเวลาที่ตนมีชีวิตอยู่ อาจจะเป็นภพอีกภพหนึ่งที่เรียกกันว่าโลกแห่งวิญญาณ แต่เนื่องจากว่าพวกเขาชะตายังไม่ขาด ยังคงมีเวรกรรมที่ต้องสะสาง พวกเขาจึงมีโอกาสกลับมาเล่าถึงเรื่องประสบการณ์เฉียดตายให้คนเป็นฟังกันอีก เพื่อให้เป็นข้อเตือนใจในการทำความดี บางเรื่องอาจจะดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อ และไม่น่าเป็นไปได้เอาซะเลย

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นใหม่คงไม่มีใครเชื่อเรื่องพวกนี้กันแล้ว

    และนี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ถูกเล่าจากคนรุ่นใหม่ ถึงประสบการณ์เฉียดความตาย มันอาจจะดูเป็นเรื่องงมงายที่ไร้ข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ส่วนคุณจะเชื่อหรือไม่ มันก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของคุณเอง

    และนี่ก็คือเรื่องของประสบการณ์เฉียดความตายอีกเรื่องหนึ่ง จากกนกพร (หรือมดแดง)สาววัยรุ่นอายุ 17 ปี เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับเธอในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมานี้เอง

    -----------------------------------------------------------

    คืนนั้นเป็นคืนที่ฉันจะต้องจำเอาไว้ตลอดชีวิต ฉันไม่มีวันลืมมันได้อีกเลย ฉันยังจำได้ติดตาเหมือนกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง มันน่ากลัวมากๆ ในตอนที่ฉันรู้ตัวว่า...ฉันตายไปแล้ว แต่สุดท้ายฉันก็มีโอกาสกลับมาที่นี่ เพราะแม่ของฉันช่วยชีวิตไว้ ฉันถึงรอดกลับได้มาอีกครั้ง...

    ตอนนั้นเป็นเวลาราว 5 ทุ่ม ฉันต้องลุกขึ้นมาจากเตียงเพราะนอนไม่หลับ ฉันปวดหัวมาก ปวดแทบจะทนไม่ไหว มันรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เหมือนไข้ขึ้น ฉันอยากหายาลดไข้มากิน มันจะได้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง มันเป็นคืนที่แย่ที่สุดเลย

    ฉันหายาอยู่นาน แต่ว่าหายังไงก็หาไม่เจอ ไม่รู้ว่าใครเอามันไปไว้ที่ไหน แล้วฉันก็รู้สึกปวดหัวมากขึ้นทุกที ภาพในตามันก็เริ่มพร่ามัว รู้สึกตัวมันโคลงเคลงเหมือนเวลานั่งอยู่ในเรือ ยืนแทบจะไม่อยู่ ฉันรีบไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ใกล้ๆ ห้องนอน ไม่รู้ว่ามันเป็นไข้อะไร รู้สึกเรี่ยวแรงมันหายไปหมด
    ฉันอยากจะล้างหน้า แต่พอแตะก๊อกน้ำเท่านั้น...
    จู่ๆ ฉันก็รู้สึกหน้ามืด หัวของฉันมันเหมือนถูกหินถ่วง มันหนักมาก ฉันพยายามประคองตัวเองไว้ แต่ก็เอาไม่อยู่ เหมือนมีระเบิดฝังไว้ในหัว มันทั้งร้อนแล้วก็ปวด ฉันคิดว่าฉันคงไม่รอดแน่ๆ มันคงไม่ใช่ไข้หวัดใหญ่อย่างที่พ่อเข้าใจ

    เพราะว่าจู่ๆ ฉันก็มองอะไรไม่เห็นเลย เหมือนเป็นคนตาบอด มือฉันจับก๊อกน้ำไว้แน่น กลัวว่าตัวเองจะล้ม แต่คอของฉันมันเริ่มเอนไปเอนมา เพราะหัวมันหนักมากขึ้นทุกทีๆ
    แล้วหลังจากนั้นทุกอย่างมันก็ดับวูบ...

    ฉันไม่รู้สึกว่าหัวของตัวเองหนักอีกแล้ว แต่รู้สึกตรงกันข้าม มันเบาหวิวจนแทบปลิว แต่ว่าฉันก็ยังมองไม่เห็นอะไรอยู่ดี มันมืดมาก มืดซะจนไม่เห็นแม้กระทั่งมือของตัวเอง ฉันกลัวว่าฉันจะตาบอดไปซะแล้ว ฉันพยายามใช้มือคลำหาของ มันไม่มีผนัง ไม่มีพื้นปูกระเบื้อง มีแต่พื้นดินแข็งๆ แล้วก็เย็นเฉียบ

    ในตอนนี้ฉันไม่ได้อยู่ในห้องน้ำแล้วเหรอ แต่ว่าอยู่ที่ไหนล่ะ...

    ฉันกวาดมือไปรอบ ก็มีแต่ไอเย็นๆ มันเย็นเหมือนหมอก มันเย็นมากจนรู้สึกหนาว ฉันรู้สึกว่าขนแขนมันลุกซู่ มันหนาวยิ่งกว่าแอร์ในห้องนอนซะอีก

    มันทั้งหนาว และน่ากลัว ฉันกลัวความมืด... แล้วที่สำคัญ ฉันกลัวผีด้วย

    “ที่นี่ที่ไหน ทุกคนหายไปไหนกันหมด พ่อ พี่พี ทุกคนหายไปไหน!” ฉันตะโกนเรียกพ่อ กับพี่ชายตัวเอง แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา ตอนนี้ฉันอยู่ตัวคนเดียวจริงๆ

    ยิ่งคิดมันก็ยิ่งขนลุก ฉันไม่อยากนึกเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง อยากให้มันเป็นเพียงแค่ความฝัน แล้วฉันก็อยากจะลืมตา ตื่นจากฝันร้ายนี่เสียที

    “พ่อ พี่พี ช่วยหนูด้วย!”

    ฉันหลับตาตะโกนโหวกเหวกเหมือนคนบ้าพลางกวาดมือไปทั่ว เหมือนคนตาบอดคลำหาทาง ฉันอยากจะออกไปจากที่นี่เต็มที ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน ตอนนี้ฉันกำลังหลงทาง อยากให้มีใครอยู่เป็นเพื่อนบ้าง สักคนก็ยังดี

    แล้วจู่ๆ ก็มีคนมาจับมือฉัน มือนั่นเย็นมากเหมือนน้ำแข็ง เย็นกว่าอากาศของที่นี่ซะอีก

    ตอนนี้ฉันเจอ “ใคร” เข้าซะแล้ว

    มือนั่นทั้งหยาบกร้าน แล้วก็เย็นเฉียบ...เหมือนคนตาย

    มือนั่นจูงมือฉันไป แต่ว่าพาฉันไปไหน ฉันเองก็ยังไม่รู้

    ฉันได้ยินเสียงหัวเราะของเจ้าของมือนั้น ฟังแล้วรู้สึกหนาวจนจับขั้วหัวใจ มันเป็นเสียงของหญิงชรา ฉันสังเกตได้จากน้ำเสียง รู้สึกว่าหญิงชราอารมณ์ดีมาก  ดีซะจนฉันรู้สึกสยองใจยังไงพิกล

    “แล้วนี่จะพาฉันไปไหน” ฉันถามหญิงชราคนนั้น ในใจก็ยังรู้สึกหวาดๆอยู่ ใครก็ไม่รู้มาจับมือฉัน เป็นคนดีรึเปล่าก็ไม่รู้

    หญิงชราคนนั้นก็ยังไม่ยอมตอบ ได้แต่จูงมือฉันไปเรื่อย ในตอนนี้ฉันเริ่มมองเห็นเงาลางๆ ของหญิงชราแล้ว เพราะมีแสงไฟสลัวๆ สีขาวส่องอยู่เบื้องหน้า แต่แสงนั้นก็ยังไกลจากฉันมาก จนเห็นแสงนั่นเป็นเพียงแค่จุดเล็กๆ ท่ามกลางความมืดเท่านั้นเอง

    อย่างน้อยฉันก็ไม่ตาบอดอยากที่ตัวเองกลัว แต่เริ่มกลัวอะไรอย่างอื่นมากกว่า

    ฉันเริ่มได้ยินเสียงคนเดิน  ราวกับว่ามากันเป็นร้อยเป็นพัน มันค่อยๆ ดังขึ้น...ดังขึ้น เสียงดังกึก ๆ เหมือนทหารเคลื่อนขบวนพล แห่กันมาเป็นกองทัพ มันดังมาจากข้างหลังฉัน แล้วก็ใกล้เข้ามาทุกที...ทุกที...

    แล้วฝูงชนเหล่านั้นก็เดินผ่านหน้าฉันไป ราวกับผ่านอากาศ ฉันมองเห็นเงาของคนเหล่านั้น มีกันแทบทุกเพศทุกวัย ไม่รู้มาจากไหนเยอะแยะไปหมด แล้วยิ่งฉันเดินเข้าไปใกล้แสงสีขาวมากขึ้นเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งเห็นสิ่งรอบข้างได้ชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น

    บอกได้คำเดียว มันน่ากลัวจนขนลุก

    ฉันเห็นเลือด...ที่หยดนองจากร่างของฝูงชนเหล่านั้น มันทำให้ชวนคลื่นไส้ แทบทุกคนมีบาดแผลฉกรรจ์เหมือนผ่านศึกสงครามมา บางทีก็ได้กลิ่นเหล้าโชยหึ่ง (ช่วงสงกรานต์คนดื่มเหล้ากันเยอะมาก) แล้วบางคนก็มีสภาพเหมือนกับไม่ใช่คน  คอหักบิดเบี้ยว  เห็นแล้วสยองสุดๆ

    ฉันเบือนหน้าไม่อยากมองภาพเหล่านั้น มันทำให้ฉันตัวสั่นจนคุมไม่อยู่ ก็เลยมองไปทางด้านข้าง มันก็ไม่ค่อยดีกว่าเดิมซะเท่าไหร่ ฉันมองเห็นบ้านเก่าที่ดูรกร้างตั้งเรียงรายเต็มทั้งสองข้างทาง บ้านทุกหลังทาด้วยสีดำสนิท แล้วก็เป็นบ้านไทยทรงโบราณ แถมบรรยากาศก็ชวนวังเวงซะเหลือเกิน

    สิ่งที่ดูเป็นความหวังก็คงจะมีแต่แสงสีขาวที่อยู่ข้างหน้าไกลออกไป ฉันจ้องดูแต่แสงนั้น พยายามที่จะไม่มองอะไรอย่างอื่นเพราะว่ามันน่ากลัว แสงสีขาวก็ค่อยๆ สว่างจ้ามากขึ้น ฉันกำลังเดินเข้าหานั้นเช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ ฉันเริ่มมองเห็นประตูไม้สีแดงบานใหญ่ ลำแสงอยู่ข้างในประตูไม้นั้น มันดูเหมือนประตูผ่านเมืองอะไรสักเมืองหนึ่ง

    ยิ่งเห็นฉันก็ยิ่งสงสัยว่าที่นี่คือที่ไหนกันแน่

    “เดี๋ยวก็ใกล้จะถึงแล้ว”

    จู่ๆ หญิงชราก็พูดออกมา ฉันมองดูหน้าของหญิงชราคนนั้น แสงสีขาวทำให้ฉันเห็นริ้วรอยบนใบหน้าของเธอได้อย่างชัดเจน อายุของหญิงชราคนนั้นประมาณ 60-70 ปี แกใส่เสื้อคอกระเช้าสีฟ้า นุ่งโจงกระเบน ผมหงอกไปทั้งหัว แต่ดูจากแววตาแล้วน่าจะเป็นคนใจดี

    หญิงชราคนนั้นหันหน้ามามองฉัน แล้วก็ส่งยิ้มมาให้ ตอนนี้เราเดินใกล้ประตูไม้สีแดงมากแล้ว ในตอนนี้ฉันเห็นทุกอย่างแทบจะเป็นสีขาวหมด ผิดกับตอนแรกที่ฉันมาที่นี่ (แต่ถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่รู้ว่ามาที่นี่ได้ยังไง)

    “หลานรัก จำย่าได้มั้ย” จู่ๆ หญิงชราก็อ้างตัวว่าเป็นย่าของฉัน แต่พอดูจากสีหน้าและดวงตาแล้ว ดูอ่อนโยนและจริงใจ ทำให้ฉันคลายความกลัวไปได้บ้าง

    ฉันมองหน้าหญิงชราที่บอกว่าเป็นย่าของฉัน แต่ว่านึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอกันตอนไหน มันไม่คุ้นหน้าเอาซะเลย

    “คือ...ขอโทษค่ะ หนูจำไม่ได้เลย หนูไม่เคย...”

    “ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ ย่ารู้จักหนูแล้วกัน” หญิงชราคนนั้นตอบแล้วก็ยิ้มมาให้ฉันอีก รู้สึกว่าแกอารมณ์ดีซะเหลือเกิน

    หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้พูดคุยกันอีกเลย ได้แต่เดินตามฝูงชนที่เริ่มเบียดเสียดมากขึ้นทุกทีๆ เหมือนเป็นขบวนแห่อะไรสักอย่าง ทุกๆคนในขบวนนั้นพร้อมใจกันเดินไปยังจุดหมายที่อยู่เบื้องหน้าโดยไม่สนใจใครทั้งสิ้น จนกระทั่งถึงปากประตูทางเข้า หญิงชรา (หรือคุณย่า)ก็เอ่ยปากถามฉันอีก เหมือนชวนคุยไปเรื่อยๆ ให้ฉันคลายความกลัวลง

    “หนูไม่ได้เจอแม่มากี่ปีแล้ว”

    “แม่ของหนูจากไปตั้งแต่ตอนที่คลอดหนูออกมาแล้ว ว่าแต่มีอะไรรึเปล่าคะ”

    “แล้วอยากไปหาแม่ของหนูมั้ยล่ะ”

    คุณย่าพูดแล้วก็ยิ้มๆ เหมือนมีความนัยบางอย่างแอบแฝงอยู่ในถ้อยคำนั้น ดูเหมือนว่าคุณย่าจะรู้ใจฉัน ว่าในตอนนี้ฉันอยากพบใครมากที่สุด ตั้งแต่เกิดมาฉันก็ยังไม่เคยเห็นหน้าแม่เลยสักครั้ง พอได้ยินแบบนี้ฉันก็เริ่มตื่นเต้น

    “แม่ของหนูอยู่ที่นี่ด้วยเหรอคะ!”

    “ใช่ แค่เดินเลยประตูบานนั้นไป หนูก็จะได้พบกับแม่แล้ว” คุณย่าชี้ไปทางประตูไม้บานใหญ่ที่อยู่ข้างหน้า มันใหญ่มาก สูงราวสิบเมตรเห็นจะได้

    “พูดไปแล้วฉันอดคิดไม่ได้ ถึงตอนที่เจ้าลูกชายของฉันแต่งงานกับแม่เธอหมาดๆ ลูกสะใภ้ที่แสนดีแบบนั้นน่ะหายากมาก คอยเอาอกเอาใจสารพัดอย่าง ไม่เหมือนพ่อหนูร๊อก ลูกชายแท้ๆ กลับไม่เคยสนใจแม่ตัวเองเล้ย...”

    คุณย่าของฉันก็พูดบ่นไปเรื่อย แต่ฉันไม่ได้ฟังเลยสักนิด ฉันเริ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เหมือนไข้จะจับอีกรอบ  ถ้าฉันจำไม่ผิด ย่าของฉันตายไปตอนที่ฉันอายุได้แค่สองขวบเท่านั้นเอง ถ้าเป็นแบบนี้ก็แสดงว่า...

    “คุณย่าคะ คุณย่าบอกว่าแม่ของหนูอยู่ที่นี่ใช่มั้ยคะ” ฉันถามอย่างช้าๆ ในใจก็นึกหวาดๆ

    “ใช่แล้ว ว่าแต่ถามทำไมรึ”

    “คือว่า...แม่ของหนูน่ะ...ตายไปแล้วนะคะ แล้วพ่อก็บอกว่าคุณย่าก็...”

    “ใช่จ๊ะ ย่าตายไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน อย่าเพิ่งตกใจนะหลานรัก ย่าไม่ทำอะไรหนูหรอก” คุณย่าพูดแล้วก็ยิ้มๆ แต่รอยยิ้มนั่นทำให้ฉันขนลุกซู่ไปทั้งตัว
    “งั้นก็แสดงว่า...หนูตายแล้ว ใช่มั้ยคะ คุณย่า!”

    -----------------------------------------------------------

    จากคุณ : รัตน์ดา - [ 31 พ.ค. 48 18:06:47 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป