CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    มนตรา บทที่ 27 (ฉบับแก้ไข) ตอน หลอกกันเล่นหรือเปล่า


    เส้นทางที่อเดนเต้พา ‘เจ้าดำ’ ไปนั้น ไม่ใช่เส้นทางปกติที่โรยด้วยกรวดเรืองแสงอย่างที่ใคร ๆใช้สัญจรเพื่อไปยังปราสาทแห่งแสง แต่เป็นเส้นทางลัดในทุ่งดอกเจรี่ที่พวกเขาค้นพบเข้าโดยบังเอิญเมื่อครั้งยังเด็ก เป็นเส้นทางรกชัฏเต็มไปด้วยต้นไม้ขึ้นระเกะระกะ ที่สามารถลัดเลาะผ่านไปถึงใจกลางสวนด้านในปราสาทแห่งแสงได้


    ...สวนที่เชื่อมระหว่างทางไปห้องท่านพ่อทางทิศเหนือ ห้องอเดนเต้ทางทิศตะวันออก และห้องเขาทางทิศตะวันตก  ดังนั้นสวนนี่จึงเปรียบเสมือนจุดศูนย์กลางเชื่อมโยงพวกเขาเข้าได้ด้วยกัน  ไม่ว่าจะสุขทุกข์ หรือแม้แต่เหน็ดเหนื่อยจากเรื่องใดก็ตาม ทุกคนจะต้องแวะมาพักที่สวนแห่งนี้เพื่อผ่อนคลายและชะล้างสิ่งต่าง ๆที่สะสมในใจเสมอ  


    พรึบ


    อเดนเต้ใช้มือแหวกใบยาวแหลมทรงรีสีเขียวอ่อนของต้นหญ้าเซลที่ขึ้นเป็นพุ่มตรงหน้า เพื่อให้เขาได้เห็นประจักษ์ว่ากาลเวลาไม่ได้ทำให้ภาพสวนแห่งความทรงจำในใจเขาผิดเพี้ยนไปแม้แต่น้อย  ไม่ว่าจะต้นโดเลโอที่มีอายุกว่าพันปียังคงแพร่กิ่งก้านแข็งแรงและใบเล็กโปร่งใสสีเขียวใสที่ให้ร่มเงากันแดดกันฝน แต่ขณะเดียวกันก็สามารถมองทะลุผ่านเห็นท้องฟ้ากระจ่างงดงาม หรือชิงช้าเก่าแก่ที่เป็นอนุสรณ์ความรักของท่านพ่อท่านแม่ก็ยังคงแกว่งไกวอยู่ข้างใต้ที่เดิม  กระทั่งโต๊ะขนาดใหญ่ที่ทำจากต้นไม้อายุร้อยปีที่มอบให้เป็นของขวัญวันเกิดท่านพ่อยังคงดูแข็งแรงมั่นคงเช่นเดิม


    ‘เจค’ เสียงสั่นเทาที่ได้ยินทำให้เท้าทั้งสี่ชะงักกึกราวกับโดนสาปให้เป็นหิน มองชายชราที่ยืนเพียงลำพังในสวนด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก ทั้งดีใจ สับสนคละเคล้ากันไปหมด บางทีอาจจะเพราะใบหน้าดูซูบซีดแก่ชราและแววตาทุกข์โศกที่ไม่เคยได้เห็นจากคาทอล อัลไคน์มาก่อน ทำให้ไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้าใช่พ่อของเขาจริงหรือไม่


    ...เกิดอะไรขึ้น?!... ทำไมเพียงแค่สองปี  ท่าทางองอาจเยือกเย็นที่แฝงไว้ซึ่งอำนาจถึงได้หายไป เหลือไว้เพียงแต่ท่าทางงก ๆเงิ่น ๆเหมือนไม้ใกล้ฝั่งแบบนี้


    ความคิดนั้นทำให้เจคในร่างเจ้าดำ อดที่จะเหลียวมองพี่ชายฝาแฝดอย่างหวาดระแวงไม่ได้ หากอีกฝ่ายกลับยิ้มเซียวแทนคำตอบ  ดวงตาสีเดียวกันฉายแววอ่อนล้าอย่างไม่สามารถบอกสาเหตุได้  ก่อนจะก้าวเท้าออกไปประคองร่างสั่นเทาของผู้เป็นพ่อ


