ตามธรรมเนียม...คุยกันก่อน
เรื่องนี้เป็นเรื่องเก่าที่ชื่อว่า "ปริศนาลึกลับของไนเจล" น่ะค่ะ นำมารีไรท์และเปลี่ยนชื่อใหม่ จะเป็นเรื่องสั้นแนวลึกลับที่มองผ่านมุมมองของคนเล่าเรื่อง (ตัวเอก) คือ "เอล"
เรื่องนี้เป็นซีรีย์เรื่องสั้นทั้งหมด 10 ตอนจบ ซึ่งจริงๆ แล้วก็เขียนเพิ่มมาอีก 5 เรื่องแล้วแต่มีปัญหาตรง Timing คือการเรียงเวลา เลยไม่รู้จะยัดเอา 5 เรื่องนั้นไว้ตรงไหน เลยขออนุญาตเอามาลงเรื่อยๆ ก่อนนะคะ แล้วถ้าใกล้จบแล้วคงมีอะไรในหัวขึ้นมาบ้าง สำหรับใครที่อ่านแล้วยังไม่เข้าใจแนวเรื่องทันที คิดว่าพอตอนที่ 2-3 คงจับทางถูก
^^' ออกตัวไว้เสมอว่าไม่ถนัดเรื่องสั้น ต้องลองดู
========
:<>:<>: ปริศนาของเอล :<>:<>:
เรื่องที่ 1 ซินเดอเรลาสีเลือด
เวลาที่ก้มดูได้จากนาฬิกาข้อมือคือ 4 ทุ่ม 15 นาที
ดึกมาก
ถ้าเด็กผู้หญิงอายุสิบหกปีปกติจะยังอยู่นอกบ้าน แต่ฉันยังคงเตร็ดเตร่อยู่บนถนนทอดสู่ชานเมืองอันเงียบร้าง ไร้ผู้คนกับอังเดร เพื่อนสนิทตั้งแต่ยังเด็ก
"ดึกแล้วนะเอล กลับบ้านเถอะ" เขาเอ่ยขึ้นในขณะถีบจักรยานช้าๆ ไปตามไหล่ทาง โดยมีฉันยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ผ่านถนนมืด มีแสงไฟรายทางสีส้มส่องลงมาที่ถนนเป็นระยะ พร้อมเสียงโซ่จักรยานที่ไม่ได้หยอดน้ำมันดังเอี๊ยด
อ๊าด
ตลอดเวลา
"ไม่ต้องรีบหรอกอัง ฉันยังอยากชมเมืองยามดึกอีกหน่อย มันเงียบดี"
แต่ฉันไม่ชอบความเงียบของเธอนักหรอก" อังเดรต่อบท "เพราะฉะนั้น อีกเดี๋ยวฉันจะทำให้มันหายเงียบเอง
ฉันรู้
ว่าเขารู้อะไรมากกว่าคนอื่น จึงมักพูดอะไรเป็นนัยเมื่อเราอยู่ด้วยกันตามลำพัง ในเมืองที่ความเจริญเริ่มย่างเท้าเข้ามาขับไล่ธรรมชาติที่มีอยู่เดิมอย่างเมืองที่เราอยู่ มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นมากพอแล้ว เขาถึงไม่อยากให้ฉันอยู่ข้างนอกในเวลาดึก และสิ่งที่เขาพูด
เรื่องที่จะทำให้ความสงบหายไปนั้น อังเดรสามารถทำได้จริง เนื่องเพราะเขาเป็นหัวหน้าแก๊งมอเตอร์ไซค์ซิ่งรุ่นที่สามซึ่งใหญ่ที่สุดในเมือง สามารถเรียกประชุมพลแล้ววิ่งแข่งกันไปตามถนนหลวง เสียงดังสนั่นจนชาวบ้านให้ไม่ได้หลับได้นอน
ฉันไม่รับรู้หรอกว่าเขาต้องก่อกวนเมืองเดือนละกี่วันถึงจะพอ แต่ก็ปล่อยให้เขาพาฉันบ่ายหน้ากลับบ้านโดยไม่ทักท้วงอะไร
แสงไฟรายทางสีส้มบนเสาสูงเริ่มทิ้งระยะเมื่อห่างตัวเมืองมาเรื่อยๆ จนเกิดความมืดสลับความสว่างเป็นช่วงๆ กระทั่งถนนเริ่มชันขึ้นน้อยๆ เป็นสะพานคอนกรีตข้ามคลอง อันเป็นสัญลักษณ์ว่าใกล้จะถึงบ้านเข้าไปทุกขณะ
อังเดรถีบจักรยานเอี๊ยด อ๊าดข้ามสะพาน เมื่อถึงกลางทาง ฉันเห็นเงาตะคุ่มกลุ่มหนึ่งอยู่แถวตีนสะพานเบื้องหน้า จึงชี้ไปตรงนั้นซึ่งมีทางดินลาดลงสู่แม่น้ำข้างล่าง
"เฮ้ อัง นั่นอะไรน่ะ?"
อังเดรน่าจะเห็นเหมือนที่ฉันเห็นเพราะเขาพยักหน้าแต่ก็ค่อยๆ ถีบจักรยานไปเรื่อยๆ เหมือนไม่คิดจะเดือดเนื้อร้อนใจอะไร ทว่าใกล้เงากลุ่มนั้น เขาจอดจักรยานแล้วส่งเสียงตวาดเกรี้ยวกราดใส่ทันที
"เฮ้ย! พวกเอ็งเป็นใครวะ!"
คนในเงาหันขวับกลับมาด้วยอาการสะดุ้ง
พอสายตาเริ่มปรับเข้ากับความมืดของคอสะพาน ฉันเห็นผู้ชายสามคนยืนล้อมใครอีกคนหนึ่ง ซึ่งคนๆ นั้นเป็นเด็กผู้หญิงที่ฉันรู้จักดี
"เทรช ไบรอัน?
ทันทีที่เรียก เด็กผู้หญิงผมสีบลอนด์อ่อนยาวเหยียดตรงคนนั้นก็รีบแหวกวงล้อม โผเข้ามาหาฉันแล้วกอดแน่น ก่อนจะร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวสั่นเทิ้ม เหมือนลูกนกตอนเพิ่งฟักออกจากไข่ นอกจากนี้
เสื้อผ้าของเธอขาดกะรุ่งกะริ่งยิ่งกว่าผ้าขี้ริ้ว พออังเดรเห็นจึงตวัดดวงตาดุๆ ไปที่ชายวัยรุ่นสามคนนั้นแล้วตะคอกซ้ำ
"อย่าบังอาจมาทำบัดซบในเขตของข้านะโว้ย! ไปให้พ้น ไป!"
ชายวัยรุ่นสามคนนั้นหันมาซุบซิบกันพร้อมมองเพื่อนตั้งแต่ยังเด็กของฉันอย่างเกรงๆ ก่อนจะพากันไถลลงไปตามทางดิน ใช้เส้นทางเลียบฝั่งแม่น้ำด้านล่างหนีไป
ฉันคิดว่าเรื่องในคราวนี้น่าจะจบได้พร้อมเสียงหนักแน่นเฉียบขาดของอังเดร แต่ฉันคิดผิดไป
เรื่องของเทรซ ไบรอัน ผู้น่าสงสารยังไม่จบลง
"อรุณสวัสดิ์ค่ะ หัวหน้าห้อง!"
เจสสิน่า ทาเบอนี่ ทักทายฉันอย่างร่าเริงในเช้าวันรุ่งขึ้น ขณะฉันกำลังเดินเข้ามาในโรงเรียน
ด้วยความที่เธอคนนี้น่ารักราวตุ๊กตาเชื้อพระวงศ์ชาวฝรั่งเศส ฉันจึงยิ้มให้เธอแล้วกล่าวทักทายตอบ
อรุณสวัสดิ์ มิสทาเบอนี่ วันนี้มาเช้าจังนะ
"ค่ะ หัวหน้า พอดีเมื่อคืนนอนเร็ว ไม่ทราบคุณรับประทานอาหารเช้ามาหรือยังคะ ดิฉันยังไม่ได้รับเลย ถ้ายังเหมือนกัน เดี๋ยวเราไปที่โรงโภชนาการด้วยกันนะคะ?"
เธอชักชวนอย่างร่าเริงด้วยเสียงหวานแจ้วเหมือนนกร้องเพลงยามเช้า ดวงตาสีฟ้าใสของเธอพราวระยับราวสามารถหัวเราะแทนเจ้าตัว ซ้ำเมื่อลมพัดมา แล้วทำให้ผมสีบลอนด์ทองหยักเป็นลอนของเธอไหวขยับระผิวหน้าใสผมชมพูหมดจด ยิ่งทำให้เด็กคนนี้ดูน่ารักเหมือนตุ๊กตาแก้วที่น่าทะนุถนอมมากขึ้น
มิสทาเบอนี่เป็นลูกคนมีเงินและเคยเรียนในโรงเรียนหรู ดังนั้น เมื่อแรกรู้จักกัน ฉันจึงนึกอยากถามว่าทำไมต้องเธอมาเข้าเรียนที่โรงเรียนสตรีระดับกลางอย่างที่นี่ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ถามสักที เพราะคิดๆแล้ว มันไม่ใช่เรื่องที่ฉันต้องรู้เลย
เราเดินขึ้นตึกเรียนมัธยมปลายด้วยกัน โดยเธอเป็นฝ่ายคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ฉันฟังจนมาถึงห้องเรียนประจำ นึกไม่ถึงว่าเมื่อเปิดประตูห้องเข้ามาจะได้พบมิสไบรอันกำลังจัดดอกไม้ดอกเล็กๆ สีขาวชวนมองใส่แจกันอยู่ที่โต๊ะอาจารย์หน้าห้อง
"อรุณสวัสดิ์ มิสไบรอัน?" ฉันทักก่อนอย่างฉงน เนื่องเพราะฉันคิดว่าการเจอเรื่องเมื่อคืน น่าจะทำให้เธอกลัวจนหยุดเรียน
คนโดนเรียกหันมายิ้มซีดๆ รับ
"อรุณสวัสด์ค่ะ หัวหน้า"
แต่ครั้นเทรซ ไบรอันมองข้ามไหล่ฉันแล้วเห็นอีกคนหนึ่ง สีหน้าของเธอเปลี่ยนทันควัน และในขณะเดียวกัน ทาเบอนี่ก็กระเถิบขึ้นมายืนคู่ฉัน
อ้าว มิสไบรอัน นี่เธอมาถึงเป็นคนแรกหรือนี่?"
"คะ ค่ะ"
ไบรอันอ้อมแอ้มตอบแล้วหอบเศษใบไม้เดินผ่านเราออกไปด้วยความรีบร้อน เป็นเหตุให้มิสทาเบอนี่บ่นเสียงดังเมื่อลับหลังอีกฝ่าย
"อะไรกันนะ ผู้หญิงคนนี้! ไร้มารยาทสิ้นดี!
ว่าแล้วแม่ตุ๊กตาเชื้องพระวงศ์ชาวฝรั่งเศสผู้น่ารักก็ฉวยกระเป๋าของฉันไปเก็บไว้ที่โต๊ะให้ เพราะเรานั่งติดกันที่ตัวหลังสุด ก่อนจะกลับมาหาฉันอีกครั้งด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนไม่ใช่คนที่เพิ่งว่าคนอื่นเมื่อครู่
"หัวหน้าห้องคะ เราไปรับประทานอาหารเช้ากันเถอะค่ะ" เธอพูดพลางยื้อแขนฉันให้ออกเดิน ซึ่งเป็นกิริยาที่เธอมักจะทำกับคนมีชื่อเสียง เช่น แชมป์เปียโนระดับจังหวัด ประธานหรือกรรมการในสภานักเรียนเสมอ ก่อนที่เราจะได้มาเรียนห้องเดียวกัน
พวกเราเดินออกมาตามระเบียงยาวที่ทอดผ่านหน้าห้องเรียนอีกหลายห้อง จนพบเข้ากับมิสไบรอันอีกครั้งที่หน้าห้องน้ำมุมอาคาร และเด็กสาวคนข้างๆ ฉัน
ก็ยังคงเพียรทักทายอีกเช่นเคย
"อ้อ...มิสไบรอัน ไปทานอาหารเช้ากันไหม?
มิสไบรอันรีบส่ายหน้าปฏิเสธน้อยๆ พลางพับผ้าเช็ดหน้าเปียกชื้นใส่กระเป๋ากระโปรง แต่คนชวนยังคะยั้นคะยออีก
"ไปด้วยกันเถอะค่ะมิสไบรอัน รับประทานอาหารเช้าด้วยกันหลายคนสนุกดี แล้วฉันจะเรียกทุกๆ คนมาร่วมโต๊ะด้วย"
เจสสิน่า ทาเบอนี่เป็นเด็กดีมากที่พยายามจะดึงเทรซ ไบรอันให้เข้ามาร่วมสมาคมด้วย แต่ฉันเห็นว่ามันคงไร้ประโยชน์
และฉันก็เดาถูก
เมื่อเด็กสาวผมสีบลอนด์อ่อนปฏิเสธและรีบขอตัวจากไป ทำให้ทาเบอนี่ต้องบ่นตามหลังเป็นครั้งที่สองในรอบเช้า
แหม...แย่จังไม่มีมนุษย์สัมพันธ์เอาเสียเลย เพิ่งจะย้ายมาได้ไม่เท่าไรน่าจะหาเพื่อนไว้เยอะๆ แต่ช่างเถอะ เราไปกันเถอะค่ะหัวหน้า"
เพราะรอยยิ้มใสซื่อกับใบหน้าที่สวยน่ารักของทาเบอนี่ตอนหันมา ทำให้ฉันเลิกคิดว่าเธอตั้งใจว่าเทรช ไบรอันอย่างจริงจัง
ความจริง....เทรช ไบรอันเองก็ดูมีเค้าว่าน่ารัก ออกจะดูเผินๆ แล้วเหมือนทาเบอนี่ด้วยซ้ำ ทั้งสีผมสีตา ถ้าเพียงใบหน้าซีกขวานับจากกลางเบ้าตาจรดใบหูของเธอจะไม่มีแผลเป็นย่นๆ สีดำเหมือนโดนไฟเผา เธอเลยต้องนำผมยาวมาปกปิดไว้ กระทั่งว่าเมื่อมองไปคราใด จะเห็นหน้าเพียงซีกเดียว
ฉันยังจำได้ดีถึงวันที่เทรซ ไบรอันย้ายมาที่นี่ วินาทีแรกที่เด็กคนนั้นมาปรากฏตัวหน้าห้องเรียน เจสสิน่า ทาเบอนีที่นั่งติดฉันถึงกับหน้าซีด
ตอนนั้น ฉันคิดว่าทาเบอนี่ไม่สบายจึงอาสาพาไปห้องพยาบาลทั้งที่กำลังมีการแนะนำตัวเทรซ ไบรอัน
ทว่า ตอนที่ฉันเปิดประตูห้องจนมันกว้างพอที่จะทำให้ลมพัดเข้ามา ผมที่ปรกหน้ามิสไบรอันไว้ครึ่งหนึ่งก็ถูกพัด เผยให้เห็นแผลเป็น
เรียกเสียงกรีดเบาๆ ของเพื่อนในห้องให้รวมกันแล้วดัง
แผลเป็นของมิสไบรอันนั้นน่าเกลียด น่าขยะแขยงมาก ประหนึ่งว่าเธอมีใบหน้าสองภาค ภาคหนึ่งเป็นของนางฟ้ากับอีกภาคหนึ่งเป็นของปิศาจอันน่าสะพรึงกลัว
ทาเบอนี่ที่ฉันพยุงอยู่ถึงกับเข่าอ่อนแทบจะทรุดฮวบ ส่วนเทรช ไบรอันเองก็คงตกใจที่คนอื่นเห็นสิ่งที่พยายามปกปิดของตน จึงก้มหัวงุดตัวสั่น กว่าที่อาจารย์จะสั่งให้เด็กใหม่ไปนั่งที่โต๊ะตัวหน้าสุดซ้ายมือก็ใช้เวลาอยู่หลายอึดใจ
ดังนั้น พอเมื่อคืนฉันพบไบรอันประสบเหตุร้ายในลักษณะนั้นจึงรู้สึกว่ามันแปลกดี เช้านี้อยากจะมาถามแต่ไม่สบโอกาสสักที จนตอนนี้ ฉันมีคนที่ไม่ได้ถามที่มาแล้วสองคน
อังเดรถีบจักรยานมารับฉันที่หน้าโรงเรียนในตอนเย็น ทั้งที่ปกติ เขาจะไม่มีทางโผล่หน้าตาหล่อเหลา คมคายเหมือนพระเอกละครเวทีตอนอายุ 16 ของเขามาให้เด็กๆ โรงเรียนฉันเห็นขณะเพิ่งเลิกเรียน
"แปลกนะ
" ฉันรำพึง แต่อังเดรยืนจ้องหน้าฉันครู่หนึ่ง ก่อนจะหันท้ายจักรยานให้เป็นเชิงบังคับแล้วไขข้อข้องใจให้ว่า
"เมื่อคืนอยู่ๆ พาเด็กผู้หญิงเสื้อผ้าถูกฉีกขาดเหมือนผ้าขี้ริ้วไปที่บ้าน คุณน้าเลยให้มารับ"
ฉันแอบคิดทันทีว่าคงไม่ใช่เสียกระมัง ทั้งแม่และอังเดรชอบระแวงสิ่งที่ฉันคิดเป็นปกติ ดังนั้น แม้จะปฏิเสธว่าฉันไม่รู้เรื่องและไม่ได้คิดอะไรกับเด็กผู้หญิงเสื้อแสงโดนฉีกขาดเมื่อคืน แม่กับอังเดรก็คงไม่เชื่อ หลักฐานคือการที่อังเดรมารับถึงหน้าโรงเรียนในตอนฟ้ายังสว่างโร่ แต่ฉันคร้านจะเถียง
จึงยอมปีนขึ้นซ้อนหลัง
ระหว่างที่เขาถีบจักรยานที่ยังคงส่งเสียงดังเอี๊ยด อ๊าดไม่หายออกจากกลางเมือง มุ่งสู่ถนนทอดออกชานเมืองซึ่งเป็นทางกลับบ้าน ฉันชวนเขาคุยเรื่องงานสถาปนาโรงเรียนที่กำลังจะจัดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า
"งานโรงเรียนปีนี้ มีละครเวทีเรื่องซินเดอเรลาด้วยล่ะอัง"
"เธอเล่นด้วยหรือเปล่า"
"อือ มันเป็นละครที่ทุกชั้นปีต้องร่วม"
"ชมรมการแสดงคงเจาะจงให้คนบางคนเล่นบทเจ้าชาย!"
เขาล้อเลียนด้วยการตวัดเสียงสูงในตอนท้ายเป็นทำนองเพลง
ฉันชินเสียแล้วกับการที่อังเดรเดาเรื่องของฉันถูกเสียเป็นส่วนใหญ่
"ไม่เถียงจ้ะ... เออ ว่าแต่เรื่องเมื่อคืน
"
"พวกเด็กเกเรที่เซนต์เอส" เขาตอบทันทีอย่างรู้ใจ "แต่มันก็คงแค่ขู่เล่นมั้ง ถ้าคิดจะเอาจริงคงไม่มาทำอะไรกันตรงตีนสะพานหรอก คนผ่านมาต้องเห็น..."
"คนต้องเห็นเหรอ?"
"เห็นสิ"
ฉันอยากจะเรียกเขาว่าพ่อนักสืบคนเก่งแต่ยังปากหนักอยู่ตามนิสัย
พอพ้นถนนหน้าโรงเรียนเข้าสู่ย่านร้านค้า อังเดรถีบจักรยานอย่างเอื่อยเฉื่อยผ่านร้านรวงต่างๆ ไปได้สักพัก ก็หยุดรถที่หน้าร้านอาหารตามสั่งร้านหนึ่ง
"อะไร หิวเหรออัง"
เขาไม่ตอบ
ดึงฉันลงจากรถจักรยานแล้วหยิบเหรียญเงินออกมาจำนวนหนึ่ง ส่งให้ หลังจากนั้น ดึงหมวกมีปีกสีดำที่เหน็บไว้ตรงขอบเอวกางเกงสวมลงบนศีรษะฉัน ไม่พอยังถอดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นตัวนอกเหม็นเหงื่อให้สวมทับเสื้อนักเรียน
"เอลไปซื้อโค้กที่ร้านฟาสต์ฟู้ดใกล้ร้านถ่ายรูปมาให้ฉันแก้วหนึ่ง แล้วลองมองไปโต๊ะด้านในสุดหลบมุมหลังเสา ตรงกันข้ามกับกระจกหน้าร้านบานที่สามสิ"
แม้เขาจะไม่บอกสาเหตุของการไหว้วานอย่างกะทันหันเช่นนี้ แต่อังเดรเป็นคนทำอะไรมีเหตุผล ฉันจึงยอมเดินเข้าไปในร้านขายแฮมเบอร์เกอร์แล้วกลับมาอีกครั้งพร้อมโค้กแก้วใหญ่ในมือ
"เก่งจริงนะ เห็นข้างหลังยังจำมิสเจสสิน่า ทาเบอร์นี่ได้อีก" ฉันกระเซ้าเขาแล้วส่งแก้วน้ำอัดลมให้
อังเดรรับไปดูดหลายอึกใหญ่พลางจ้องฉันอย่างพยายามสังเกตสีหน้า แต่เขาคงจับพิรุธฉันไม่ได้จึงกระตุกยิ้มมุมปาก
"ฉันไม่ได้หมายถึง เธอ ฉันหมายถึงพวกผู้ชายนั่นต่างหาก บอกไปหรือยังว่าเซนต์เอสนี่เป็นโรงเรียนสหศึกษาอย่างหรูเมืองข้างๆ"
"ยัง"
"ก็แค่เห็นว่าสามคนนั้นมากินแฮมเบอร์เกอร์กับเจสสิน่า ทาเบอนี่ถึงที่นี่ เลยคิดว่าจะรู้จักกัน"
พูดเสร็จ อังเดรชวนกลับบ้านโดยไม่เอ่ยอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นอีก
แก้ไขเมื่อ 29 มิ.ย. 48 08:29:48
แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 48 16:53:19
จากคุณ :
ฯคีตกาล
- [
27 มิ.ย. 48 16:50:59
]