ต้องขอโทษด้วยนะคะ แพ้เทคโนโลยีอย่างแรง ลิงค์ไม่เป็น ไม่แน่ใจว่าจะลิงค์ได้หรือเปล่า
- 3 -
ใช่ เห็นไหม เราต้องทำอะไรบ้างแล้ว พี่โมหันมาพูดกับอุ๋มเมื่อจอดรถเรียบร้อยแล้ว ที่แท้พี่พลก็ไม่ได้ไปไหนไกลเลย ออกจากร้านโบ๊ต มน. ก็ขี่รถข้ามตึกมาอีก 2 บล็อก มาจอดที่หน้าร้านเช่าหนังสือซึ่งรู้สึกว่าจะรู้จักกันดีกับเจ้าของร้านด้วย สังเกตว่ามีการทักทายกันเกรียวกราวเมื่อพี่พลกับเพื่อนเข้าไปในร้าน
เอาไงดีอ่ะ อุ๋มชักจะตื่นเต้น
เข้าไปเลยไหม ไปกระทบไหล่พี่พลหน่อย พี่โมว่าพลางเดินจูงมืออุ๋มเข้าไปข้างใน
เฮ้ย ไม่เอา เขิน ไม่กล้าหรอก อุ๋ม ยึดแขนพี่โมไว้แล้วระล่ำระลักบอก
เฮ้ย ไม่เอาน่า กล้าๆ หน่อยสิว่ะ เข้าไปไม่ตายหรอกน่า พี่พลเขาไม่รู้หรอก คนเข้าร้านตั้งเยอะแยะ ใครเขาจะมาสนใจ พี่โมไม่ฟังเสียง รุนหลังอุ๋มเข้าไปในร้านจนได้
เอ่อ เฮ้ย พี่โม อย่าดันสิ อุ๋มหันมากระซิบกับพี่โม เมื่อถูกดันเข้ามาในซอกตู้หนังสือจนหลังแทบจะชนกับพี่พลที่กำลังยืนเลือกหนังสืออยู่ข้างใน
เฮ้ย พลกลับบ้านเปล่าว่ะ เสียงใครคนหนึ่งในร้านดังขึ้น อุ๋มเดาเอาว่า คงเป็นเพื่อนคนหนึ่งของพี่พล
เออ กลับ กลับพรุ่งนี้ว่ะ เสียงพี่พลตอบ จริงสินะ วันนี้เป็นวันศุกร์ พรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดแล้ว
พี่โม อุ๋มหันไปลากแขนพี่โมออกมานอกร้าน
พี่พลเขาจะกลับบ้านแล้ว อุ๋มจะไม่ได้เจอพี่พลตั้ง 2 วันแน่ะ อุ๋มพูดออกมาอย่างเสียดาย
อ๋อ หรอ อืม อ้อ นึกออกแล้ว พี่โมอุทานออกมาแล้วยิ้ม เมื่อหันไปเห็นรถมอเตอร์ไซค์คู่กายของพี่พล
รถมอเตอร์ไซค์สีเขียวใส มีตระกร้าหน้าสีดำ และที่สำคัญ ทะเบียนรถ กพล 260 ที่จำได้ขึ้นใจ เพราะเคยขี่มอเตอร์ไซค์ไล่ตามมอเตอร์ไซค์ของพี่พลมาหลายครั้งจนเหมือนเป็นสัญลักษณ์ไปแล้วว่าอยากจะหาพี่พลก็มาหาทะเบียนรถนี่แหละ ถ้าเจอกพล 260 ละก็รับรองว่าพี่พลก็คงอยู่ไม่ไกลจากแถวนี้แน่
มอเตอร์ไซค์สีเขียวใสแบบของพี่พลนั้น ในมหาลัย จะมีอยู่ 2 คันที่เหมือนกัน คันหนึ่งเป็นของพี่พล ส่วนอีกคันหนึ่งนั้นเป็นสีเขียวใส มีตระกร้าหน้าสีดำ เหมือนของพี่พลทุกอย่าง จะต่างกันตรงทะเบียนรถเป็น กมล 260 ต่างกันแค่ตัวเดียวเท่านั้น เจ้าของรถคันนี้ เป็นนักกีฬาซอฟบอล อยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์ เอกเครื่องกล ปี 3 ต่างจากพี่พลที่อยู่คณะวิทยาศาสตร์ เอกฟิสิกส์ ปี 4
เนื่องจากสนามซ้อมกีฬาซอฟบอลจะอยู่ติดกับสนามบอล 2 ซึ่งเป็นสนามฟุตบอลที่ใช้สำหรับซ้อมบอล และให้นิสิตได้มาเล่นบอลกันได้แบบไม่เป็นทางการ เพราะฉะนั้น ในเวลาเย็นก็จะเห็นนิสิต 2 พวกอยู่แถวนั้น
พวกหนึ่งเป็นนักกีฬาซอฟบอลที่มาซ้อมสนามสนามทางด้านซ้าย รถมอเตอร์ไซค์ กมล 260 ก็จะจอดอยู่ในหมู่รถมอเตอร์ไซค์ด้านซ้าย
ส่วนอีกพวกหนึ่งนั้นจะมีจำนวนมากและมาจากหลายคณะมาเล่นบอลกันที่สนามด้านขวา พวกเขาเล่นกันอย่างไม่แบ่งพรรคแบ่งพรรคทุกคนเล่นร่วมกันได้โดยไม่มีการทะเลาะกันหรือจะมีอันนี้ไม่ขอยืนยัน พี่พลเองก็มักจะมาเล่นบอลที่สนามนี้ทุกเย็นและจอดรถมอเตอร์ไซค์ กพล 260 ไว้ในหมู่รถมอเตอรไซค์ด้านขวา พวกอุ๋มจึงสับสนเสมอเวลาเจอรถกมล 260 ด้วยว่ามันเหมือนรถพี่พลเหลือเกิน
แต่ยังไง อุ๋มก็ไม่พลาดอยู่แล้ว เพราะเมื่อมองไปที่สนามจะเห็นพี่พลถอดเสื้อเล่นบอลอยู่กับเพื่อนที่สนามบอลด้านขวา ตัวขาวๆ ของพี่พลนั้นโดดเด่นกว่าใครจนไม่พลาดจากสายตาอุ๋มไปได้
ดูดูแล้วพี่พลมีดีอยู่ตรงที่ขาวนี่แหละ เพราะไม่ว่าอุ๋มจะมาดูพี่พลเล่นบอลสักกี่ครั้งก็ยังไม่เคยเห็นเขาทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย นอกจากวิ่งตามลูก หรือไม่ก็เดินตามลูก หรือ หนักเข้าก็ยืนดูซะเลย
ถ้ามีโอกาสได้บอลก็จะเตะเหยาะๆ แหยะๆ หรือไม่ก็โดนเสียบล้มไปนอนอยู่พักใหญ่ ดูเป็นคนที่บอบบางเสียนี่กระไร อุ๋มอยากจะเห็นสักครั้งหนึ่งจริงๆ ว่าพี่พลจะเลี้ยงลูกหลบกองหลัง ไปยิงประตูเต็มข้อในระยะ 18 หลา หรือฟรีคิกสวยๆ แบบใบไม้ร่วง ระยะ 26 หลา แล้วก็เป็นประตูที่สวยงาม จะมีวันนั้นไหมหนอ
นึกอะไรออกหรอ อุ๋มกระซิบถาม
อะอ๋อ เดี๋ยวเรากลับบ้านกันนะ พี่โมตั้งท่าสตาร์ดรถ
อ้าว พี่โม ไหงงั้นล่ะ ก็ชวนมาดูพี่พล แล้วจะกลับบ้านซะง่ายๆ ล่ะ อุ๋มยังไม่ยอมซ้อนท้าย ร้องค้านเสียงหลง
น่า เดี๋ยวมาใหม่ เร็วๆ สิ ชักช้าเสียเวลาจริงๆ พี่โมเร่งขนาดนี้ อุ๋มก็เลยต้องจำใจขึ้นรถซ้อนท้ายพี่โมไป ก็จะไม่ยอมตามใจพี่โมได้ไง ก็เขาคนขับนี่ อุ๋มมันแค่คนซ้อน ถ้าเกิดเขาไม่ขับขึ้นมา อุ๋มก็หมดท่าเท่านั้นเอง
ในจำนวนเพื่อน 4 คน ขวัญ แจง พี่โม และอุ๋ม มีคนขี่รถได้ชำนาญ 2 คน คือ ขวัญ กับพี่โม ส่วนแจงกับอุ๋มนั่นเรียกว่าพอขี่ได้ แต่เรื่องจะเอาเพื่อนซ้อนไปไหนต่อไหนขอเตือนว่าคนซ้อนท้ายต้องคิดให้ดีเพราะสวัสดิภาพของตัวเองคงจะเหลือเพียงแค่ครึ่งเดียว
แจงตัวสูงกว่าพี่โมมาก จึงต้องซ้อนท้ายขวัญซึ่งสูงไล่เลี่ยกัน ส่วนอุ๋มซ้อนท้ายพี่โม เพราะไซน์ไกล้เคียงกันอีกเหมือนกัน เคยมีบ้างที่แจงต้องมาซ้อนพี่โม ซึ่งใครได้เห็นก็คงจะอดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นคนขับที่นั่งอยู่ข้างหน้านั้นขนาดมินิเหลือเกิน เธอเกร็งข้อมือด้วยความแข็งแรง ขณะที่คนซ้อนข้างหลังนั่งเด่นเป็นสง่าเกินหน้าเกินตา เพราะสูงกว่าคนขับมาก
แต่ถ้าวันไหนพี่โมต้องรับซ้อนทั้งแจงทั้งอุ๋ม ก็จะกลายเป็นการทรมานผู้เยาว์อย่างพี่โมมาก เพราะซ้อนคนเดียวก็ว่าจะรับไม่ไหวอยู่แล้ว แต่นี่ซ้อนถึง 2 คน และวิธีซ้อนมอเตอร์ไซค์ของที่นี่ก็แปลกประหลาดกว่าชาวบ้าน เพราะคนซ้อนจะนั่งคนละข้าง เนื่องจากใส่กระโปรงนิสิตจึงไม่สามารถคร่อมได้ ต่างคนต่างนั่งคนละข้าง แล้วยื่นหน้าออกมาไขว้กันทางด้านหลังของคนขับ จึงดูเหมือนใบหน้าคนขับและคนซ้อน 2 คนเรียงกันพอดี จนทำให้หลายคนที่ได้เห็นพากันตั้งสมญาว่าเป็น สามแม่ครัว ไปโดยปริยาย
พี่โมอ่ะ จะรีบกลับบ้านทำไมเนี่ย อุ๋มนั่งบ่นมาตลอดทางจนถึงบ้านเลยทีเดียว แต่พี่โมไม่สนใจ พอจอดรถเรียบร้อยแล้วก็รีบวิ่งขึ้นบ้านไปทันที
บ้านเช่าหลังนี้เป็นทาวเฮาส์หลังแรกของป้าแจ้ว ที่มีกิตติศัพท์ระบือไปไกลในเรื่องของความเค็มขนาดทะเลเรียกพี่
ใครๆ ก็รู้จักป้าแจ้วกันทั้งนั้น ก็แหม เป็นเจ้าของทาวเฮาส์ทั้งแถวเลยนี่ ไม่รู้ว่าพวกอุ๋มทนอยู่ได้ยังไงเหมือนกันกับ
ค่าเช่ามหาโหดของป้าแจ้ว รู้แต่ว่า ถึงเวลาจ่ายค่าหอทีไร แทบจะหมดตัวทุกที
เคยมีเหมือนกันที่พวกอุ๋มจะรวมตัวกันประท้วงป้าแจ้ว เพราะราคาบ้านนั้นสูงกว่าหลังอื่นในละแวกใกล้เคียง แต่พอแกมาปรากฏตัวพร้อมด้วยรอยยิ้มหวานๆ วาจาหวานหู ดูโอบอ้อมอารี อบอุ่น เหมือนคุณป้าผู้ใจดี การพูดจาของป้าแจ้วเต็มไปด้วยความเอื้ออาทร แกสามารถจำคนที่พักอยู่ในบ้านได้ทุกคน เพื่อจะถามถึงให้ทั่วถึง
ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเสียงแข็งหรือขึ้นเสียงกับแกได้ เคยมีคนบอกว่าแกเล่นของ พวกมหาเสน่ห์ หรือนะหน้าทองอะไรพวกนี้ จึงไม่มีใครกล้าหือ ต้องยอมโอนอ่อนให้ทุกครั้งไป แม้ว่าจะสังเกตเห็นรอยเลือดที่หน้าแกจางๆ ก็ตาม อุปปาทานหรือเปล่าก็ไม่รู้
บ้านหลังนี้ ถูกป้าแจ้วแบ่งครึ่งเพื่อจะใช้ประโยชน์ให้เต็มที่ แกขออนุญาตพวกเราแบ่งห้องชั้นล่างสร้างห้องพักอีก 2 ห้อง ทำให้ทาวเฮาส์ชั้นล่างถูกแบ่งเป็น 3 ส่วน เก็บเงินได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยดีนักแล นี่ยังดีที่ชั้นบนแกไม่ขอแบ่งอีก นัยว่าจะมีปัญหาในการก่อสร้างต่อเติม ก็เลยรอดไป ไม่งั้นรายได้ของป้าแจ้วคงจะเพิ่มพูนขึ้นมากกว่านี้
อุ๋มและเพื่อนอยู่บ้านหลังนี้ตั้งแต่อยู่ปี 2 โดยอยู่ห้องชั้นบนที่แบ่งเป็น 2 ห้อง ห้องของอุ๋มอยู่ 4 คนก็ขวัญ พี่โม แล้วก็แจงนั่นแหละ และอีกห้องนึงก็อยู่กัน 3 คน รวมแล้วหลังนึงอยู่ 7 คน เพราะมีตัวหารเยอะนี่แหละที่ทำให้อยู่ได้โดยไม่ต้องขูดเลือดมากนัก
บ้านหลังนี้นอกจากจะแพงแล้วก็ยังมีส่วนดีไม่น้อย เช่นว่า อยู่ตรงส่วนที่เรียกกันว่า สเตเดี้ยม หรือ กลางมอ คืออยู่ตรงประตูกลางของมหาวิทยาลัยใกล้มากแทบจะเรียกว่าใกล้ที่สุดด้วยซ้ำ เพราะอยู่เกือบติดรั้วมหาวิทยาลัยเลย เดินออกไปประมาณ 10 ก้าวก็ถึงประตูแล้ว
แต่จากนั้นจะเป็นถนนติดกับสนามฟุตบอลและ สเตเดี้ยม จึงมีคนเรียกกลางมอว่าสเตเดี้ยมอีกชื่อหนึ่ง ระยะทางจากประตูก็ค่อนข้างไกลเหมือนกัน จึงเป็นเหตุผลที่เด็กที่นี่ต้องมีรถมอเตอร์ไซค์ เพราะพื้นที่ของมหาวิทยาลัยกว้างใหญ่มาก จนไม่สามารถเดินถึงกันได้ง่าย แค่เดินระหว่างตึกก็ถึงหอบแล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าจะเทียบจริงๆ ก็นับว่ากลางมอนั้นใกล้กว่า หน้ามอ ซึ่งอยู่ติดถนนใหญ่ติดประตูใหญ่ของมหาวิทยาลัย และหลังมอที่ติดประตูหลังของมหาวิทยาลัย เวลาไปเรียนจึงไม่มีปัญหา ขี่
มอเตอร์ไซค์ 5 นาทีก็ถึงแล้ว แถมอยู่ในแหล่งที่เจริญแล้ว ทั้งอาหารการกิน และสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหลาย และที่สำคัญยังมีความสงบอยู่มาก
ว่ากันว่าที่นี่เป็นแหล่งของคนมีอายุ คือเด็ก ปี 3 อย่างพวกอุ๋ม กับเด็กปี 4 ที่ต้องการปลีกวิเวก คนที่มีอายุในที่นี้หมายถึงอายุของนิสิตมหาวิทยาลัย ที่จะมีอายุกันคนละ 4 ปีส่วนคนที่เกินก็พอหยวนๆ กันได้ ปี 3 ปี 4 ถือเป็นวัยกลางคนค่อนไปทางชราภาพแล้ว
ที่นี่ไม่วุ่นวายคึกคักเหมือนหน้ามอ ซึ่งเป็นที่ของหนุ่มสาวโดยแท้ เด็กปี 1 ปี 2 วัยกำลังสดใสน่ารักมักจะมาอยู่หอที่หน้ามอ ซึ่งเจริญที่สุดในมหาวิทยาลัย ส่วนหลังมอจะคึกคักไม่แพ้กัน เพราะที่นั่นเหมือนเป็นตลาดย่อมๆ เลยที่เดียว
ถ้าจะเปรียบหน้ามอก็ประมาณสยาม คือวัยรุ่นเยอะมีแสงสี มีความพลุกพล่าน มีแฟชั่นและความสวยงาม หลังมอก็เหมือนจตุจักร หรือ อ.ต.ก. คือมีคนทุกชั้น มีความถูก มีของหลากหลาย และที่สำคัญเป็นแหล่งอาหารมากมายที่ใครๆ ก็ต้อง ติดใจ
ส่วนกลางมอก็คงจะประมาณ เวิลด์เทรดหรือเกษรพลาซ่า คือเป็นแหล่งคนที่มีอายุ กลางมอจึงไม่พลุกพล่านมีของหลากหลายเหมือนกันแต่ทุกอย่างแพงและมีระดับ หอที่กลางมอมีราคาสูง และมีคุณภาพดี แต่ที่สำคัญความสงบคือสิ่งที่ทำให้อุ๋มและเพื่อนพอใจ
พี่โม อ้าว จะรีบไปเข้าห้องน้ำก็ไม่บอก
อุ๋ม ขึ้นมานี่เร็วๆ เสียงพี่โมตะโกนเรียก
ทำไมหรอ กระดาษทิชชูหมดหรอ เดี๋ยวหยิบให้ อุ๋มลากขาขึ้นบันไดไปอย่างเกียจคร้าน แต่พอขึ้นมาถึงที่ปรากฏว่าพี่โมอยู่ในห้องกำลังค้นอะไรกุกกัก
อ้าว นึกว่ารีบมาเข้าห้องน้ำถึงขนาดทิ้งพี่พลมาเฉยเลย รู้งี้ให้มาคนเดียวก็ดีหรอก เสียดายจะตาย อุ๋มยังบ่นไม่เลิก แต่พี่โมไม่สนใจ หยิบกระดาษมาตัดเป็นชิ้นพอเหมาะ แล้วหาปากกาสีเทาที่มีเหลือบแวววาวขึ้นมา นั่งนิ่งอย่างใช้ความคิด
ทำอะไรน่ะ
อ้าว ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่ทันได้ดู มาช่วยกันคิดหน่อยสิว่าจะเขียนอะไรถึงพี่พลดี พี่โมหันมาบอกหน้าตาเฉย
อะไรนะ จะทำอะไรนะ อุ๋มอุทานอย่างไม่เชื่อหู
เขียนจดหมายถึงพี่พลแล้วเราก็เอาไปติดไว้ที่รถเค้า แบบเป็นปริศนาไง ชั้นว่าเค้าต้องสนใจแน่เลย
ติดไว้ที่รถหรอ จะดีหรอ เผื่อเค้าจับได้ล่ะ อุ๋มไม่ค่อยเห็นด้วยกับวิธีการอันพิลึกพิลั่นของพี่โม
เราไม่บอกว่าเป็นใครไง ให้เค้าสงสัยเล่น แต่เค้าต้องรู้ว่ามีคนแอบสนใจเค้าอยู่ เป็นไง ดีเปล่า พี่โมหันมายิ้มให้กับความคิดอันเลอเลิศของตัวเอง อ้อ นึกออกแล้ว เค้าจะกลับบ้านใช่ไหม เขียนงี้ดีไหม พี่โมเขียนข้อความลงในกระดาษ แล้วส่งให้อุ๋มดู
ขอให้กลับบ้านโดยสวัสดิภาพนะคะ แล้วก็เควสชั่น
มาร์ค หรอ จะดีหรอ อุ๋มอ่านข้อความแล้วทำหน้าพิลึก
แล้วทำไมจะไม่ดีล่ะครีเอทจะตาย พี่โมพูดอย่างภูมิใจ
จะเอาไปติดเลยหรอ อุ๋มยังทำหน้าแปลกๆ
ยัง ต้องรอให้ถึงยามวิกาลก่อนสิ เรื่องนี้จะให้ใครรู้ใครเห็นไม่ได้เด็ดขาด
ตอนที่ 1
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W3558048/W3558048.html
ตอนที่ 2
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W3560624/W3560624.html
จากคุณ :
ชมเช้า
- [
24 มิ.ย. 48 15:28:20
A:unknown X:unknown, 202.28.62.70
]