    ‘เจค..นั่นเจ้าใช่ไหม’ คาทอลปัดมือที่ยื่นมาประคองของอเดนเต้เบา ๆ ขยับเท้าเดินมาหาสัตว์อสูรสีดำที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมราวกับเป็นเพียงรูปสลักที่อเดนเต้นำมาตั้งไว้  จนกระทั่งเท้าอ่อนล้าสะดุดเข้ากับรากไม้จนเซล้ม  นั่นแหละ เจค อัลไคน์จึงมีปฏิกิริยา  พุ่งตัวออกมารับร่างบอบบางนั่นก่อนจะล้มกระแทกพื้น


    ‘ในที่สุดเจ้าก็กลับมา’ หยาดน้ำใส ๆเอ่อล้นกลบดวงตาฝ้าฟางยามมองสบลูกชายที่จากไปนาน มือสั่นเทายกลูบขนสีดำเข้มอย่างรักใคร่


    ...หรือเรื่องทั้งหมดจะเป็นอย่างที่อเดนเต้เล่า...งั้นภาพที่ข้าเห็นล่ะ...


    แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม ผู้เป็นพ่อก็ผละลุกขึ้นยืนยกมือปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มด้วยรอยยิ้ม  ก่อนจะพยักหน้าให้เหลียวมองไปยังด้านหลัง


    ‘เจค!!’ เสียงหวานที่คิดว่าจะไม่ได้ยินอีกแล้วเอ่ยดังขึ้น จนเขาพลิกตัวลุกขึ้นไปมองแทบไม่ทัน


    ‘ลัส...’ ความดีใจวูบขึ้นในแววตา รู้แล้วว่าคืนนั้นเขาไม่ได้ฝันไป  ลัสยังไม่ตายจริง ๆ  


    ...ยังไม่ตาย!...  


    งั้น...คืนนั้น เขาก็ถูกเวทย์นิทราของลัสจริง ๆน่ะสิ......!!


    ความคิดนี้ทำให้เท้าที่กำลังก้าวเดินหยุดชะงักทันที  แววตาดีใจถูกแทนด้วยความสงสัยอีกครั้ง  หากหญิงสาวกลับไม่สนใจ ตรงวิ่งเข้ามาสวมกอดสุนัขร่างใหญ่ตรงหน้าอย่างคิดถึงโหยหาราวกับไม่รู้สึกรู้สาถึงท่าทางแข็งขืนที่เกิดขึ้น


    ‘ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน  เจค’ ลัสกระซิบบอกข้างหูที่เต็มไปด้วยขนอย่างอ่อนหวาน มือที่กอดรอบคอกระชับแน่นมากขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายขยับตัวถอยห่าง


    ‘เป็นอะไรไปเจค  เจ้าไม่คิดถึงข้าเหรอ’ คำพูดออดอ้อนและแววตาที่หยาดไปด้วยน้ำตาทำให้ความรู้สึกข้างในอ่อนยวบลง  แต่ไม่มากพอจนที่จะทำให้เขาคลายความระมัดระวัง จนต้องเวทย์ใด ๆของอีกฝ่ายได้อีก


    ‘ทำไมล่ะ...หรือสองปีมานี่ใจเจ้าเปลี่ยนเป็นอื่นไปแล้ว ถึงได้เฉยชากับข้าเช่นนี้’ คำถามที่ทำห้คนต้องสาปนิ่งอึ้ง มองดวงตาสีม่วงที่ฉายแววเจ็บช้ำผิดหวังนิด ก่อนจะเบือนหน้าหนีด้วยความรู้สึกผิด


    ...ผิดที่รู้ว่าใจเขาไม่มีนางอีกแล้ว..ไม่มีตั้งแต่เขาพบใครบางคน  ใครที่ยอมรับเขาทั้งที่เป็นเพียงสัตว์อสูร..


    สัตว์อสูร!!...ทำไมนางรู้ล่ะว่าเขากลายร่างเป็นสัตว์อสูร?!!


    ฉึก


    และยังไม่ทันเอ่ยถามอีกเช่นเคย  จู่ ๆท้ายทอยก็เจ็บแปลบชาวาบขึ้นเรื่อย ๆกระจายแผ่ลามไปทั่วร่าง  ‘เจ้าดำ’ยกขาหน้าผลักร่างบางที่ยังโอบกอดอยู่ทันที  แต่อีกฝ่ายกลับพลิกตัวกลิ้งหลบไปทางอเดนเต้


    ‘เจ้า..ทำไมเจ้า..’ ขาทั้งสี่เริ่มสั่นไหวอ่อนแรงไร้ความรู้สึก และเซล้มทั้งยืน ทั่วทั้งร่างเจ็บปวดราวกับกำลังถูกแมลงชอนไชกัดกินจนอยากดิ้นพราด ๆ แต่กลับไม่อาจขยับร่างกายได้ดั่งใจ มีเพียงดวงตาสีเงินเท่านั้นที่ฉายแววเจ็บปวดเจียนตาย มองผู้เป็นพ่อและพี่ที่มีสีหน้าเรียบเฉยราวกับเป็นรูปสลักไร้ความรู้สึกอย่างไม่เข้าใจ  จนกระทั่งเสียงหวานดุจน้ำผึ้งอาบยาพิษเอื้อนเอ่ยขึ้นมา



    ‘ถ้าไม่เพราะท่าทีสงสัยเมื่อครู่ของเจ้า ข้าคงจะต้องเล่นบทคนรักที่คิดถึงห่วงหาเจ้าอีกสักพัก  ต้องขอบใจจริง ๆ’


    ..!!!...


    ‘คงสงสัยสินะว่าเกิดอะไรขึ้น’ ลัสก้มลงใช้นิ้วไล้ขนบนใบหน้าเจคไปมา ‘เห็นแก่ที่เจ้าดีกับข้ามาตลอด ข้าจะบอกให้เจ้าได้รู้ว่าทำไมอเดนเต้เขาถึงสาปเจ้า บุตรแห่งเมเบียร’ หญิงสาวจบประโยคด้วยเสียงหัวเราะบาดหูที่ให้ความรู้สึกน่าขนลุก ก่อนจะเดินกรีดกรายไปหาอเดนเต้และคาทอลที่ยังคงยืนนิ่งไม่ห่าง


    แควก


    ลัสใช้มือกระชากเสื้อด้านหน้าของอเดนเต้จนขาด  เผยให้เห็นภาพที่ทำให้คนต้องสาปเย็นวาบไปถึงไขสันหลัง  ภาพลำตัวกลวงโบ๋จนมองทะลุสิ่งที่อยู่ด้านหลัง ลำตัวที่ปราศจากก้อนเนื้อหัวใจ !!


    อเดนเต้!!


    ‘เป็นไงล่ะ ข้าบรรจงควักออกมาเต็มที่เลยนะ’ มือเรียวไล้ไปตามรอยโหว่ขรุขระแห้งกรังบนตัวอเดนเต้ ‘น่าเสียดายที่ไม่ได้สร้างผลงานชิ้นเอกบนตัวเจ้าด้วยอีกคน ดูสิข้าประณีตบรรจงขนาดไหน’ ลัสเริ่ม  ขณะที่เดินไปฉีกเสื้อคาทอลเพื่อให้เห็นร่องรอยถูกควักหัวใจไปเช่นเดียวกับอเดนเต้


    ‘ขอแนะนำตัวอีกครั้ง ข้าคือลัส เลสเชอรี่แม่มดเผ่าปีศาจแม่ทัพฝ่ายซ้ายและว่าที่ภรรยาของทายาทแห่งไวล วิงโก้’ ลัสยิ้มให้ดวงตาเบิกโพลงอย่างตกใจสัตว์หน้าขนตรงหน้า  ‘ต้องขอบคุณที่เจ้าพาเข้าที่นี่  เพราะมันทำให้ข้าร่ายเวทย์คำสาปรักกับพวกเจ้าอย่างง่ายดาย  ทำให้ไม่ว่าคาทอล อเดนเต้ หรือแม้แต่เจ้า ต่างพากันหลงรักข้าอย่างหัวปักหัวปำจนถูกเป่าหูได้ง่าย ๆ’


    ...คำสาปรัก!!...


    ‘และนั่น ทำให้เกิดรอยร้าวมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งวันนั้น  วันที่เจ้าเห็นอเดนเต้ฆ่าข้ากับพ่อของเจ้า’ ลัสหัวเราะบาดหูอีกครั้งด้วยสีหน้าเย้ยหยันสมเพช ‘ช่างโง่จริง ๆบุตรแห่งเมเบียร  ทั้ง ๆที่อเดนเต้พยายามช่วยเจ้าอย่างเต็มที่ แต่ดูเจ้าสิ กลับโกรธแค้นอยากฆ่าเขามาตลอดสองปี และสุดท้ายก็หลงเข้ามาติดกับข้าอีกครั้ง’ หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งเบื้องหน้าสัตว์อสูรที่ได้แต่ทำตาลุกวาว ทำได้แต่ส่งเสียงขู่ในลำคอเท่านั้น  หากลัสกลับยิ้มกว้างตบหัวเจคเบา ๆราวกับจะเยาะเย้ย เพราะแค่เบี่ยงหนีอีกฝ่ายยังไม่มีแรงพอที่จะทำได้


    ‘ วันนั้นอเดนเต้ดันมาเห็นข้าควักหัวใจคาทอลโดยบังเอิญ ทำให้ข้าต้องกำจัดเขาก่อนเวลา  แต่เจ้าก็ดันโผล่เข้ามาอีกคน ทำให้ข้าต้องเปลี่ยนแผน หันไปควักหัวใจเจ้าแทน หากอเดนเต้กลับไวกว่าปาดาบแทงทะลุร่างข้าเพื่อให้ช้าลง และใช้เวทย์ย้ายมิติพาเจ้าไปซ่อนซ้ำยังสาปให้เจ้ากลายเป็นสัตว์อสูร เพื่อจะได้ปกป้องเจ้าจากข้าและผู้คนที่ตามหาบุตรแห่งเมเบียร  และอเดนเต้หรือคาทอลที่เจ้าเห็นอยู่ตรงหน้านี่ ก็เป็นเพียงร่างไร้วิญญาณที่ขยับได้ด้วยอำนาจเวทย์ของข้าเท่านั้น  และไม่ใช่แค่พ่อหรือพี่เจ้าเท่านั้น ทั้งผู้คนในเมืองซีเรียสและเมืองข้างเคียงล้วนถูกข้าฆ่าทำลายจนย่อยยับหมดแล้ว  เมืองซีเรียสที่เจ้าเห็นก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่ภาพมิติที่ข้าสร้างขึ้นเท่านั้น’ ความจริงที่ถูกเปิดเผยกรีดทึ้งจิตใจให้แหลกสลายไป  เสียงแห่งสัจจะของพี่ชายดังย้ำก้องในหัวอีกครั้ง



    ... แม้ข้าจะไม่ใช่ผู้ถูกเลือกจากดวงดาว  แต่ข้าก็เป็นผู้ถูกเลือกให้เกิดมาพร้อมกับเจ้า  มีรูปร่างหน้าตาทุกสิ่งทุกอย่างเฉกเช่นเดียวกับเจ้า  ยกเว้นเพียง...ภาระหน้าที่แห่งชะตาเท่านั้น  แต่สิ่งนั้นก็มิอาจกั้นขวางความเป็นพี่น้องระหว่างเราได้  จงระลึกไว้เถิดว่า...สิ่งเลวร้ายใดๆที่จักเกิดกับเจ้า  จักต้องเกิดกับข้าก่อนเป็นคนแรก  ด้านหลังเจ้าจะมีข้าคอยระวังภัยให้เสมอ  แต่ทุกอย่างที่ข้าทำหาใช่เพราะเจ้าเป็นบุตรแห่งเมเบียรไม่  แต่นั่นเพราะเจ้าคือน้องชายฝาแฝดเพียงคนเดียวของข้า….


    ...อเดนเต้ไม่เคยผิดสัจจะ เป็นข้าเองต่างหากที่ไม่ไว้ใจที่จะเชื่อมั่นในตัวพี่ชาย...และเป็นเพราะข้าที่ทำให้ทุกคนต้องมาพบกับหายนะ  ถ้าเพียงแต่เขาไม่ช่วยเหลือแม่มดชาวปีศาจตรงหน้า เรื่องทั้งหมดก็จะไม่เกิด  ทำไมนะ ทำไมเขาจึงไม่เห็นตัวตนที่แท้จริงของนาง ไม่เห็นถึงความโหดร้ายเลือดเย็นที่เต็มไปด้วยเล่ห์กลอุบายนี่...


    ‘และก็ต้องขอบใจเจ้าอีกเรื่อง ทั้งที่เวทย์คำสาปรักเสื่อมไปตั้งนานแล้ว แต่เพราะความยึดมั่นถือมั่นในความรักที่เจ้ามีต่อข้าไม่เสื่อมคลายทำให้ข้ามีโอกาสนี้  โอกาสทำร้ายเจ้าด้วยอาวุธอาบยาพิษ อาวุธที่เจ้าไม่คาดคิดว่าข้าจะใช้  เพราะเจ้ามัวแต่ระวังว่าข้าจะใช้เวทย์จู่โจม   แต่น่าเสียดายที่บังเอิญข้ารู้มาว่าก่อนหน้านี้ว่าวิงโก้ได้แปลงร่างเป็นข้าเพื่อหลอกเจ้ามาแล้วครั้งหนึ่งในป่า  ด้วยเหตุนี้ข้าจึงเปลี่ยนมาใช้สิ่งนี้แทน’ ลัสเอื้อมไปดึงเข็มสีเงินเล่มยาวที่ปักอยู่ท้ายทอยเจคออกมา ‘เข็มที่อาบพิษต้นลันลันตาน่า พิษที่ทำให้คนเป็นอัมพาตทั้งร่างไปชั่วขณะ แต่เวลาแค่นั้นก็มากพอที่จะฆ่าเจ้าได้แล้ว’ ดวงตาคู่งามปรากฏแววเหี้ยมเกรียม  เงื้อมือขึ้นสูงจนเห็นเล็บสีดำยาวยืดออกมา


    เปรี้ยง!!


    เสียงพลังจู่โจมดังมาจากทางหน้าปราสาท  ทำให้หญิงสาวชะงักมือหันไปมองตามเสียงพร้อมกับริมฝีปากบางที่คลี่ยิ้มหวาน


    ...ในที่สุดเจ้าก็ตามมาทัน...แต่เสียใจด้วยอิซัค  ข้าไม่มีวันคืนนางให้เจ้าหรอก..!!


    ลัสเดินไปยังพุ่มไม้ที่ซ่อนร่างปวกเปียกของแมวสาวไว้และช้อนร่างนั้นขึ้นมาอุ้ม หันไปสั่งคาทอล อัลไคน์ที่ยืนสงบนิ่งอยู่ด้านหลัง


    ‘ถ่วงเวลาอิซัคให้นานที่สุด อย่าให้เขาไปที่ห้องใต้ดินได้’ สิ้นคำ ร่างจ้าวผู้ปกครองเผ่ามาวึลัสโค้งลงและจางหายไป


    ‘ส่วนเจ้าอุ้มเจค อัลไคน์ไปกับข้า...ที่ห้องใต้ดินปราสาทแห่งแสง’ขณะที่พูดดวงตาสีม่วงแปรเปลี่ยนเป็นแดงฉานทอประกายชั่วร้ายน่ากลัว


    หึ หึ หึ ข้ารอวันนี้มานานแล้ว...บุตรแห่งเมเบียร...


    ๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙

    แก้ไขเมื่อ 06 มิ.ย. 48 17:15:29

    จากคุณ : Sushii - [ 6 มิ.ย. 48 12:24:06 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป