CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    ชายผู้เป็น...นักอนุรักษ์

    ประท้วงบานปลาย จะเอาสวนไม่เอาห้างฯ

    “ตอนนี้กลายเป็นประเด็นข่าวร้อนไปแล้วนะคะ กับเรื่องที่นายทุนต้องการนำพื้นที่สวนสาธารณะไปสร้างห้างสรรพสินค้า ซึ่งทำให้เกิดการประท้วงจากประชาชนในท้องที่และกลุ่มนักอนุรักษ์ที่ต้องการให้ใจกลางกรุงเทพฯ มีพื้นที่สีเขียวสำหรับการพักผ่อน”

    “ใช่ครับ ที่จริงเรื่องนี้เกือบเงียบไปแล้ว แต่โชคดีมีคนทำหนังสือถึงผู้ว่าฯ และเขียนจดหมายไปยังสื่อต่างๆ จนทำให้เรื่องนี้เป็นกระแสสังคมขึ้นมา ไม่อย่างนั้นป่านนี้กรุงเทพฯ คงต้องเสียสวนสาธารณะไปอีกแห่ง... ส่วนความคืบหน้าจะเป็นอย่างไร ผู้สื่อข่าวของเราได้ติดตามมาให้ท่านแล้วครับ”

    จบเสียงผู้ประกาศทั้งสอง หน้าจอโทรทัศน์ก็เปลี่ยนเป็นภาพเหล่าผู้ชุมนุมเกือบร้อยคนกำลังถือป้ายประท้วงที่มีข้อความต่างๆ ทั้งด่าทอ เสียดสี วิงวอนต่อกลุ่มนายทุนที่บริเวณหน้าสวนสาธารณะซึ่งมีแผ่นป้ายโครงการการก่อสร้างห้างสรรพสินค้าตั้งอยู่  พร้อมกับจับภาพไปยังผู้สื่อข่าวที่กำลังสัมภาษณ์คุณลุงวิสุทธิ์หนึ่งในแกนนำของผู้ชุมนุม

    “ลุงว่าห้างมันมีมากเกินความต้องการของคนกรุงเทพฯ แต่สวนสาธารณะนี่สิที่เรายังขาด แล้วนี่นอกจากขาดเรายังคิดทำลายอีกเหรอ” ชายผู้สูงวัยกล่าวเป็นเชิงคำถาม

    “แล้วถ้านายทุนไม่ยอมล่ะครับ” ผู้สื่อข่าวถามรุก

    “ไม่ยอมก็ไม่ยอม ผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน ให้มันรู้ไปว่าเงินกับธรรมชาติอย่างไหนสำคัญกว่ากัน” จบถ้อยคำอันหนักแน่นของแกนนำ ผู้ชุมนุมด้านหลังก็ร้องสนับสนุนเป็นการสรุปก่อนสถานีโทรทัศน์จะตัดภาพไปยังผู้ประกาศข่าวทั้งสองพร้อมกับเปลี่ยนหัวข้อข่าว
    - - - - - - - -

    การชุมนุมยังยืดเยื้อต่ออีกหลายวัน และเมื่อนานเข้ายิ่งกลายเป็นประเด็นข่าวที่น่าสนใจมากขึ้น เพราะหลายรายการได้นำประเด็นนี้ไปถก ไปเป็นสกู๊ป และภายหลังนอกจากประเด็นการชุมนุม นักข่าวยังขุดคุ้ยพบว่า การสร้างห้างสรรพสินค้านี้มีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น มีการทุจริตแบบก่อสร้างกับข้าราชการเป็นผลให้กลุ่มนายทุนต้องชะงักยอมพักเรื่องการก่อสร้าง แต่เหตุผลแท้จริงที่ทำให้กลุ่มนายทุนต้องยอมเพราะกระแสสังคมที่เชี่ยวกรากจนอาจมีผลต่อ
    ภาพลักษณ์ของธุรกิจซึ่งอาจส่งผลต่อธุรกิจอื่นๆ ในเครือ จึงจำใจยอมไหลไปตามกระแสสังคมทิ้งเม็ดเงินมหาศาล
    - - - - - - - -

    เมื่อข่าวเริ่มซาและสวนสาธารณะเปิดให้บริการอีกครั้ง ดูเหมือนจะมีผู้คนเข้ามาพักผ่อนภายในสวนมากขึ้น ทั้งพ่อแม่ลูกมาวิ่ง หรือกลุ่มเพื่อนชวนกันมาออกกำลังกาย แม้กระทั่งภาพของผู้สูงอายุหลายท่านที่มีลูกหลานจูงมาสูดอากาศบริสุทธิ์ ภาพต่างๆ เหล่านี้ได้สร้างรอยยิ้มให้กับกองบรรณาธิการสาว ก่อนบอกให้ช่างภาพเก็บภาพอย่างที่ต้องการ แล้วจึงเดินไปหาผู้สัมภาษณ์ยังสถานที่ที่นัดไว้

    เมื่อพบและทักทายกันสักครู่ กองบรรณาธิการสาวจึงขออนุญาตเริ่มต้นการสัมภาษณ์คุณลุงวิสุทธิ์ ผู้สูงวัยที่เป็นบุคคลในสกู๊ปของเธอ

    “หนูทราบมาว่าคุณลุงวิสุทธิ์เป็นคนแรกที่ต่อต้านการสร้างห้างสรรพสินค้าและเป็นคนที่ส่งหนังสือถึงผู้ว่าฯ และส่งจดหมายไปยังสื่อต่างๆ”  ฟังคำถามจบลุงวิสุทธิ์ก็พยักหน้าน้อยๆ ก่อนตอบด้วยรอยยิ้ม

    “ลุงคงไม่ใช่คนแรกที่ต่อต้านหรอก ลุงเชื่อว่าคนที่ใช้สวนสาธารณะเป็นประจำ พอรู้ข่าวว่าเขาจะเอาสวนไปทำห้าง เค้าต้องรู้สึกต่อต้านทั้งนั้น เพราะเราไม่อยากเปลี่ยนสวนเป็นอย่างอื่น คืออะไรที่ดีมีประโยชน์อยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปเปลี่ยนแปลงมันนี่”

    “แต่คุณลุงเองก็มีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ไม่น้อยเลย” เจ้าของสกู๊ปถามต่อ

    “ก็เพราะลุงเป็นคนเริ่ม ลุงก็ต้องสานต่อจนจบ และลุงเองก็มีแรงพอที่จะทำ” ลุงวิสุทธิ์ยิ้มพลางว่าที่แข็งแรงคงเป็นเพราะมีที่ดีๆ อย่างสวนสาธารณะให้มาออกกำลังกาย ให้มาสูดอากาศบริสุทธิ์

    “คุณลุงคะ ทำไมในขณะที่คนรุ่นราวคราวเดียวกับคุณลุงเค้าอยากพักผ่อน ไม่อยากมีเรื่องวุ่นวายอะไรให้คิดแล้ว แต่คุณลุงกลับมีแรงที่จะต่อสู้เหมือนกับคนหนุ่มสาว...” ผู้ถามหยุดนิดหนึ่ง “ไม่สิ หนูว่าคุณลุงไฟแรงกว่าคนหนุ่มสาวบางคนซะอีก” จบประโยคผู้ถูกถามหัวเราะเหมือนถูกใจกับคำว่าไฟแรง

    “สารภาพตามตรง ที่จริงลุงไม่คิดว่าจะทำให้นายทุนยอมได้หรอก แต่ลุงรู้อย่างเดียวว่ายังไงต้องทำ เพราะว่า...ลุงมี...รู้สึกเหมือนมี...อะไรบางอย่างกับสวนนี้อยู่…” ยังไม่จบคำตอบดี นัยน์ตาของผู้สูงวัยก็แลดูเคร่งเครียด หน้าผากยับย่น กองบรรณาธิการสาวจึงพูดเบาๆ เป็นการต่อประโยคเพื่อให้การสนทนาต่อเนื่อง

    “เรียกว่าความผูกพันหรือเปล่าคะ”

    “เอ้อ...ใช่ ความผูกพัน ลุงอาศัยความผูกพันที่มีต่อสวนนี้ และแรงเฮือกสุดท้ายมั้ง” ผู้ถูกถามยิ้มฝืน “เลยคิดว่าลองสู้ดูซักตั้ง คิดว่า...ยังไงซะ ลุงเองก็อายุมากแล้ว ถ้าจะตาย ก็ขอให้ได้ทำอะไรดีๆ ซักอย่างที่ไม่ใช่แค่...เพื่อเรา....แต่เพื่อคนอื่นด้วย”

    จากนั้นก็มีการซักถามประเด็นอื่นๆ ต่อเรื่อยๆ จนล่วงเลยถึงเวลาเย็น แล้วเมื่อการพูดคุยดำเนินไปจนได้คำตอบครบถ้วน และช่างภาพได้ภาพที่ตนเองต้องการ กองบรรณาธิการสาวจึงขอบคุณชายผู้สูงวัยก่อนลากลับ ระหว่างทางเดินออกจากสวนที่คนเริ่มบางตาลงแล้ว ตากล้องก็แอบบ่นกับเพื่อนร่วมงานว่าคนพลุกพล่านมากอาจได้ภาพที่ไม่สวยนัก ผู้สูงวัยได้ยินจึงบอก

    “ให้พลุกพล่านในนี้ยังดีกว่าไปพลุกพล่านที่อื่นนะ” พลางชี้ให้ดูกลุ่มวัยรุ่น “ดูสิ เมื่อก่อนไม่ค่อยมีเด็กวัยนี้มาสวนสาธารณะหรอกนะ ที่จริงลุงเองก็ต้องขอบใจสื่ออย่างพวกหนูเหมือนกันที่สร้างกระแสให้เด็กๆ นิยมเข้าสวนสาธารณะ  และถ้าไม่ได้สื่อมวลชนช่วย เรื่องสวนนี้ก็ไม่รู้จะเป็นยังไงเหมือนกัน”

    “คุณลุงเกษียณมาหลายปีหรือยังคะ” กองบรรณาธิการสาวชวนคุย

    “ลุงไม่ได้เกษียณหรอก ลุงลาออกก่อนเพราะสุขภาพไม่ค่อยดีน่ะ”

    “แล้วเมื่อก่อนคุณลุงทำงานอะไรเหรอครับ” ตากล้องถามบ้าง

    “ทำงานธนาคารน่ะ นั่นไง” ผู้สูงวัยชี้เมื่อถึงทางออกของสวนสาธารณะ ที่มีถนนขนาดสี่เลนตัดขวางธนาคารกับสวนสาธารณะที่อยู่ตรงข้ามกัน

    “ธนาคารนี้เคยเกิดคดีดังนี่ครับ ที่ว่าเงินหายไปสามสิบล้าน แล้วตอนหลังโจรมันหักหลังฆ่ากันตายเอง ส่วนโจรอีกคนรู้สึกว่า...ทุกวันนี้ยังจับไม่ได้เลย” ช่างภาพพูดถึงสิ่งที่รู้มา เมื่อหันมาเห็นเพื่อนร่วมงานกับผู้สูงวัยสนใจจึงพูดต่อ

    “คุณพ่อผมเคยเล่าให้ฟังน่ะครับ บอกเรื่องมันนานแล้ว...นี่ผมจะพูดทำไมเนี่ย คุณลุงต้องทราบอยู่แล้วล่ะ” เมื่อได้ยินคำพูดกึ่งคำถามเช่นนั้นผู้สูงวัยจึงบอกว่าตนเองเข้ามาทำงานหลังเหตุการณ์นั้น ก่อนตัดบทขอตัวกลับทิ้งให้นักข่าว ช่างภาพ และสวนสาธารณะอยู่เบื้องหลัง
    - - - - - - - - - -

    หลังจากสกู๊ปเรื่อง “ชายผู้เป็น...นักอนุรักษ์” ของคุณลุงวิสุทธิ์ตีพิมพ์ไปได้สองวัน ผู้สูงวัยก็เพิ่งได้รับนิตยสารจากกองบรรณาธิการสาว เมื่ออ่านบทสัมภาษณ์ของตนเองจบ เขาก็วางนิตยสารบนหนังสือพิมพ์  หนังสือพิมพ์ที่นำความโล่งใจมาให้ยิ่งกว่าคราวที่นายทุนยกเลิกการสร้างสวนสาธารณะเสียอีก

    จับตายอดีตวายร้ายปล้นแบงค์

    ผู้สูงวัยหยิบหนังสือพิมพ์มาอ่านทวนโดยจำไม่ได้ว่าเป็นรอบที่เท่าไหร่ แต่เนื้อข่าวนั้นเขาจำได้ขึ้นใจว่าพูดถึงคดีปล้นธนาคารอันโด่งดัง สถานที่ที่เขาเคยทำงานเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน และเกิดเหตุการณ์โจรสามคนปล้นเงินจำนวนสามสิบล้านไป จนภายหลังเกิดการหักหลังฆ่ากันเองในหมู่โจร และคาดว่าโจรที่รอดชีวิตหนีไปกบดานพร้อมกับเงิน และด้วยความชะล่าใจที่คดีใกล้หมดอายุความ ทำให้โจรไม่ทันระวังตัวพบกับตำรวจและยิงต่อสู้กันจนถึงความตายเสียก่อน จากนั้นจึงมีการขยายผลตามหาเงิน

    แต่เพื่อนผู้ตายกลับยืนยันว่าเงินดังกล่าวผู้ตายไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน ซึ่งผู้ตายคิดมาตลอดว่าผู้ที่รู้คำตอบนี้คือหนึ่งในโจรสองคนตายไป และวันเกิดเหตุไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะหลังจากอ่านนิตยสารเล่มหนึ่งจบผู้ตายก็ตะโกนว่า “กูรู้แล้วๆ” ก่อนคว้าปืนออกจากที่กบดาน
    และเสียชีวิตดังข่าว

    เมื่ออ่านจบอีกครั้ง ผู้สูงวัยก็ค่อยๆ วางหนังสือพิมพ์ลงด้วยอาการสั่นเทา พลางนึกถึงเหตุการณ์เกือบยี่สิบปีก่อนที่เขาเคยเป็นผู้จัดการธนาคาร แล้วมีโจรจำนวน 3 คนเข้ามาปล้น  และจับเขาเป็นตัวประกันก่อนยิงทิ้งอย่างโหดเหี้ยม

    เมื่อนึกว่าเขาตาย พวกมันทั้งสามจึงไปยังสถานที่ที่เขารู้จักเป็นอย่างดี กลางดึกเขาเห็นพวกมันขุดแล้วขุดเล่า แล้ววางถุงเงินจำนวนมหาศาลลงในหลุม ด้วยเหตุผลว่าที่ที่ใกล้จุดเกิดเหตุที่สุดจะเป็นที่ที่ใครคาดถึงน้อยที่สุด เพราะสถานที่นั้นอยู่แค่ฝั่งตรงข้ามธนาคารนั่นเอง!

    จากนั้นพวกมันจึงโยนเขาทิ้งข้างทาง แต่ดวงยังแข็งพอเขาจึงมีชีวิตรอดแต่ก็ต้องเจ็บออดๆ แอดๆ บริเวณที่ถูกทำร้ายเสมอ แต่ว่าถึงจะเจ็บกายเท่าไหร่ ผู้สูงวัยในตอนนั้นยังมีแรงพอที่จะกลับไปยังขุมทรัพย์ ลักลอบไปในเวลากลางคืน เปลี่ยนที่ซ่อนมหาสมบัติจากจุดเดิมแต่ยังคงให้อยู่ในสวนสาธารณะด้วยเหตุผลเดียวกับพวกมันที่บอกว่า...ที่ที่ใกล้จุดเกิดเหตุที่สุดจะเป็นที่ที่ใครคาดถึงน้อยที่สุด และตอนนี้เวลาได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง หากไม่เกิดเหตุการณ์ที่นายทุนต้องการใช้พื้นที่สวนสาธารณะเสียก่อน

    ...ส่วนตอนนี้คงต้องจิบกาแฟรออีกซักพัก ไว้ได้เวลาที่เหมาะสม คุณลุงวิสุทธิ์คงมีชีวิตสุขสงบอย่างที่คนวัยเดียวกันต้องการเสียที...

    แก้ไขเมื่อ 03 ก.ค. 48 18:58:58

    จากคุณ : ~ แพนด้า ~ บ้าทะเล ~ - [ 3 ก.ค. 48 18:30:51 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป