บันทึกของคนเดินเท้า
ข่าวประหลาด
เมื่อวันก่อนที่จะถึงวันอาสาฬหบูชา ของปีมะเมียนี้ ผมตั้งใจว่าจะรับศีลห้ามา ปฎิบัติโดยเคร่งครัด เช่นเดียวกับปีก่อน ๆ ที่ผมได้ทำมาหลายปีแล้ว ปีละสี่วัน แต่ก็มีมารมาขัดขวางจนได้
เหตุมันเกิดขึ้นเมื่อตอนที่ ผมค้นหาเรื่องจากพงศาวดารจีน ที่ผมชอบเอามาย่อยให้เป็นตอนสั้น ๆ แล้วส่งไปให้นิตยสารพิจารณา ได้ลงพิมพ์บ้างไม่ได้ลงบ้าง ก็ไม่เป็นอุปสรรค มีเวลาว่างก็ใช้ให้เป็นประโยชน์ ดีกว่าอยู่เปล่า ๆ แต่คราวนี้เมื่อหยิบเอาเล่มหนึ่งออกมา ปรากฏว่ามีมีผู้สนใจมุดเข้าไปอ่านก่อนผมแล้ว จึงรื้อเอาเล่มที่อยู่ข้างเคียงออกมา ก็เจอนักอ่านเหล่านั้นเป็นกลุ่มเป็นก้อน
ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนพวกปลวกตัวขาว ๆ นี่เอง เจ้าสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ใต้ดินไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน แต่มีความสามารถที่จะทำลายบ้านไม้ทั้งหลัง ให้กรอบเหมือนทำด้วยกระดาษได้ในเวลาไม่นาน
และสำหรับผม มันเคยทำให้หนังสือพิมพ์สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ รุ่นแรกที่ผมเก็บไว้เต็มกล่องใส่เครื่องรับโทรทัศน์ขนาดยี่สิบนิ้ว ต้องกลายเป็นดินก้อนสี่เหลี่ยมเท่ากับกล่องนั้นมาแล้ว เมื่อหลายปีก่อน ผมยังเจ็บใจไม่หาย
ผมจึงต้องเลิกล้มความคิดที่จะเขียนเรื่องจีน แต่ยังไม่อยากจะเลิกความคิดที่จะรักษาศีล จึงขนหนังสือออกมากองไว้ที่ลานซีเมนต์หน้าบ้าน แล้วก็บรรจงเอาแปรงปัดเจ้าตัวขาว ๆ นั้นออกจากหนังสือที่รัก และใช้เป็นเครื่องมือหากินของผม ด้วยความทะนุถนอม เล่มแล้วเล่มเล่าจนหมดตู้
ปรากฏว่าปลวกเพิ่งเริ่มกินไปไม่มากนัก เพียงแค่ริมขอบกระดาษ ยังไม่ถึงตัวหนังสือ จึงพอจะทำใจให้เป็นปกติ ไม่โกรธแค้น อาฆาต พยาบาทจองเวรได้ นึกเสียว่ากระดาษทั้งหลาย หรือแม้แต่ไม้กระดานที่ทำเป็นตู้นั้น มันเป็นอาหารของเจ้าสัตว์ชนิดนี้อยู่ตามธรรมชาติ
เมื่อเราดูแลไม่ทั่วถึง เขาก็เข้ามาอาศัยเลี้ยงชีวิต เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว ก็เลยพลิกหนังสืออื่น ๆ ที่อยู่ในตู้เดียวกัน อ่านจนเพลินไปเลย ตามประสาคนชอบหนังสือ
แล้วผมก็ได้พบข่าวประหลาดเข้า ในหนังสือพิมพ์รายวันเก่าคร่ำคร่าฉบับหนึ่ง ซึ่งถึงปลวกจะไม่กิน เพียงแต่หยิบขึ้นมาอ่านก็จะยุ่ยเสียหมดแล้ว ข่าวนั้นมีพาดหัวตัวไม่โตว่า
พบสายแร่ในใจกลางกรุงเทพฯพระมหานคร
ซึ่งมีเนื้อข่าวตามรายงานนี้ว่า
รายงานข่าวจากผู้สื่อข่าวพิเศษแผนกธรณีวิทยาว่า ได้พบสายแร่แห่งใหม่ ซึ่งมีแร่ปะปนกันอยู่มากมายหลายชนิด และสายแร่แห่งนี้อยู่ในใจกลางจังหวัดพระนครนี่เอง
สายแร่ที่กล่าวถึงนี้ เริ่มต้นตั้งแต่ท่าช้างวังหน้า เลาะลัดมาทางสพาน ผ่านภิพภลีลา เลียบข้างศาลอาญา ผ่านหลังกระทรวงกลาโหม วังสราญรมย์ และกรมทหารรักษาพระองค์ ไปสิ้นสุดเอาที่ ร.ร.ราชินีล่าง ปากคลองตลาด คือตลอดคลองหลอดนั่นเอง
สายแร่แห่งนี้มิได้เป็นแหล่งที่นักธรณีวิทยาเพิ่งค้นพบ แต่ได้มีผู้พบและทำการขุดร่อนหาแร่กันมาเป็นเวลานานแล้ว หากยังมิได้ออกประกาศเป็นทางราชการเท่านั้น และมีข้อที่น่าเสียใจอยู่ว่า ในบรรดาผู้ที่ประกอบงานประเภทนี้ หาได้มีบริษัทใหญ่ ๆ มาดำเนินการขุดกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันไม่ คงมีแต่เอกชนซึ่งมีเครื่องมืออันล้าสมัยทำการร่อนหาแร่อยู่เพียง ๔ - ๕ รายเท่านั้น
จากปากคำของนายแม้น นักร่อนแร่คนหนึ่งในจำนวน ๔ - ๕ ราย ซึ่งได้ให้สัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าวของเรากล่าวว่า ในสายแร่อันมหึมานี้ เป็นที่รวมของบรรดาแร่ซึ่งมีค่าชนิดต่าง ๆ ไม่น้อยกว่า ๕ ชนิด อาทิเช่น แร่ทองแดง ทองเหลือง เหล็ก ตะกั่ว ดีบุก
และบางทีก็มีทองปนอยู่ด้วย แต่ค่อนข้างจะเป็นจำนวนน้อย แร่ซึ่งร่อนขึ้นมาเหล่านี้มิได้เป็นสินแร่ เหมือนอย่างที่บริษัทต่าง ๆ ทั้งภาคใต้และภาคอื่น ๆ ขุดได้ หากแปรสภาพมาในลักษณะต่าง ๆ กัน
เช่น แร่ทองแดงมักจะได้มาในลักษณะกล้องยานัดถุ์ - ไม้แคะหู หรือแร่ทองเหลืองในลักษณะทัพพี ช้อนกาแฟ และ กงล้อรถจักรยาน น็อตตะปู ซึ่งเป็นสภาพของแร่เหล็ก และสตางค์ขนาดต่าง ๆ ทั้งชนิดมีรูและ ไม่มีรู อันเป็นสภาพของแร่ดีบุก เหล่านี้เป็นต้น เมื่อนักข่าวของเราถามถึงแร่ทองคำ นายแม้นตอบว่า
ไม่ค่อยเจอหรอกครับคุณ นานเป็นเดือน ๆ จึงจะได้สายสร้อย หรือลูกกระพรวนเล็ก ๆ เข้าสักครั้งหนึ่ง แต่ถ้าเจอเข้าละก็ ไม่ต้องมาร่อนไปหลายวันเชียวครับ
แค่นี้ยังไม่พอ มีข่าวที่ประหลาดไปกว่านี้อีก ข่าวนี้พาดหัวตัวใหญ่ว่า
พบข้อสันนิฐานว่าหนูหล่อที่พ่อพาไปดูหมี
ที่นาตาหมอหลอต้องเป็นผู้ชายแน่นอน
และมีพาดหัวรองลงมาว่า
อ้างการที่พ่อพาไปดูหมี
เป็นข้อยืนยันถึงเพศ
แล้วก็เดินเนื้อข่าวต่อไปเป็นความยาวถึงสองคอลัมน์ว่า
เรื่องหนูหล่อที่พ่อเขาพาไปดูหมี ที่นาตาหมอหลอ ในหนังสือแบบเรียนเร็ว เป็นเรื่องที่ได้มีการถกเถียงกันมานาน ในข้อที่ว่าหนูหล่อคนนี้เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่ เพราะไม่ปรากฏข้อความตอนใดที่ได้บ่งไว้ในทางเพศ จึงเป็นเหตุให้บรรดานักค้นคว้าในทางอักษรศาสตร์ต้องเสียเวลาในการค้นคว้าเรื่องนี้อยู่เป็นเวลานาน ก็ยังไม่ปรากฏว่านักค้นคว้าคนใดยืนยันได้ว่า หนูหล่อคนนี้เป็นเพศใดแน่
บัดนี้เราได้รับการยืนยันด้วยการสันนิษฐานอ้างสิ่งแวดล้อมขึ้นมาประกอบจากนักค้นคว้าผู้หนึ่งซึ่งไม่ประสงค์จะออกนาม เพราะไม่ต้องการจะอวดอ้างความศักดาสามารถ ส่งมาให้เราพิจารณา เราได้พิจารณาโดยรอบคอบทุกแง่ทุกมุม ตามข้อสันนิษฐานที่เขาหยิบยกขึ้นมาอ้าง เห็นว่ามีหลักฐานเพียงพอที่เราเห็นด้วยกับการยืนยันว่า หนูหล่อผู้นี้ต้องเป็นผู้ชายแน่ ๆ
ข้อสันนิษฐานที่นักค้นคว้าอ้างขึ้นมาเพื่อยืนยัน อันเป็นประเด็นสำคัญได้แก่ข้อที่ว่า ถ้าหากหนูหล่อผู้นี้เป็นเด็กหญิงแล้วไซร้ บิดาย่อมที่จะไม่ให้ไปเห็นหมี เพราะหมีเป็นสัตว์ดุร้ายอาจกระทบกระเทือนจิตต์ใจสำหรับเด็กหญิง ทำให้ขวัญหนีดีฝ่อหรือเจ็บไข้เสียคนไปตลอดชีวิต เป็นการบั่นทอนอนาคตของเด็ก
เมื่อได้พิเคราะห์หลักฐานเป็นการยืนยันได้แล้วว่า หนูหล่อคนนี้เป็นผู้ชาย ผู้ค้นคว้ายังได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับนิสัยของหนูหล่อ ภายหลังที่พ่อเขาพาไปเห็นหมีมาแล้ว ต่อไปอีกว่า เมื่อกลับจากนาตาหมอหลอถึงบ้านแล้ว ในฐานหนูหล่อเป็นเด็กผู้ชาย ซึ่งมีจิตต์ใจเข้มแข็งกว่าสตรีเพศ ย่อมมีความรู้สึกนึกคิดไปไกล คืออยากจะเห็นหมีตัวใหญ่ ๆ เพราะตัวที่นาตาหมอหลอเป็นลูกหมี
จึงได้หลบหนีออกจากบ้าน มุ่งหน้าไปเข้าป่าดงพงพี เป็นพรานล่าหมีต่อไป จนเป็นเหตุให้ทางบ้านพากันวิตก เป็นห่วงถึงการหายหน้าค่าตาของหนูหล่อครั้งนี้อยู่ทุกวี่วัน.
นับว่าเป็นข่าวที่แปลกประหลาดกว่าข่าวทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นข่าวการบ้าน การเมือง ข่าวอาชญากรรม ข่าวการศึกษา ข่าวการเกษตร และข่าวบันเทิง ที่ลงพิมพ์กันอยู่ในสมัยปัจจุบันนี้ เป็นอย่างมาก
ผมจึงหาชื่อผู้ที่ดำเนินการจัดพิมพ์ ก็ปรากฏอยู่บนล้อมกรอบด้านบน ทางขวา มีข้อความแสดงความรับผิดชอบดังนี้
นายสมบุญ แย้มกลีบบัว เป็นผู้จัดการ และผู้พิมพ์ผู้โฆษณา
นายสละ ลิขิตกุล เป็นบรรณาธิการ
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นผู้อำนวยการ
บริษัท สยามรัฐ จำกัด เป็นเจ้าของ
มีสำนักงานอยู่ที่ อาคาร ๖ ราชดำเนิน โทร.๒๓๖๒๙ และพิมพ์ที่โรงพิมพ์ชัยฤทธิ์
แค่นี้ท่านผู้อ่านก็ทราบแล้วว่า ข่าวประหลาดนี้เป็นของ หนังสือพิมพ์สยามรัฐ รายวัน ที่มีคาถากำกับไว้ใต้ชื่อหนังสือว่า
นิคฺคณฺเห นิคฺคหารห ปคฺคณฺเห ปคฺคหารห
เล่มที่ผมคัดลอกมานี้ เป็นปีที่ ๒ ฉะบับที่ ๓๒๙ วันศุกร์ที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๔๙๔ บอกราคาไว้ว่า ๕๐ สตางค์
ส่วนที่ว่าทำไมจึงหาข่าวประหลาดเช่นนี้มาลงพิมพ์ และใครเป็นผู้เขียนข่าวทั้งสองนี้ หรืออยากจะทราบต่อไปว่า ผู้เขียนได้ค่าตอบแทนเท่าไร หรือข้อสงสัยอื่น ๆ ก็ควรจะถามไปที่ คุณสละ ลิขิตกุล ซึ่งเป็นอดีตบรรณาธิการผู้รับผิดชอบในขณะนั้น
และดูเหมือนจะเป็นผู้เดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ จนถึงปัจจุบัน เพราะเห็นเขียนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ลงในนิตยสาร อยู่เป็นประจำ
สำหรับตัวผมเอง เมื่อย้อนกลับไปดูกองหนังสือที่วางผึ่งแดด ไว้ที่ลานหน้าบ้านแล้ว ปรากฏว่าไม่มีปลวกเหลืออยู่เลยแม้แต่ตัวเดียว ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้ฉีดยาฆ่าแมลง หรือทำร้ายมันด้วยวิธีการใด ๆ เลย
เมื่อพิจารณาโดยละเอียดแล้ว จึงได้ทราบว่ามีผู้อาสาสมัครมาช่วยขนเอาตัวปลวก ศัตรูที่เป็นมารมาผจญผม ในวันที่ผมตั้งใจจะงดทำบาป ครั้งที่สามของปีนี้ มุดลงใต้ดินไปจนหมดสิ้น
ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่น ที่แท้ก็คือเจ้ามดคันไฟ ที่ชอบขึ้นมาหาอาหารตามตะกร้าทิ้งขยะของผมนั่นเอง
ถ้าอย่างนั้น ศีลข้อหนึ่งของผมก็ยังบริสุทธิ์อยู่น่ะซี
จริงไหมครับท่านมหา.
จากคุณ :
เจียวต้าย
- [
22 มิ.ย. 48 06:13:08
]