"นายมาทำไม!!!" ผึ้งถามอย่างเอาเรื่องทันที ที่เห็นธีร์ทัศน์และก้องภพตะโกนเรียกวสาพร้อมๆ กับเดินพ้นเขตรั้วบ้านพักเข้ามา เธอขับรถพาเพื่อนสาวที่กำลังเสียใจจากรักมาที่บ้านพักริมแม่น้ำแควของเพื่อนตั้งแต่เย็น แต่เธอไม่คิดว่าคู่กรณีของเพื่อนจะตามมาแบบนี้ "ออกไปเดี๋ยวนี้นะ"
"โบว์... เรามาหาโบว์" ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน
"เกลียดเขานัก แล้วมาหาเขาทำไม กลับไปซะ " ผึ้งออกปากไล่อีกครั้ง เธอเจ็บใจที่ชายตรงหน้าทำให้เพื่อนรักของเธอต้องช้ำใจทั้งๆ ที่บอกว่าจะตัดใจ แต่ตั้งแต่มาถึงวสาก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง ร้องไห้...เสียใจ
"ใจเย็นๆ สิผึ้ง แต๊กมันเข้าใจทุกอย่างแล้ว" ก้องภพพยายามช่วยเพื่อนอธิบาย
"นายเงียบไปเลย มันกงการอะไรของนาย" เมื่อไม่เบื่อไม่เมาสมัยเรียนมัธยมฯ มาเจอกัน การปะทะฝีปากก็เริ่มขึ้น
"อ้าว! พูดงี้ได้ไงผึ้ง แล้วถ้าเราถามกลับว่าแล้วมันกงการอะไรของเธอล่ะ"
"ก็โบว์เป็นเพื่อนของฉัน"
"งั้นแต๊กก็เพื่อนเราเหมือนกัน" ก้องภพตอบหน้าตาเฉย
"ไอ้...."
"เราจะมาขอโทษโบว์ แม่เล่าให้เราฟังหมดแล้ว ผึ้งให้เราพบโบว์เถอะนะ" ธีร์ทัศน์พยายามอ้อนวอน
"นี่แกยังมีหน้าไปพบแม่ของโบว์อีกเหรอ ทำกับลูกเขาขนาดนี้แล้วยังไม่ละอายอีก"
"ผึ้ง... เราขอร้อง"
"มันสายไปแล้วแหละ กลับไปเถอะ" ผึ้งพยายามไล่ แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะร่างสูงของสองหนุ่มยังยืนหยัดอยู่กับที่
"ขอร้องเถอะผึ้ง ให้เราพบโบว์เถอะนะ แค่แป๊บเดียวก็ยังดี" ชายหนุ่มพยายามแทรกตัวเข้าไปในบ้าน แต่ผึ้งก็พยายามใช้ตัวดันให้เขาออกไป
"โบว์มันไม่ได้อยู่ที่นี่ กลับไปซะ ก่อนที่ฉันจะเรียกตำรวจ ถึงแม้ว่าเราจะเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน แต่แกทำให้เพื่อนฉันเสียใจมากขนาดนี้ วันนี้ฉันก็จะไม่ไว้หน้านายเหมือนกัน"
"ไม่มากไปหน่อยเหรอผึ้ง แต๊กมันอุตส่าห์ขับรถตามมาถึงกาญจนบุรีเนี่ย แล้วทำไมเธอไม่ให้คนสองคนเขาได้ปรับความเข้าใจกัน เราเป็นคนนอกไม่น่าเข้าไปยุ่ง" ก้องภพแทรกขึ้นมา
"หุบปากของแกไปเลยก้องภพ บอกว่าโบว์ไม่อยู่ก็ไม่อยู่สิ"
"เรารู้ว่าโบว์อยู่ที่นี่ โบว์รักที่นี่มาก เมื่อก่อนทุกครั้งที่มีปัญหาโบว์ก็จะมากที่นี่... ออกมาเถอะโบว์ เรารู้ว่าโบว์อยู่ข้างใน" ธีร์ทัศน์ตะโกนเสียดังลั่น เพื่อหวังจะให้คนที่อยู่ข้างในได้ยินและรับรู้ว่าเขามา
"ก็บอกแล้วไง ว่าโบว์มันไม่ได้อยู่ที่นี่"
"เราไม่เชื่อ!" ชายหนุ่มพยายามแรกตัวให้ผ่านประตูบ้านเข้าไปอีกครั้ง
"เอ๊ะ! พูดไม่รู้เรื่อง" ด้วยความโมโหผึ้งจึงใช้มือทั้ง 2 ข้างผลักธีรทัศน์ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวอย่างแรง จนเขาล้มลงไปกองกับพื้นอย่างไม่เป็นท่า แต่ถึงแม้ว่าลำแขนของเขาจะครูดไปกับพื้นปูนซีเมนท์จนเกิดแผลเลือดไหลออกมาเป็นทาง แต่เขาก็ยังไม่ละความพยายามที่จะเข้าไปพูดผู้หญิงอีกคนที่เขามั่นใจว่าหลบอยู่ในบ้านให้ได้
"โบว์!!!" ชายหนุ่มตะโกนสุดเสียง "เรารู้ว่าโบว์อยู่ข้างใน โบว์จะไม่ออกมาพบเราก็ได้ แต่เราอยากให้โบว์ฟังที่เราพูด เรามาเพื่อขอโทษ เราเข้าใจผิดทั้งหมด เรามันบ้า บ้าที่ไม่ยอมฟังเหตุผลของโบว์ เรามันเจ้าคิดเจ้าแค้น คิดแต่จะทำร้ายโบว์ เรามันเลว!"
"รู้ตัวก็ดีแล้วนี่ กลับไปซะ" ผึ้งรีบพูดสวนออกไป
"แต๊ก!!!" วสาวิ่งออกมาประคองให้ชายหนุ่มลุกขึ้น เธอไม่อาจจะทนยืนฟังอยู่หลังประตูต่อไปได้
"โบว์! โบว์ยอมออกมาหาเราแล้วเหรอ เราอยากจะบอกว่าเราขอโทษ ตอนนี้เรารู้ใจตัวเองดีแล้ว ว่าลืมโบว์ไม่ลง ทั้งๆ ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราพยายามสร้างความแค้นขึ้นในใจเพื่อเป็นกำแพงกันให้โบว์ออกไปไกลๆ แต่วันนี้กำแพงอันนั้นมันถูกทำลายด้วยน้ำตาของโบว์ไปหมดแล้ว และยิ่งเราได้รู้ว่าโบว์รอคอยเรา มันก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกเก่าๆ มันกลับคืนมา" ถ้อยคำขอโทษยาวถูกกล่าวออกมาจากใจไม่หยุด
"โบว์! ลืมไปแล้วเหรอว่าไอ้นี่มันทำให้แกเจ็บ"
"นี่คุณผึ้งขอรับ ให้สองคนเขาคุยกันเอง เราคนนอกไปไกลๆ ดีกว่า" ก้องภพรีบฉุดแขนหญิงสาวให้เดินเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว แม้ว่าผึ้งจะพยายามขืนตัวเอาไว้ แต่ก็ไม่สามารถต้านแรงผู้ชายอย่างก้องภพได้
"เจ็บรึเปล่าแต๊ก" นิ้วเรียวลูบแขนของธีรทัศน์อย่างแผ่งเบา "โบว์ทำแผลให้นะ แต๊กไปรอที่ท่าน้ำก่อนแล้วกัน"
ชายหนุ่มทำตามคำบอกของวสาอย่าโดยดี ลมเย็นพัดเอื่อยอ่อยมาเป็นระยะ ฟ้ากำลังจะสาง แสงทองเริ่มจับขอบฟ้าทางทิศตะวันออก
"ยื่นแขนมาสิ" วสาบอกเบาๆ หลังจากเดินกลับจากไปเอากระเป๋ายาในตัวบ้าน
"โบว์...เรา"
"เดี๋ยวทำแผลเสร็จก็กลับไปแล้วนะ ละครตบตาของแต๊กมันทำให้โบว์หลงเชื่อไม่ได้อีกแล้ว"
"โบว์... ไม่ใช่นะมันไม่ใช่ละคร เราเข้าใจทุกอย่างแล้ว เรารู้แล้วว่าโบว์คิดยังไงกับเรา" ชายหนุ่มอธิบาย
"พอเถอะแต๊ก... โบว์ขอร้องเถอะนะ แค่นี้โบว์ก็เจ็บมากเหลือเกินแล้ว แต๊กยังจะใจร้ายตามมาแก้แค้นกับโบถึงนี่อีกเหรอ"
"ไม่นะ โบว์... เราขอร้องฟังเราก่อน เราเข้าใจโบว์หมดแล้ว เรารู้ว่าเรามันเลว เรามันไม่ดี" มือหนารีบจับมือบางมากุมเอาไว้อย่างรวดเร็ว
"แต๊ก! มือไปโดนอะไรมา ดูสิแตกหมดเลย" วสาร้องถามอย่างลืมตัว
"ทำโทษตัวเอง แต่ช่างมัน... แค่นี้มันยังน้อยเกินไปกับความผิดที่เราทำไวกับโบว์ โอ๊ย... ทำยังโบว์ถึงจะเชื่อเรา"
"โบว์..."
"ข้อร้องนะโบว์ ขอร้อง... ให้เราได้ไถโทษที่ทำกับโบว์ก็ได้ ตบเราก็ได้ ต่อยเราก็ได้ ทำยังไงก็ได้ เรายอมทุกอย่างขอให้โบว์ยกโทษให้เรา"
วสาหลับตาลงอย่างช้าๆ พลางนึกถึงเรื่องราวความสัมพันธ์กับชายตรงหน้าตั้งแต่เริ่มพบกัน เรื่องราวดีๆ ทั้งหลายระหว่างเธอและเขาผุดขึ้นในสมองมากมาย ลมหายใจถูกผ่อนออกมาจากข้างในอกเฮือกใหญ่ ก่อนเจ้าตัวลืมตาแล้วยิ้มกว้าง
"โบว์คงต้องเชื่อคำพูดของแต๊กใช่มั้ย" เธอถามเสียงอ่อน สุดท้ายความรักก็สามารถชนะทิฐิในใจไปได้
"ใช่... โบว์ เราดีใจจังเลย" ธีร์ทัศน์กุมมืออันบอบบางของหญิงสาวไว้แนบบอกอย่างดีใจ สายตาคมจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเธอคนที่เขารัก
"ไม่โกรธโบว์แล้วจริงๆ เหรอ โบว์ทำให้แต๊กต้องเสียใจนะ"
"เรื่องเก่าๆ เราไม่โกรธโบว์แล้ว โบว์ต่างหากต้องโกรธเราที่เราทำไม่ดีกับโบว์"
"โบว์ดีใจที่แต๊กเข้าใจโบว์ ไม่โกรธ ไม่เกลียดโบว์แล้ว" นิ้วเรียวลูบแขนที่เป็นแผลของชายหนุ่มอย่างแผ่วเบา
"เราเข้าใจกันได้ เพราะความรัก" ร้อยยิ้มอบอุ่นบวกกับแววตาเป็นประกายระยับทำเอาแก้มใสของอีกฝ่ายแดงก่ำ
"ไม่เจอกันนาน พูดหวานก็เป็นเหมือนกันนะ" วสารีบกลบเกลือนความอายของตัวเอง
"หวานมาตั้งนานแล้วต่างหาก แต่โบว์ไม่เคยสนใจ"
"โบว์ขอโทษ... ตอนนั้นโบว์มันบ้า"
"ไม่เอา" ธีรทัศน์รีบปราม "อย่าว่าตัวเองอีกนะ ไม่ต้องคิดถึงเรื่องร้ายๆ ในอดีต แค่เมื่อวานเราได้ยินโบว์บอกว่ารักเรา ความเจ็บปวด ความแค้นบ้าบอที่เราก่อขึ้นมันหายไปหมดแล้ว"
"แล้วแต๊กเดินหนีไปทำไม"
"ก็กำลังตกใจไม่คิดว่าจะได้ยิน และยังโกรธอยู่ด้วย แต่ตอนนี้ดีใจมากเลยรู้มั้ยที่ได้ยินคำว่ารักจากโบว์สักที รอมาตั้งนานหลายปี"
"แต่... โบว์" หญิงสาวทำเสียงอึกอัก
"อะไรเหรอ" ธีรทัศน์รีบถามเมื่อเห็นโบว์ทำหน้าเจื่อนๆ
"โบว์ไม่ได้รู้สึกแบบนั้นแล้วแล้ว
"
"ทำไมล่ะโบว์! เพราะยังไม่หายโกรธที่เราพูดไม่ดีกับโบว์เมื่อวานใช่มั้ย โบว์ก็เลยเลิกรักเรา ไม่ได้นะ เราไม่ยอม โบว์ต้องให้อภัยเรานะ เรารักโบว์นะ" ไม่โวยวายเปล่า หากธีร์ทัศน์ยังดึงร่างบางเล็กเข้ามากอดเอาไว้แน่น
"เฮ้ย! แต๊กปล่อยนะ ทำแบบนี้ได้ยังไง" วสาดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดแข็งแรง
"ไม่ปล่อย! เราจะไม่ยอมให้โบว์ไปไหนไกลๆ ตัวเราอีกแล้ว เราโกรธกันมานานแล้ว ถึงวันนี้โบว์จะโกรธจนเลิกรักเรา แต่ยังไงเราก็ทำให้โบว์รักเราอีกครั้งให้ได้"
"ใครบอกว่าโบว์เลิกรักแต๊กล่ะ" เสียงอ้อมแอมดังออกมาจากใบหน้าที่ซุกอยู่กับอกกว้าง
"ก็เมื่อกี้โบว์บอก..."
"ยังฟังไม่จบเลย โบว์จะบอกว่าโบว์ไม่ได้รู้สึกรักธรรมดาๆ แล้ว แต่วันนี้โบว์รักแต๊กม๊ากมากต่างหากล่ะ" วสาเงยหน้ากระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของคนรัก ใบหน้าใสแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย คำพูดนี้เธอรอคอยที่จะบอกเขามาตั้งหลายปี
"โบว์...แกล้งให้เราตกใจนี่ อย่างนี้ต้องลงโทษรู้มั้ย" ธีร์ทัศน์ยิ้มและยิ่งกระชับวงแขนให้แน่นขึ้นอีก เวลาแบบนี้เขาไม่อยากให้ผู้หญิงตรงหน้าอยู่ไกลตัวแม้แต่นิดเดียว
"อะไรกันแต๊ก จะลงโทษอะไร โบว์ไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย" โบว์พยายามเบี่ยงตัวจากวงแขนของชายหนุ่ม แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ จมูกโด่งเป็นสันคลอเคลียอยู่ข้างแก้มใสที่ตอนนี้แดงแปร๊ดถึงใบหู
"ผิด...ไม่รู้ล่ะ เราจะต้องลงโทษโบว์... วิธีไหนดีน้า... เอาอย่างนี้ละกันโบว์ต้องตกลงเป็นแฟนกับเรา" ธีร์ทัศน์ยิ้มหวาน แววตาคมเผยความรู้สึกในใจที่มีให้กับคนที่อยู่ในอ้อมกอดนี้จนหมด
"เอ่อ..." หญิงสาวก้มหน้านิ่ง
"ไม่รู้ล่ะโบว์ห้ามปฏิเสธเราเด็ดขาด เมื่อก่อนโบว์ปฏิเสธเรามาตลอด แต่คราวนี้ห้าม!"
"..."
"ตอบช้าแบบนี้สงสัยจะต้องช่วยเปิดปากให้" ริมผีปากอุ่นก้มลงต่ำหมายจะประทับจูบลงบนกลีบปากสีชมพูหวาน
"แต๊ก!!!" วสาร้องเสียงหลงด้วยความอายพร้อมกับเบี่ยงหน้าหลบ
"ก็แต่งๆ ไปเลย ไม่ต้องมาเป็นฟงเป็นแฟนหันให้เสียเวลาแล้ว เศร้า เหงาทรวงกันมามากแล้วไม่ใช่เหรอ ผลัดกันรออยู่ได้ตั้งหลายปี ตอนนี้ต่างคนต่างเข้าใจกันแล้วก็แต่งงงแต่งงานอยู่กินด้วยกันซะเลยไป จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันสักที" เสียงแชวของผึ้งที่ยืนอยู่ข้างก้องภพตรงหลังต้นไม้ ทำเอาทั้งคู่หันไปมองอย่างตกใจ
"ผึ้งแอบดูเหรอเนี้ย" วสาร้องโวยวาย "แล้วแต่งงแต่งงานอะไรกัน เมื่อกี้ยังไล่แต๊กกลับไปอยู่เลยไม่ใช่เหรอ"
"เราเกลี้ยกล่อมให้ผึ้งกลายมาเป็นพวกแต๊กแล้วล่ะโบว์" ก้องภพพูดเสริมขึ้นมาบ้าง "ผึ้งพาเราไปเดินเล่นทางโน้นดีกว่า ทางนี้ปล่อยให้คู่รักเขาตกลงกับเองว่าจะแต่งหรือไม่แต่ง"
"ดีเหมือนกัน... ตกลงว่าเราแต่งงานกันดีกว่าเลยดีกว่านะ" ธีรทัศน์หันกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูวสาทันทีที่กองเชียร์เดินอ้อมตัวบ้านไปด้านหลัง
"...." ไม่มีคำพูดอื่นใดหลุดออกมาจากปากวสา มีเพียงหยาดน้ำตาแห่งความปิติที่เอ่อล้นและรอยยิ้มกว้าง แต่เพียงเท่านี้ เธอก็ทราบดีว่า ธีรทัศน์ ชายหนุ่มที่เธอรักเป็นที่สุดหัวใจคนนี้จะต้องรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่แฝงออกมาว่า ครั้งนี้เธอไม่มีทางที่จะทำให้เขาต้องรออีกต่อไป...
การรอคอยความรักอาจจะเหมือนวัฎจักรของฝนในฤดูแล้ง
แต่ตราบใดที่ผืนดินยังเฝ้ารอหยดน้ำฝนจากฝากฟ้าอย่างเปี่ยมหวังแล้วละก็
สักวันนึงท้องฟ้าคงยอมโปรยหยดน้ำฝน
ลงมาชโลมความชุ่มช่ำคืนให้แก่ผืนดิน
เพราะไม่ว่ายังไงฟ้าและดินก็เกิดมาเป็นเพื่อเป็นคู่กัน...ตลอดกาล
แก้ไขเมื่อ 23 มิ.ย. 48 22:02:50
แก้ไขเมื่อ 23 มิ.ย. 48 22:01:49
แก้ไขเมื่อ 23 มิ.ย. 48 22:00:57
แก้ไขเมื่อ 23 มิ.ย. 48 21:59:07
แก้ไขเมื่อ 23 มิ.ย. 48 21:54:46