CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    เรื่องในวันนั้น...ฉันขอโทษ

           แสงสลัวสีส้มแดงของดวงอาทิตย์ที่กำลับจะลับขอบฟ้ารำไรทางทิศประจิม ทำให้อารมณ์ของวสาหดหู่ยิ่งกว่าเดิม ร่างบางเล็กนั่งนิ่งทอดสายตาออกไปไกลแสนไกลอยู่บนเก้าอี้หวายตรงระเบียงบ้านชั้นสอง น้ำใสๆ ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นภายในดวงตาคู่สวยทีละน้อย ความทรงจำเกี่ยวกับความรักครั้งหลังมันยังไม่ลบเลือนไปจากสมองของเธอเสียที ภาพที่เขาคนนั้นเดินหันหลังจากเธอไปด้วยน้ำตาไหลรินมันยังคงฝังจำไม่เคยจางไปจากใจ...
         
           วสาขยับตัวเล็กน้อยและตัดสินใจใช้นิ้วเรียวปาดน้ำตาที่ไหลเปอะข้างแก้มแล้วลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปในห้อง มือเล็กหยิบรูปของคนที่เพิ่งนึกถึงจากโต๊ะข้างเตียงขึ้นมอง ก่อนจะทรุดลงนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์พร้อมๆ กับค่อยๆ วางกรอบรูปเอาไว้ใกล้ๆ ความคิด ที่เกี่ยวกับเขากำลังโลดแล่นอยู่ในหัวได้ถูกส่งผ่านไปยังปลายนิ้วเรียวที่บรรจงวางลงบนแป้มพิมพ์ เรื่องราวทั้งหมดจึงถูกถ่ายทอดเป็นตัวอักษรผ่านทางเว๊บไซด์ชื่อดังที่มีผู้เข้ามาชมเป็นจำนวนมาก

          ฉันรู้ว่าเรื่องของฉันมันอาจจะน่าเบื่อ งี่เง่า น้ำเน่าและไม่คู่ควรเลยที่จะนำลงเว็บบอร์ดนี้  แต่ฉันก็อยากให้คุณได้อ่านมัน และหวังว่าคุณบางคนจะได้ไม่ทำเรื่องบ้าๆ ที่ไม่น่าให้อภัยแบบฉัน
     
                 ความรักก็เหมือนกับวัฎจักรของฝนในหน้าแล้ง
            ดวงอาทิตย์แผดเผาเอาน้ำจากผืนดินขึ้นไปอยู่บนฟ้า
            แต่ไม่ว่าผืนดินจะเฝ้ารอยังไง ฟ้าก็ไม่ยอมจะส่งฝน
            ลงมาให้ความชุ่มชื่นแก่ผืนดินสักที...
            ก็คงเหมือนกับคนเรา
            ฝ่ายหนึ่งให้ความรักจนหมดทั้งตัวหมดทั้งใจ
            แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีทางจะสนใจและส่งความรักกลับมาให้สักที.....

            คุณเคยทำลายความรู้สึกของคนที่รักคุณที่สุดในโลกมั้ย เคยมั้ยคะ  ช่วยตอบฉันหน่อยเถอะ ได้โปรด....  และถ้าคุณเคย   บอกฉันทีสิว่าทำยังไงเค้าถึงจะกลับมารักฉันเหมือนเดิม...  

           เรื่องของฉันก็มีอยู่ว่า เขาเป็นคนที่เคยรักฉัน  แต่ตัวฉันนะเหรอ อย่าถึงขั้นที่จะบอกรักเลย แค่ทำท่าสนใจสักนิดยังไม่มีเลย แค่เขาเข้ามาใกล้ๆ ก็รู้สึกรำคาญและเบื่อหน้า ทำไมนะเหรอ... ก็เขาไม่ใช่ผู้ชายในฝันของฉันนี่หน่า  ผู้ชายที่ฉันฝันจะต้องเป็นคนหล่อล่ำ เข้ม ผิวคล่ำนิดๆ หุ่นนักกีฬา ดูแมนๆ แข็งแรงดี แต่เขานั้นดันสูง ผอม ใส่แว่นตา และก็ตาตี่เหมือนตี๋ขายบะหมี่เกี๊ยวในตลาดโต้รุ่งยังไงหยั่งงั้น  ฉันเองก็ยอมรับว่าไม่ใช่คนสวยอะไร ตัวก็จะเตี้ยไปหน่อยด้วยซ้ำ แต่แหมผู้หญิงทุกคนก็ต้องอยากได้ชายในอุดมคติมาเป็นแฟนทั้งนั้นแหละจริงมั้ย  (อย่าบอกว่าคุณไม่นิดแบบฉัน เพราะคุณกำลังโกหกตัวเองอยู่)

           เรื่องราวของเราทั้งสองคนเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนเรียนชั้นมัธยม แค่เห็นหน้ากันครั้งแรกฉันก็รู้สึกไม่ถูกชะตาตานี่ทันที ก็เขามันจอมกวนประสาทหน้าดู ขี้โม้ก็ที่หนึ่ง คุยกันได้แค่ 2-3 คำฉันก็อยากเดินหนีไปที่อื่นแล้ว แต่จู่ๆ วันนึง ยัยผึ้งเพื่อนสนิทฉันก็มาบอกว่าเขาชอบฉัน โอ๊ย!!!... แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด น้ำแข็งที่ขั้วโลกละลาย หรือไม่โลกก็กำลังจะแตกภายในอีก 2 วินาที  

          'ใครมาชอบไม่ชอบ จำเป็นต้องมาเป็นอีตานี่ด้วย' ตอนนั้นฉันสวนกลับทันทีที่ผึ้งพูดจบ

           'เฮ้ย! แต่เค้าเป็นคนดีนะโว้ย แกลองคบเป็นเพื่อนดูก่อนก็ได้'

           'ไม่มีทาง' นั่นคือคำตอบที่จริงจังที่สุด
           
           แต่คุณเชื่อมั้ยเหมือนพระเจ้าลงโทษ  สวรรค์กลั่นแกล้ง ถึงเราสองคนจะอยู่คนละห้อง แต่ก็ต้องมีเหตุการณ์ให้เราต้องมาทำงานร่วมกันตลอด 3 ปี ตั่งแต่ ม.1-ม.3  (เอ่อ…อ่านถึงตรงนี้คุณอย่าเพิ่งบอกว่าฉันกับเค้าแก่แดดแต่เด็กนะ เพราะถ้าเป็นสมัยนี้เด็กๆ เขาก็เริ่มเป็นแฟนกันตั้งแต่เรียนอนุบาล โลกมันกำลังเสื่อมลงเรื่อยๆ เมื่อก่อนกว่าจะมาเป็นแฟนจับมือถือแขนกันก็โตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้ว แต่สมัยนี้เด็กประถมฯ แทบจะเดินกอดกันตัวกลมในที่สาธารณะ)

          และการที่เราต้องทำงานร่วมกันก็ทำให้เห็นความดีในตัวเขามากขึ้น อย่างน้อยก็รู้ว่าเขาเป็นคนรู้กาลเทศะ ถ้าวันไหนฉันอารมณ์ไม่ดี ไม่อยากคุยด้วย เขาก็จะไม่มาพูดมากเจ๊าะแจ๊ะให้ฉันรำคาญใจ แต่ยามใดที่ฉันต้องการความช่วยเหลือในเรื่องงาน เขาก็จะรีบเข้ามาช่วยทันที โดยไม่ต้องรอให้ฉันบอกหรือขอร้อง  และไม่เพียงเฉพาะฉันเท่านั้น แต่เพื่อนๆ คนทุกคนจะได้รับการช่วยเหลือและไมตรีจากเขาเสมอ  และมันก็ทำให้ฉันเริ่มเห็นว่าเขาเป็นคนดีขึ้นมานิดๆ  แต่ก็นั่นมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันชอบเค้าถึงแม้จะรู้จักกันมาตั้งสามปี ยังไงเราก็เป็นแค่เพื่อนร่วมชั้นร่วมโรงเรียนเดียวกันเท่านั้น
           'เราขอโทรศัพท์ไปคุยด้วยตอนเย็นๆ จะได้มั้ย'

           'เราไม่มีธุระจะคุยอะไรกับนาย จะโทรไปทำไม เจอกันที่โรงเรียนเราก็เบื่อหน้านายจะตายอยู่แล้ว' ฉันตอบตรงๆ โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของฝ่ายตรงข้ามเลย

           'ไม่เป็นไรครับ ไม่โทรก็ไม่โทร' แม้เขาจะบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่ฉันจับน้ำเสียงกับสีหน้าเขาได้ หน้าตี่ของเขาเศร้าลงไปเยอะเลย และฉันก็เลยใจอ่อน

           'เออ...เอางี้ก็ได้ ถ้านายมีธุระอะไรก็โทรไปได้ มีเบอร์แล้วใช่มั้ย แต่อย่าให้มันบ่อยนักนะ'  

           'จริงรึเปล่า เราไม่ได้หูฝาดใช่มั้ย เอะ! หรือว่าเราฝัน'  

            'นี่...เดี๋ยวเปลี่ยนใจนะ ทำมาเป็นหูฝาด เออ..แล้วอย่าโทรไปให้มันดึกมากนะ เกรงใจคนที่บ้าน เดี๋ยวเสียงโทรศัพท์จะรบกวนเวลานอนของคนอื่น'  
       
           และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการคบกันเป็นเพื่อนอย่างเป็นทางการของฉันกับเขา และจากคุยกันทางโทรศัพท์อาทิตย์ละครั้ง ก็กลายมาเป็นสองวันครั้ง วันเว้นวัน และคุยกันทุกวัน การได้คุยแรกเปลี่ยนความคิดเห็นในทุกเรื่องอยู่ทุกวี่วันก็ทำให้ฉันรู้จักและเข้าใจในตัวเขามากยิ่งขึ้นกว่าเดิม อันที่จริงเขาเป็นคนที่ดีมาก ฉันเองไม่เคยคิดเลยว่าเลยว่าคนอย่างเขาจะเป็นคนรักครอบครัว มีน้ำใจ เป็นสุภาพบุรุษ ไม่มือไว้ใจเร็ว และมีสัมมาคารวะ เพราะถึงแม้เขาจะไม่เคยเจอแม่ของฉัน แต่เขาก็จะกล่าวทักทายทุกครั้งที่แม่ฉันรับโทรศัพท์ และไอ้อาการกวนประสาทและขี้โม้ทั้งหลายที่เขาเคยเป็นอยู่ มันก็หายไปจากความรู้สึกฉันตั้งแต่เมื่อไหร่...ก็ไม่รู้  

          'รู้เหตุผลที่เราโทรมาคุยด้วยบ่อยๆใช่มั้ย ' วันนึงเขาก็ถามฉันทางโทรศัพท์ ตอนนั้นเราสองคนเรียนอยู่ประมาณชั้น ม.4 เห็นจะได้

          'ถามทำไม ฉันก็รู้อยู่แล้วว่านายอยากเป็นเพื่อนกับฉัน'  

          'เราชอบเธอ..เราเป็นแฟนกันได้มั้ย' อยู่ดีๆ เขาก็พูดประโยคนั้นออกมาโดยที่ฉันไม่ได้ตั้งตัว น้ำเสียงเขาในวันนั้นสั่นๆ ชอบกล และฉันเดาได้ว่าตอนนั้นหน้าขาวๆ ของเขาต้องหน้าแดงเป็นลูกตำลึงแน่ๆ  

            'ชอบแล้วไง' ฉันปล่อยคำพูดสิ้นคิดแบบนั้นหลุดปากออกไป อันที่จริงการที่มีผู้ชายมาบอกว่าชอบมันก็สามารถทำให้ใจสั่นได้ ทั้งเขิน ทั้งตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก มือไม้ก็น่ารำคาญไปหมดจนไม่รู้ว่าจะเอาไว้ไหนจึงได้แต่ม้วนสายโทรศัพท์เล่นจนมันพันกันเป็นเกลียว แต่ไม่รู้ว่าทำไมในส่วนลึกๆ ของหัวใจถึงได้เกิดอาการต่อต้าน และกลัวเหลือเกินที่จะตอบตกลงเป็นแฟนกับเขาไป

            'เรายังไม่อยากจะมีแฟนตอนนี้ เพราะเราก็ยังเด็กกันอยู่ เพิ่งอยู่ม.4 เอง เป็นเพื่อนกันอย่างนี้ดีแล้ว' มันเป็นคำพูดปฏิเสธที่ดีที่สุดในนั้นที่ฉันคิดได้  

            'ไม่เป็นไร เราเข้าใจ ' เสียงทุ้มกลัวหัวเราะถูกส่งกลับมา แต่ฉันรู้สึกได้ถึงรัศมีความเศร้าที่แฝงอยู่ภายใต้น้ำเสียงร่าเริงของเขา

             'เอางี้แล้วกัน ถ้าเราคิดจะมีแฟนเมื่อไหร่ นายจะเป็นคนแรกที่ได้รับการพิจารณาคัดเลือกเลย' และคำพูดปลอบใจก็หลุดปากฉันออกไป โดยไม่ได้ตั้งใจ

             'เราจะรอนะ ไม่ว่านานแค่ไหนเราก็จะรอ…'

    แก้ไขเมื่อ 18 มิ.ย. 48 16:21:40

    จากคุณ : ตลาลี - [ 18 มิ.ย. 48 16:08:12 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป