CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    แกะดำ

    เสียงอึกทึกคึกโครมที่ดังแซ่งแซ่ ไปทั่วหมู่บ้าน ในตอนพลบค่ำ
    ประจวบกับ ผู้คนที่เดินขวักไขว่ ทำให้ลานหน้าบ้านเล็กๆ แออัดไปด้วยผู้คน
    ...... ซึ่งล้วนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่เรียกว่า
    “ตามมีตามเกิด”
    หากใบหน้าของทุกคน ล้วนแสดงความดีใจ
    .........แววตาเปล่งประกายเจิดจ้า
    ยิ่งเมื่อ เด็กหนุ่มในชุดกางเกงขาสั้น เสื้อยืดสีขาวเดินออกมาจากใต้ถุนบ้าน
    เสียงที่ดังอยู่แล้ว ยิ่งเพิ่มความดังขึ้นอีกหลายเท่าตัว

    “จวบเอ้ย มาทางนี้หน่อยลูก”
    เสียงดังมาจากวงสนทนา วงใหญ่
    ทำให้ไม่แน่ใจว่า ใครกันที่เป็นเจ้าของเสียง
    ...... หากเจ้าของชื่อ ก็เดินค้อมผ่านกลุ่มผู้ใหญ่ที่นั่งกันอยู่สองสามคน เข้าไปหา

    “ครับ”

    ใบหน้าที่ดำคล้ำ.....หากแววตาเจิดจรัสของผู้ใหญ่ต่างแสดงออกถึงความรักใคร่เอ็นดู
    เด็กชายอย่างเต็มเปี่ยม
    “เปล่า หรอก แต่พวกลุง ดีใจที่จวบสอบเข้า มหาทะลัย กะเขา ได้
    อ่านหนังสือหนังหาเก่งๆ โตขึ้นจะได้เป็นเจ้าคนนาย
    ไม่ต้องมาลำบากลำบน เหมือนพวกลุงๆ ป้าๆ”
    “ครับ”
    “จวบเห็นใช่ไหมลูก คุณอ้อดลูกนายช่างใหญ่ที่มาทำทางเข้าบ้านเรา
    เขาก็สอบติดมหาทะลัย เดียวกับจวบนั้นแหละ พอเข้าไปเรียนในเมือง
    ลุงจะฝากให้ จวบจะได้มีเพื่อน นายช่างใหญ่ท่านก็เอ็นดูจวบนะลูก”
    “ครับ”

    จวบหรือประจวบเด็กหนุ่มในวัยสิบเจ็ดปี ที่เขา
    เป็นหนึ่งในหลายหมื่นคนที่สามารถสอบแข่งขันเข้าไปเรียน
    ในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงโด่งดังของประเทศ
    ..... แต่ทว่า จวบก็ต้องสอบชิงทุนแข่งกับบรรดาเพื่อนๆในโรงเรียนอีกหลายร้อยคน
    ที่ต่างต้องแช่งชิงกันเข้าไปเรียนยังสถาบันที่ตนหมายปอง
    ประจวบสอบชิงทุนได้ และผลก็ประกาศเมื่อวานนี้
    อ้อดหรือเอกวิทย์ลูกชายนายช่างใหญ่
    เดินทางมาบอกตัวตัวเองถึงบ้านของประจวบ


    “เฮ้ย จวบ จวบ อยู่ไหมว่ะ “ เสียงตะโกนลั่นบ้านในตอนสายของเมื่อวาน
    “อยู่นี้ครับคุณอ้อด “ ประจวบตะโกนมาจากคูหลังบ้าน
    และไม่นานเสียงวิ่งตึกตักๆ ก็ตามมา
    “นี้รู้ไหม ผลสอบประกาศแล้วนะ “

    ประจวบที่กำลังเซาะร่องน้ำเงยหน้าที่เปื้อนไปด้วยดินโคลน
    ขึ้นมองคุณอ้อด ......ในตาส่อประกาย....... เสียงกระตือรือร้น

    “ผมติดไหมครับคุณอ้อด”
    เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกว่าคุณอ้อด อมยิ้มแก้มตุ่ย
    “ มือชั้นนี้ ติวแล้ว พลาด....ซะเมื่อไหร่ละ”

    ......จากที่กำลังยืนอยู่ในร่อง
    ประจวบกระโดดขึ้นมาบนฝั่งโดยไม่รู้ตัว
    มือที่เปื้อนโคลนตะบปเข้ากับแขนล่ำสันของ คุณอ้อด
    ..... พลางตะโกนถามอย่างไม่แน่ใจ

    “ จริงๆ หรือครับ...คุณอ้อดไม่โกหกผมนะครับ”
    “เราจะโกหกนายทำไม ถ้าไม่ติดเดี๋ยวเสียชื่อติวเตอร์หมด”

    คุณอ้อดยังคง ยิ้มแก้มตุ่ย และอีกฝ่ายก็คงจบแขนนั้นไว้มั่น
    พลางละล่ำลำลักบอกว่า
    “ผม... ผมไม่รู้จะขอบคุณ ...คุณอ้อดยังไงดี”
    “เฮ้ยไม่ต้องอะไรมาก แค่นายสอบติดที่เดียวกับเรา เราก็ดีใจแล้ว ”

    คุณอ้อด เด็กหนุ่ม ที่ใบหน้าขาวสะอาด
    เครื่องแต่งกายดูเนี้ยบไปทั้งเนื้อทั้งตัว
    ....ต่างจากประจวบที่ดำเมี้ยมไปทั้งตัวเช่นกัน
    ..... และ กว่าทั้งสองจะยอมขึ้นมาบอกข่าวผู้ใหญ่
    ก็เลยย่ำค่ำไปถึงเย็น หากคราวนี้ทั้งคู่ต่างมีสภาพไม่แตกต่างกัน
    คือ ลูกหมาตกน้ำทั้งคู่

    ............... เสียงสั่งสอนของลุง ป้า น้า อา หลายต่อหลายคน
    ที่ต่างก็เข้ามา แสดงความยินดีกับประจวบดั่งลั่น
    ส่วนพ่อกับแม่นั้น เพียงแต่โอบกอดร่างสูงใหญ่ของลูกชายไว้
    โดยไม่ได้พูดหรือกล่าวสิ่งใด
    .......... หากเขาก็รู้สึกถึงน้ำใสๆที่รดลงบนกระหม่อม ของตัวเอง
    ตลอดเวลาที่ทั้งผู้เป็นพ่อและแม่ กอดแน่น

    ประจวบใช้เวลาเตรียมตัวเพียงสอง วัน
    จึงได้เดินทางเข้ามายังกรุงเทพมหานคร
    โดยทั้งพ่อกับแม่มีชะลอมไม้ไผ่ ที่บรรจุไปด้วย
    ผลไม้ และข้าว ปลา ที่ตะเตรียมไว้ มากมาย
    โดยผู้เป็นแม่บอกว่า

    “นายช่างใหญ่ท่านมีบุญคุณกับเรามาก
    แม่กับพ่อไม่มีของดีๆ ไปฝากท่าน
    ... ก็ได้แต่ที่หาได้ตามมีตามเกิด
    จวบไปอยู่กับท่าน ก็ช่วยท่านทำงานนะลูก อย่าเกียจคร้าน “

    ส่วนพ่อของจวบนั้น เป็นชายร่างสูงใหญ่ ผิวดำ
    เสมือนลูกชายไม่ผิดเพี้ยน และเอ่ยเพียงว่า

    “ความกตัญญูกตเวทีหนึ่ง ความซื่อสัตย์หนึ่ง
    พ่อคิดว่าจวบรู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร”

    และเมื่อทั้งสามคนพ่อแม่ลูกถึงบ้านหลังใหญ่ ของนายช่าง และคุณอ็อด
    ทั้งสามก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี .......พ่อกับแม่ของจวบค้างที่กรุงเทพด้วยสอง คืน
    ก่อนที่จะฝากฝังลูกชายไว้กับนายช่างอีกครั้ง
    ....... และกอดร่ำลา ลูกชายพักใหญ่ จึงได้ลากลับไป


    เมื่อเปิดเทอม จวบและคุณอ้อดซึ่งเรียนต่างคณะกัน
    หากทั้งสองจะต้องออกพร้อมกัน และเข้าบ้านพร้อมกัน
    โดยมีนายช่างใหญ่มองดูอยู่ห่างๆ
    ......... ทั้งจวบและคุณอ้อด ต้องปรับตัวอย่างมากเมื่อเข้าเรียน
    มีบางครั้งที่คุณอ้อด เรียนค่ำ จวบก็จะไปนั่งรอ จนกว่าคุณอ้อดจะเรียนเสร็จ
    และต่างฝ่ายก็จะพลัดกันรอ อย่างนี้เป็นประจำ
    ................ และเมื่อกลับถึงบ้าน จวบ จะลงไปช่วย คนสวนทำสวนบ้าง
    หรือซ่อมรถ ล้างรถ ก็แล้วแต่มีงานให้ช่วย
    ............... บางครั้งคุณอ้อด ก็ลงมาช่วยอีกทีหนึ่ง
    ..........หากบางครั้งคุณอ้อดก็หายไปข้างนอก
    และกว่าจะกลับมา ก็มืดค่ำ แต่คุณอ้อดก็ไม่เคยที่จะขาดเรียน







    ชีวิตที่ต้องดิ้นรนทั้งด้านการเรียนและการใช้ชีวิต
    ทำให้จวบเกือบถอดใจอยู่บ่อยๆ
    หากคำบอกเล่าของพ่อแม่ก็ยังก้องอยู่ในอนุสติ
    ...... จวบจะเดินทางกลับบ้านทุกปิดเทอม
    และหลายครั้งคุณอ้อด ก็จะตามติดไปด้วย
    โดยมีนายช่างใหญ่ ตามไปด้วยเช่นกัน
    โดยท่านให้เหตุผลว่า

    “ขอไปสูดกลิ่นโคนสาบควาย บ้างเถอะ ฉันสูดแต่กลิ่นโรงงาน
    กลิ่นท่อไอเสียจนตัวจะเป็นดีซ่านอยู่แล้ว”

    และจะกลับเข้ามากรุงเทพอีกครั้งเมื่อใกล้จะปิดเทอม

    จวบและคุณอ้อด เรียนหนักมากขึ้นเมื่อใกล้จะจบ
    และจวบก็ไม่ค่อยได้กลับไปเยี่ยมบ้านเสมือนก่อน
    หากต้องออกทำกิจกรรมกับเพื่อนร่วมคณะ
    ...............จึงมีบางครั้งพ่อกับแม่ ซึ่งบางครั้ง ลุง ป้า น้าอา ก็จะตามมาเยี่ยมด้วย

    ครั้งหนึ่งลุงของจวบบอกก่อนที่จะขึ้นรถกลับบ้านว่า
    “จวบเอ้ย รีบเรียนให้จบนะลูก ความหวังของ พ่อ แม่ ของทุกคนอยู่ที่จวบ
    จบแล้วเราจะได้ลืมตาอ้าปากได้บ้าง
    นี้ก็ไม่รู้ว่า ที่นาจะโดดยึดเมื่อไหร่ “

    จวบไปเรียนโดยมีคำพูดของลุง วนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา
    และถึงแม้จะเรียนมาจนจะจบแล้ว หากจวบก็รู้ดีว่ายิ่งเขาเรียน
    เขาศึกษา มากขึ้น ก็เหมือนยิ่งรู้ว่า คนเรามีวิธีการเอาเปรียบ คนอื่น
    อย่างถูกกฎหมายเช่นไร
    ...... ในเทอมสุดท้ายนี้ จวบจะจบ นิติศาสตร์ และคุณอ้อด ก็จะจบรัฐศาสตร์เช่นเดียวกัน
    ...... คุณอ้อดนั้นสอบชิงทุนไปเรียนต่อเมืองนอกได้ หากจวบนั้น
    เปลี่ยนใจ
    ไม่สอบ
    จนเป็นที่แปลกใจของคุณอ้อด จนต้องถามไถ่กัน







    “ ทำไมนายไม่สอบชิงทุนไปเรียนเมืองนอกกะเรา”

    คุณอ้อดที่นั่งหน้าบึ้งอยู่ข้างๆ แสดงท่าทีไม่พอใจ

    “ผมทราบครับว่าคุณอ้อด หวังดี แต่....”

    “ใครๆ เขาก็อยากจะเรียนต่อเมืองนอกกันทั้งนั้น
    จบมาเงินเดือนได้ขึ้นอีกหลายเท่าตัว
    กรมไหน กองไหน เขาก็อ้าแขนรับทั้งนั้น”

    “คุณอ้อดครับ”
    สีหน้าอึดอัดของจวบทำให้คุณอ้อด บอกว่า

    “มีอะไรนายก็พูดกับเราได้นี้ ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน”
    จวบจึงตัดสินใจว่า ถึงเวลาแล้วที่เขาจะบอกคุณอ้อดให้รู้สักที

    “ ตอนนี้ที่บ้าน... แม่บอกว่า ที่นาของผมกำลังจะถูกยึด
    และของชาวบ้านหลายคนอาจจะถูกยึดตามกัน อีกหลายคน
    ผมห่วงบ้านครับคุณอ้อด ห่วงชาวบ้าน ห่วงพี่น้องของผม
    ถ้าพวกเขาไม่มีที่นาทำกิน แล้วเขาจะอยู่กันอย่างไร
    ผมก็อยากเรียนให้สูงทำงานดีดี เหมือนที่ใครๆ เขาสั่งสอนกัน แต่
    .... มันจะได้อะไรขึ้นมาละครับ ถ้าผมไปเรียนอย่างสบายใจ
    ....อยู่เมืองนอก แล้ว พ่อแม่ ลุง ป้า ผม ต้องแบกหน้าไปเสียค่าเช่าที่นา
    ค่าเช่า สวนให้คนอื่นอยู่อีก
    ตอนเป็นเด็กผมไม่รู้หรอกครับว่า ทำไมชาวบ้านหลายคนทั้งๆที่มีนาเป็นของตนเอง
    แต่สุดท้ายกลับต้องเสียค่าเช่าที่ของตัวเองให้คนอื่น
    ปีหนึ่งๆ มันจะได้ข้าวสักกี่ถัง สุดท้าย ก็วนเวียนเป็นหนี้เขาไม่รู้จักจบสิ้น
    .....แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้ก็คือ ชาวบ้านเขาไม่ได้โง่หรอกครับ
    เพียงแต่เขาไม่รู้ เขาอ่านหนังสือไม่ออก เขาไม่รู้ว่าเวลาเดือดร้อนจะวิ่งไปหาใครได้
    ผม....เรียนทุนหลวง ผมก็อยากทำงานให้หลวง
    แต่การให้ของผม คงไม่ต้องอยู่ในกรม ในกองมั้งครับ
    ถึงอยู่บ้านนอกผมก็ได้ช่วยหลวงเหมือนกัน
    คนเก่งๆในกรมมีเยอะ แต่ที่บ้านผม คนอ่านหนังสือออก แทบนับคนได้
    ..... ก่อนจะมาเรียนที่นี้ พ่อผมบอกว่า ต้องรู้จัก กตัญญู
    และผมก็เชื่อว่าสิ่งที่ผมทำ นั้นพ่อจะไม่เสียใจ
    และผมก็ไม่เสียใจด้วยครับ .... คุณอ๊อดไปเรียนเมืองนอก เถอะครับ


    ถ้าผมไป แล้วใครจะดูแลนายช่างใหญ่
    คุณพ่อคุณอ้อด ผมอยู่ทางนี้ยังจะได้ดูแลท่านแทน
    อยุธยากับกรุงเทพแค่นี้เอง คุณอ้อดจะได้ไม่มีห่วง”

    คุณอ้อดที่นั่งนิ่งฟังความยาวของจวบแล้ว ถึงกับงันไปชั่วขณะ และนานกว่าจะบอกจวบว่า

    “จวบไม่กลัวคนอื่นเขาว่า บ้านนอก หรือ
    ..... ยังจะกลับไปทำงานที่หาทางเจริญก้าวหน้าไม่ค่อยมี
    แถมยังดัดดานอยู่กับที่ไม่รู้จักพัฒนา”

    จวบสูดลมหายใจเข้าปอด อย่างแรง และค่อยๆผ่อนลมออกช้าๆ

    “ผมเป็นเด็กบ้านนอกตั้งแต่เกิด
    ความบ้านนอกอยู่ในสายเลือดของผม
    ผมคงจะสุขไม่ได้หรอกครับถ้าตราบใดที่ พ่อแม่พี่น้องของผม
    ยังต้องทุกตรมอยู่ตลอดเวลาแบบนี้”

    “เราเข้าใจนาย แต่กาลเวลาทำให้หลายอย่างเปลี่ยนไป
    คนในปัจจุบันนับถือกันที่เงินตราเป็นสำคัญ
    เขาไม่ค่อยคำนึงถึงคนอื่นเท่าไรหรอก
    คนสมัยนี้ถ้าใครนั่งรถคันใหญ่ ยาวสามวาแปดศอก เขาก็นับถือกันแล้ว
    อนาคตคือการได้เข้าเรียนที่ดีดี จบมาทำงานเงินเดือนสูง
    .... ตัวเราเองยอมรับว่าก็โอนตามแรงลมนั้นเหมือนกัน
    แต่สิ่งหนึ่งที่เรา มีเหมือนนาย คือ ความรัก เรารัก ในพ่อของเรา
    เรารักในเพื่อนอย่างนาย
    .........และ ถึงแม้เราจะไปเรียนต่างถิ่นต่างแดนสักเพียงไหน
    เราก็ยังเชื่อว่า เราจะกลับมารับใช้แผ่นดินเกิดโดยสุจริต
    เหมือนที่นายบอกเราไงละจวบ
    .......นายเรียนทุนหลวง ......... เราก็เรียนทุนหลวง
    ถึงแม้จะต่างวิธี แต่เราก็มีความตั้งใจเดียวกันไม่ใช่หรือ”

    ใบหน้าที่แลมาทางคุณอ้อดของจวบ แดงขึ้นอย่างทันตา
    .
    “คุณอ้อด..... ไม่กลัวคนอื่นเขาว่าหรือครับ
    ถ้ากลับมาแล้วต้องมาทำงานเงินเดือนน้อยๆ”





    อีกฝ่ายหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะตอบว่า


    “เราไม่กลัวหรอก พ่อเราเป็นนายช่าง
    เงินเดือนไม่กี่อัฐยังเลี้ยงเรามาได้
    พ่อกับแม่นายเป็นชาวนาแท้ๆ ยังเลี้ยงนายมาได้ขนาดนี้
    เราจบมาเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียตัวเองไม่ได้ให้รู้ไปซิ”

    “แล้วคุณอ้อด จะเลี้ยงลูกยังไงละครับ “
    จวบถามอย่างสงสัย และคุณอ้อดก็ยิ้มแก้มตุ่ยพลางบอกจวบว่า

    “อ้าว.....เก๊าะให้สอบชิงทุนเหมือนเราไง”
    จวบมองใบหน้ายิ้มนั้น ก่อนจะพึมพำเบาๆ
    “ฮืม..เข้าท่าๆ “

    และทั้งสองก็ประสานเสียงหัวเราะ ลั่น อย่างพอใจ
    พร้อมกับท่าทีวิ่งไล่กันเสมือนเมื่อยังเด็ก
    .....ทำให้ ร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่บนระเบียง
    มีรอยยิ้มแตะแต้มเต็มใบหน้า
    พร้อมกับส่ายหน้าไปมา
    ก่อนจะเดินเข้าไปภายใน ที่มีม่านสีขาวไหว เบาๆ แกว่งตามแรงลมช้าๆ
    เสียงกระดิ่ง หน้าประตู ดังกรุ๋ง กริ๋ง เสมือนรับรู้
    กับคำมั่นสัญญาที่ทั้งสองให้แก่กัน

    จากคุณ : เอนัญา - [ 15 มิ.ย. 48 14:56:41 A:202.28.78.80 X: ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป