CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    คาถาแห่งความสุข

    ครอบครัว “สุขสันต์” เป็นครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านรื่นรมย์ หมู่บ้านเล็กๆ แถบชานเมือง ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวคือ นายประชา ชายวัยกลางคนผู้ชื่นชอบต้นไม้เป็นชีวิตจิตใจ ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่บ้านของเขาจะเต็มไปด้วยต้นไม้หลากชนิดหลายสายพันธุ์ วางเบียดเสียดกันจนแทบจะไม่มีที่ว่างเลย

    ต้นไม้ของเขาส่วนใหญ่จะเป็นต้นชวนชม (ชื่อไม้ล้มลุกชนิดหนึ่ง นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ) มีดอกหลายสี ทั้งดอกสีขาว สีแดง สีชมพู สีชมพูอ่อน ปลูกเรียงรายทั้งภายในและภายนอกบ้าน ครั้งล่าสุดในการรวบรวมสมาชิกชวนชม (โพลสำรวจเมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน) ปรากฏว่าเขามีชวนชมไว้ในการครอบครองถึง 37 ต้น และทุกสัปดาห์จะลดลงอย่างน้อยคราวละ 2 – 3 ต้น ด้วยฝีมือของเจ้าม้วน (สุนัขเพศเมีย สีน้ำตาลล้วน) และเจ้าโม่ (สุนัขเพศผู้ สีขาวปนน้ำตาล) สุนัขพันธุ์ไทยหลังอาน จอมขุดคุ้ยประจำบ้าน ดังนั้น นายประชาจึงต้องหมั่นซื้อชวนชมสัปดาห์ละ 4 – 5 ต้นเพื่อเป็นการชดเชย

    แต่ผู้ที่มีความทุกข์บนกองความสุขของประชาคงหนีไม่พ้นมาลี สาวบัญชีประจำบ้าน ที่ชอบทำหน้ามุ่ยทุกครั้งที่เห็นสามีแบกกระถางต้นไม้ของชวนชมพันธุ์ใหม่ แล้วก็ชอบมาเต็มบริเวณหน้าบ้านเพราะไม่มีที่จะวาง ปัญหาสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือเรื่องราคา แต่ละต้นล้วนแต่ไม่ต่ำกว่าร้อยทั้งนั้น แล้วคุณสามีก็ขยันซื้อมาเหลือเกิน เพราะเหตุนี้ทั้งสองสามีภรรยาจึงถกเถียง (บางทีก็เลยเถิดเป็นทะเลาะ) กันอยู่เป็นประจำ

    มาถึงความสุขของมาลีผู้เป็นศรีภรรยาบ้าง เธอก็มีความสุขตามประสาแม่บ้านทั่วๆไป ที่ชอบการจับจ่ายใช้สอยภายในตลาดสด แล้วก็มีข้าวของติดไม้ติดมือทุกครา ทั้งผักกาดขาว ผักคะน้า ตำลึง บวบ ผักบุ้ง ฯลฯ แล้วสิ่งที่เธอชอบทำอยู่เป็นประจำอีกอย่าง คือการเอาของเหล่านั้นมาเก็บสะสมในตู้เย็นเป็นสต็อก แล้วเธอก็ไม่เอามันออกมาทุกที ปล่อยให้พืชผักเหงาหงอยเศร้าซึมค้างเดือนแรมปี จนมันเ่หี่ยวเฉาล้นตู้เย็นเมื่อไหร่เธอถึงจะออกมาทิ้ง

    แต่ความสุขของทั้งสองก็กลายเป็นความสุขธรรมดาไปเลย เมื่อเทียบกับของหนูน้อยมานี ลูกสาวสุดรักสุดหวงวัย 6 ขวบ ความสุขของหนูน้อยหาได้ง่ายมาก แค่มีกระดาษ ดินสอ และทีวี หนูน้อยก็ยิ้มร่าได้ทั้งวัน

    หนูมานีชอบวาดรูปมาก มีสมุดสะสมผลงานการขีดเขียนของเธอเป็นสิบๆ เล่ม ตัวการ์ตูนที่หนูน้อยวาด ส่วนใหญ่ก็มาจากทีวีนี่แหละ ล่าสุดการ์ตูนตัวเอกที่เธอชอบวาดเป็นหนอนชาเขียวในโฆษณาชื่อดัง เธอมักจะนั่งติดหน้าจอทีวีทุกครั้งเมื่อได้ยินเสียงร่ายคาถาของหนอนชาเขียวน้อย ในจอสี่เหลี่ยมแบนๆ ขนาด 29 นิ้ว


    “ชิมเหม่โจไต๋…ชิมเหม่โจไต๋…” เสียงร่ายคาถาอันน่ารักน่าชังของหนอนชาเขียวทำให้มานีหลงเสน่ห์ของมันเข้าอย่างจัง ไม่ว่าหนูน้อยกำลังทำอะไรอยู่ แค่ได้ยินเสียงนี้เจ้าหนูก็ต้องรีบวิ่งมาดูหนอนชาเขียว แล้วก็พูดตาม

    “ชิมเมโจต๋าย หย๋ายๆ … ชิมเมโจต๋าย หย๋ายๆ” มานีพยายามพูดตามโดยมีสร้อยเอื้อนตามหลัง

    แล้วหลังจากที่หนูมานีท่องคาถานี้จนขึ้นใจแล้ว หนูน้อยก็รู้ว่า คาถานี้นำโชคมาสู่ตัวเธอมากมายขนาดไหน

    *****************************************************************************************

    เสียงกระดิ่ง กริ๊งๆ เป็นเสียงที่หนูมานีชอบไม่แพ้เสียงของหนอนชาเขียว เป็นที่รู้กันดีในหมู่เด็กๆว่า คนที่ทำเสียงนี้มีของอร่อยๆ มาให้กินเสมอ มันหวานๆ เย็นๆ ดับอากาศร้อนอบอ้าวได้ชะงักนัก ชายคนขายนั้นขับรถมอเตอร์ไซด์คันเก่าๆ พร้อมกับถังไอติมที่ต่อพ่วงอยู่ข้างๆรถ ไอติมรสกระทิของโปรดของหนูมานีกำลังเลยผ่านหน้าบ้านของเธอยังบ้านถัดไป

    ตอนนี้แม่กำลังหลับอยู่บนห้องนอนชั้นสอง ส่วนพ่อก็ออกไปหาซื้อต้นชวนชม ตอนนี้ไม่มีใครว่างเลย หนูมานีเองก็ไม่มีเงิน แต่เธอยังอยากกิน

    ท้องเริ่มเริ่มร้อง จ็อกๆ เมื่อหนูมานีนึกถึงรสชาติอันหอมหวานของไอติม คิดแค่นั้นหนูน้อยกรีบวิ่งไปหาคนขายทันที เขากำลังยื่นถ้วยสีชมพู พร้อมก้อนไอติมสีขาวพูนให้กับหญิงข้างบ้านที่ชื่อป้าจอยอยู่พอดี

    หนูมานีคิดออกอยู่วิธีเดียว เธอจ้องหน้าป้าจอย หญิงแม่หม้ายวัย 40 อย่างไม่ละสายตา ป้าจอยสบตาหนูน้อยบ้าง มานีใช้โอกาสนี้รีบท่องคาถาในใจ คาถาหนอนชาเขียว

    “ชิมเมโจต๋าย หย๋ายๆ … ชิมเมโจต๋าย หย๋ายๆ”

    เส้นสีขาวเริ่มเวียนวนออกมาจากดวงตาคู่โตทั้งสองข้าง ยังตาตี่ๆของป้าจอยที่ค่อยๆหรี่ลงเมื่อรับรังสีของคาถาหนอนชาเขียว ป้าจอยยื่นไอติมรสกะทิให้หนูน้อยโดยไม่มีการขัดขืนแต่อย่างใด ป้าจอยสั่งไอติมถ้วยใหม่ ยกถ้วยแรกให้เธอฟรีๆ

    *****************************************************************************************

    ครั้งเดียวอาจจะดูเหมือนบังเอิญ คาถาของหนูน้อยมานียังใช้ได้ผลที่โรงเรียนด้วย หนูน้อยใช้คาถานี้ครั้งแรกในห้องเรียนของเธอเอง ห้องอนุบาล 3/3 (ครูปอตัวป้อมตาดุเป็นครูประจำชั้น)

    เสียงร้องเอะอะโวยวายเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วสำหรับโรงเรียนเด็กเล็ก ไม่เว้นแม้แต่ในห้องเรียนของมานี เสียงร้องไห้งอแงของเด็กขี้เหงา เอาแต่ใจเป็นสิ่งที่ได้ยินกันประจำจนหนูน้อยเริ่มชิน เธอไม่เคยร้องไห้ในห้องเรียน แค่มีดินสอ กับกระดาษหนึ่งแผ่น หนูน้อยก็อยู่สุขทั้งวัน แต่สำหรับเด็กชายก้องแล้ว แค่พ่อแม่เดินจากประตูห้องเรียนแค่ก้าวเดียว น้ำตากับน้ำมูกก็พรั่งพรูออกมาโดยอัตโนมัติ ครูปอไม่เคยปลอบก้อง เพราะรู้ว่าก้องไม่ยอมหยุดร้องไห้ง่ายๆ จนกว่าจะเพลียแล้วก็หลับไปเอง ไม่มีใครในห้องอยากคบกับก้องด้วย เพราะก้องเป็นเด็กขี้แง

    แต่นานวันก้องก็ร้องไห้เก่งขึ้นทุกทีๆ เขาร้องได้นานขึ้น…นานขึ้น เหมือนฝึกปรือวิทยายุทธไปเรื่อยๆ ฝึกไปทุกวัน เด็กชายก้องก็เริ่มชำนาญ ร้องไห้ได้ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงโดยไม่มีการพักเบรกเลย สร้างความสงสารระคนรำคาญใจแก่บรรดาคุณครูเหลือเกิน

    หนูมานีเบื่อที่จะฟังเสียงร้องไห้ เธออยากให้ครูหนูผู้เป็นครูพี่เลี้ยงเล่านิทานให้ฟัง หนูน้อยต้องหาทางทำให้ก้องหยุดร้องไห้ให้ได้ แล้วเธอก็นึกถึงคาถาหนอนชาเขียว คาถาแห่งความสุข เธออยากให้ความสุขกับเพื่อนบ้าง

    มานีเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ ก้อง(ที่ตอนนี้น้ำตาและน้ำมูกผสมเข้าไปในปากจนอิ่มไปหลายมื้อแล้ว) หนูน้อยจ้องหน้าเด็กชาย เขาทำเสียงสะอึกๆ พลางมองหน้าเธออย่างสงสัย หนูน้อยท่องคาถา ไม่ท่องในใจแต่ท่องเสียงดังจนเพื่อนทั้งห้องได้ยินกันไปทั่ว

    “ชิมเมโจต๋าย หย๋ายๆ … ชิมเมโจต๋าย หย๋ายๆ” หนูมานีท่องเสียงดังฟังชัด ดวงตาของเธอแผ่รังสีเป็นเส้นสีขาวหมุนวนต่อเนื่องยังตาของก้องในขณะที่หนูน้อยท่องคาถา

    เพื่อนๆ ทั้งห้องหัวเราะดังลั่น ยิ่งมานีท่องเสียงดังมากเท่าไหร่ เสียงหัวเราะก็ยิ่งดังขึ้น แม้แต่ครูหนูเองก็ยังอดขำไม่ได้

    “ชิมเมโจต๋าย หย๋ายๆ … ชิมเมโจต๋าย หย๋ายๆ”

    “ฮัก…ฮ่าๆๆ” เด็กชายก้องสะอึกไป หัวเราะไป กลืนน้ำมูกไปพร้อมๆกัน หนูมานีก็ใจดีท่องซะเสียงดังเชียว แต่มันก็ได้ผลนี่ ก้องหยุดร้องไห้แล้ว

    คลื่นพลังแห่งความสุขของหนอนชาเขียวจึงเป็นที่เลื่องลือตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่กี่วันต่อมา กระแสชาเขียวก็กระจายไปทั่ว เด็กซ่าหัวใสใช้โอกาสนี้สถาปนาแก็งค์ชาเขียวออกอาละวาด แกล้งรุ่นน้องให้ร้องไห้เล่น แม้แต่นิทานที่ครูหนูเล่า เด็กๆ ยังขอร้องให้เล่านิทานหนอนชาเขียวกับใบชา กระแสหนอนชาเขียวเข้นข้นมากขึ้นทุกทีตามกระแสโฆษณาโทรทัศน์ ที่ทุ่มทุนให้เด็กดูตั้งแต่เช้าจรดเย็น

    *****************************************************************************************

    แต่กระแสนั้นมีขึ้นก็ต้องมีลง เมื่อหนอนชาเขียวแปรสภาพเป็นผีหนอนชาเขียวแล้ว คาถาของหนูมานีก็เสื่อมตาม เธอท่องคาถาตอนที่จะเอาไอติมจากลุงคนขาย เขาก็ไม่ยอมให้ ท่องคาถาให้ก้องฟัง ก้องก็ยิ่งร้องไห้ เพื่อนร่วมห้องไม่หัวเราะกับคาถาของเธออีกแล้ว เพราะฟังทุกวันจนชิน หนูน้อยเริ่มมีความทุกข์ หนอนชาเขียวที่เธอชื่นชอบกลายเป็นผีไฟฉายไปแล้ว คาถาก็ไม่ได้ผล


    มานีเห็นอมยิ้มสีแดง สีเหมือนกระโปรงของนักเรียนหญิงในมือของโบว์ ลูกสาวคนสุดท้องของกำนันเอก โบว์อมมันไปก็ยิ้มไป แกนหลอดสีขาวของอมยิ้มก็ยาวขึ้นๆ อมยิ้มกำลังละลายในปากของโบว์ ความสุขของมานีก็ละลายตามไปด้วย เธออยากกิน แต่คาถาหนอนชาเขียวมันเสื่อมไปแล้ว เธอนั่งมองดูอมยิ้มของโบว์ไปเรื่อยๆ จนมันละลายหมดปาก เหลือเพียงหลอดสีขาวๆเหมือนหลอดดูดนม

    มานีอยากรู้ โบว์ได้อมยิ้มนี้ได้ยังไง หนูน้อยถามลูกสาวกำนัน เธอหยิบสิ่งของสิ่งหนึ่งจากกระเป๋าออกมาให้มานีดู สิ่งที่อยู่บนฝ่ามือเล็กๆ ขาวๆ ของโบว์คือคำตอบ มันกลมๆ แบนๆ

    มานีพบคาถาแห่งความสุขอีกครั้งบนฝ่ามือน้อยๆ

    *****************************************************************************************

    เช้าวันอาทิตย์ต้นเดือน หนูมานีก็ตัดสินใจใช้คาถาใหม่ ในขณะที่มาลีกำลังนับเงินบนโต๊ะกินข้าว หนูน้อยก็เดินมาหา พลางส่งสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ปากเล็กๆ ของหนูน้อยนั้นเอ่ยคาถาแห่งความสุข (อันใหม่) ออกมาว่า

    “แม่ ขอตังค์” หนูมานีเอ่ยประโยคนั้น เป็นคาถาสากลที่เด็กทุกคนชอบใช้

    มาลีหยุดนับเงินแล้วก็หันหน้ามามองลูกสาวตัวเองด้วยความแปลกใจ หนูน้อยทำตาแป๋วแหวว พลางส่งยิ้มหวานๆ รังสีแห่งความสุขเริ่มแผ่ขยายออกมาจากดวงตาของหนูน้อยสู่มารดา คาถาของเธอเริ่มได้ผล อย่างน้อย อมยิ้มนั้นก็ประทับบนใบหน้าของมานีแล้ว…

    จากคุณ : รัตน์ดา - [ 11 มิ.ย. 48 11:10:36 A:203.118.113.142 X: ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป