ตอนที่ 12
อาริตา มองเหม่อออกนอกหน้าต่าง ถอนหายใจหลายครั้งอย่างเป็นกังวล ลาฟออกเดินทางไปสนามบินไม่ถึงชั่วโมงนี้เอง แต่ใจเธอก็ยังเลือนลอยกับคำตอบของตัวเองคาถามที่หล่อนไม่ทันตั้งตัวทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าลาฟมีใจให้หล่อนนานแล้ว แต่เธอก็แสร้งทำเป็นที่จะไม่สนใจ แล้วยังคบเขาในฐานะเพื่อนสนิทอีกต่างหาก วันนี้ใจเธอยิ่งสับสนการปรากฏตัวของผู้ที่ไม่คาดคิด คำถามที่ไม่คาดไม่ถึง แล้วสิ่งที่สำคัญมันคือคำตอบของเธอเอง ที่ทำให้เธอว้าวุ่นใจ
ที่จริงเธออาจไม่ได้พูดอะไรออกไปด้วยซ้ำนอกจากสบตาที่แสนอ่อนโยนกับเขาแล้วพยักหน้าช้าๆ ลาฟเองก็ไม่พูดอะไรนอกจากดึงเธอเข้ามากอดหลวมๆ
ตั้งแต่ที่ผมเจอคุณวันแรกผมก็รู้ว่าผมอยากกอดคุณแบบนี้
เขากระซิบเบาๆ เธอได้แต่ยิ้มตอบ ยิ้มอย่างเลื่อนลอย
ใช่ ตอนนี้เขาไปแล้ว แล้วปล่อยทิ้งให้หล่อนต้องเผชิญหน้ากับใจของตัวเองที่ว้าวุ่น กับผู้ชายอย่างกีรติภาพในอดีตยังรบกวนจิตใจหล่อนอยู่ แม้ว่าหล่อนคิดว่ามันไม่มีความหมายอะไร แต่เมื่อมาเผชิญหน้ากับเขา ก็ทำให้ใจหล่อนไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
หญิงสาวเดินไปมาที่เก้าอี้โต๊ะทำงาน มองเอกสารบนโต๊ะอย่างไม่มีจิตใจ เธอตัดสินใจลุกขึ้นอีกครั้ง หยิบกระเป๋าถือที่วางอยู่ในลิ้นชักข้างๆ ก่อนเดินออกไปจากห้อง มองวัชระผู้ช่วยเธอเองที่ชะโงกหน้ามายิ้มให้
ฉันจะออกไปข้างนอก ไม่เข้ามาแล้ว มีอะไรฝากข้อความเสียงไว้ อ๋อ...แล้วไม่ต้องโทรเข้ามือถือนะ
ครับ เจ้านาย
เธอส่งสายตาดุๆเมื่อเขายิ้มกะล่อนมา วัชระเป็นคนอารมณ์ดีออกจะขี้เล่นไปบ้าง คนอื่นไม่รู้อาจคิดว่าไม่เหมาะสมนักที่เขาจะมาทำทะลึ่งปึงปังกับเจ้านาย แต่หล่อนเห็นเขาเป็นเพื่อนคนหนึ่ง เขาเป็นผู้ที่มีความสามรถคนหนึ่งทีเดียว ลาฟไว้ใจเขาเป็นที่ปรึกษาโครงการสำคัญกหลายโครงการ
หล่อนบอกแล้วเดินผละออกไปจากที่ทำงาน ขณะที่หล่อนรอลิฟท์อยู่ก็ต้องชะงัก เมื่อร่างสูงผมหยักโศกยื่นอยู่ในลิฟท์อยู่แล้ว กีรติมองหล่อนด้วยสายตายิ้มๆ หญิงสาวยืนนิ่งจนประตูลิฟท์จะปิด กีรติยื่นมือดักประตูไม่ให้ปิด
จะลงไหม...
เสียงทุ้มๆดัง ทำให้หญิงสาวต้องจำใจก้าวเข้าไปในลิฟท์ด้วย
หล่อนต้องรู้สึกอึดอัดมากที่มีร่างสูงยืนอยู่ข้างๆ เขาสูงขึ้นมากร่างกายดูบึกบึนมากกว่าหลายปีก่อน ไม่มีอะไรที่น่าจดจำนอกความทรงจำที่เจ็บปวด ความจริงตอนนี้หล่อนกับเขาคงเป็นเหมือนเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งเท่านั้น
คิดไม่ถึงว่าจะคุณที่นี่
ชายหนุ่มพูดโดยไม่หันมามอง หญิงสาวเหลือบมองเขาด้วยหางตา ก่อนนิ่งเงียบไป
ใจคอไม่คิดจะทักทายเพื่อนเก่าเลยหรือไง
น้ำเสียงเขายังสบายอารมณ์ แล้วอารมณ์ดีเสียด้วย ที่เห็นหล่อนอึดอัดแทบเป็นบ้า
คุณรู้..คุณรู้ว่าฉันจะมาทำงานในที่นี่ ทั้งๆที่คุณเป็นคนเห็นชอบให้ฉันทำโครงการนี้...แต่คุณก็หักหน้าฉันในที่ประชุมไม่มีชิ้นดี
ชายหนุ่มสีหน้ายังเรียบเฉย
ผมไม่คิดจะหักหน้าใคร แต่...ข่าวของคุณไวดี คุณคงสนิทกับลาฟมาก
หญิงสาวเชิดคอขึ้น หันจ้องชายเขม็ง แต่ไม่ตอบโต้อะไร
ในฐานะที่ผมเข้ามาดูแลงานนี้เต็มตัว ผมอยากฟังงานจากตัวคุณเอง ผมไม่สนใจว่าคุณจะสนิทกับใครงานก็คืองาน ผมไม่ยอมให้บริษัทเสียหายเพราะเรื่องส่วนตัวแน่นอน
แน่นอนล่ะถ้าไม่มีคนจ้องจับผิด เธอพึมพัมดังๆ ชายหนุ่มหันมายิ้มหยัน
ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับความสามารถของคุณ
อาริตายืนขบฟันอยู่ข้างๆ มองตัวเลขบนลิฟท์ มันเหมือนผ่านไปอย่างเชื่องช้า
พรุ่งนี้ไปพบผมแต่เช้า....เราจะคุยเรื่องนี้กันก่อนประชุมกับหัวหน้าฝ่ายต่างๆตอนบ่าย
เขาบอกก่อนเดินออกจากลิฟท์เมื่อถึงชั้นล่างสุด
**********
ชลธิชา เดินถือน้ำส้มมาให้เพื่อนที่นั่งอยู่หน้าโน็ตบุ๊ก ก่อนที่ที่จะนั่งเก้าอี้ตัวข้างๆ มองหน้าอาริตา
งานยุ่งมากเชียวหรือ นี่ดึกแล้วนะ...ความจริงงานนี้เธอเขียนโครงการหมดแล้วนี่
อาริตาเอนตัวหยิบแฟ้มที่อยู่ใกล้ๆ
แต่งานนี้ฉันพลาดไม่ได้...ฉันเมื่อเช้าฉันเสนอโครงการต่อหน้าที่ประชุม แต่ฉันถูกจ้องจับผิดไปหมด แล้วพรุ่งนี้เขาเรียกเขาเรียกฉันไปคุยใหม่ เขาต้องการจับผิด กลั้นแกล้งฉัน
อาริตาสีหน้าเคร่งเครียด ชลธิชานั่งมองเงียบๆอยู่ข้างๆ ด้วยความแปลกใจ
เจ้านายเธอ..เอ่อ..ไม่ใช่เขาสนับสนุนเธอหรือ
อาริตาเริ่มหงุดหงิดอีกเมื่อคิดถึงหน้ากีรติ
เอ่ อ...ลาฟสนับสนุนโครงการนี้...แต่ตอนนี้เขาเดินทางไปฮ่องกงแล้ว ความจริงเขาต้องดูแลโรงแรมในสาขาที่ฮ่องกงและเมืองจีน
ชลธิชายิ้มเจือนๆ
ที่ทำงานเธอคงใหญ่มาก ฉันหมายถึงว่ามีโรงแรมทั่วเอเชียแบบนี้
อาริตายิ้มพยักหน้า
ก็พอประมาณโรงแรมในเครือจัสมินต์กรุ๊ปมีอยู่สิบกว่าสาขาทั่วโลกทั้งรีสอท และโรงแรมระดับห้าดาว สำนักงานใหญ่อยู่ที่ฮ่องกง แต่ประธานใหญ่เป็นคนไทย แล้วที่เมืองไทยมีสาขาอยุ่มากที่สุดคือสี่สาขา ความจริงก็ควรมีห้าสาขาแต่โครงการเมื่อสามปีก่อนล้มไม่เป็นท่า
อาริตามองเพื่อนที่นั่งมองเธอนิ่งๆ
น้ำแล้วเธอสนใจไหม ความจริงเธอก็เก่งด้านภาษาฉันคิดว่าเธอน่าจะทำได้ หรือว่าทำที่อีริคก็ได้นะ พี่กริชคงช่วยได้
เอ่อ..ขอบคุณมากนะ..แต่ว่าเอ่.อ..น้ำขอบคุณเบาๆ
อาริตายิ้ม
เอ่อ..น้ำ...แล้วพี่กริชว่ายังไง.. คราวนี้อาริตาถามขึ้นอีก ชลธิชาได้แต่ยิ้มๆ
ตา...คือ..ฉันว่า...แค่ฉันมาอาศัยอยู่กับเธอก็เกรงใจมากแล้ว..ฉันอยากหางานเองก่อนนะ
อาริตาถึงกับรู้สึกหงุดหงิด
น้ำ...เธอรู้ไหมว่าคนอยากเข้าทำงานที่อีริคกรุ๊ปมากแค่ไหน
ชลธิชาก้มหน้ายิ้มเจื่อนๆ
ใช่..ฉันรู้....แต่...ช่างเถอะ..
อาริตามองเพื่อนอย่างเข้าใจเธอจะไม่เซ้าซี้เพื่อนรักอีก เพราะไม่อย่างนั้นมันจะเหมือนการดูถูกชลธิชา
ชลิชาตัดสินใจไม่พูดต่ออีกเมื่อเห็นอาริตาเคร่งเครียดกับงาน เธอผละเดินออกมาเงียบๆ จักรกฤษณ์ที่เพิ่งกลับเข้ามาเห็นเหตุการณ์พอดี เขาสบตากับเธอก่อนบอกใบ้ให้เธอตามเข้าไปที่ห้องครัว
ชลธิชาเดินเข้าไป ก็เห็นจักรกฤษณ์รินน้ำดื่ม
ไม่ต้องคิดมากหรอก...ตาก็เป็นแบบนี้เสมอ ตอนที่มีงานใหญ่เข้ามา ค่อนข้างจริงจัง
ชายหนุ่มพูดไปก็เดินไปเปิดตู้เย็น หาของในตู้ เขาคลายเน็คไทอย่างอึดอัด
แล้วก็มักจะลืมเรื่องไปซื้ออาหารมาตุน.. เขาทำหน้าเซ็งๆ เมื่อเห็นในตู้เย็นว่างเปล่า หญิงสาวมองตาม เขารินน้ำเย็นใส่แก้วแล้วยกดื่มรวดเดียวหมด
เอ่อ...คุณหิวหรือค่ะ...คือความจริงก็มีของสองสามอย่าง เนื้อหมูกับผัก ฉันพอทำให้ได้
หล่อนกะวีกระวาดที่จะช่วย เหลือ ชายหนุ่มมองตาม แล้วยกมือห้าม
ไม่ต้องหรอก...ไม่เป็นไร..ผมไม่หิวหรอก น้ำ
เขาบอกเสียงเบาๆ แต่หญิงสาวยิ่งรุกรี้รุกรน เปิดตู้เย็นออกมา
ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ให้ฉันทำเถอะค่ะ ไม่ลำบากอะไรเลย
ชายหนุ่มมอง ยื่นมือห้ามเธอ
น้ำ....
หญิงสาวฝืนยิ้ม วางของลง
ฉันรู้ว่าคุณอึดอัดที่ฉันเข้ามาอยู่ที่ ฉันขอโทษความจริงฉันไม่ควรมาอยู่เลย พวกเราไม่ใช่เด็กๆ เหมือนเมื่อก่อน ไม่ใช่เป็นแค่นักศึกษา คุณเป็นถึงนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง แต่ฉันเป็นใครล่ะ ฉันเป็นคนที่ล้มเหลวในชีวิต ถูกไล่ออกจากงาน รักษาบ้านไม่ได้ รักษาแม่ไม่ได้ ต้องคอยมาอยู่กับคนโน้นคนนี้
ชลธิชาเริ่มเสียงสั่นเครือ
ฉันรู้ว่ามารบกวนคุณ แต่ฉันแค่อยากทำอะไรให้มีประโยชน์บ้าง ไม่ใช่มานั่งกินนอนกินแบบนี้
ชายหนุ่มยืนมองทำอะไรไม่ถูก เขาเป็นโรคแพ้น้ำตาผู้หญิงเป้นอย่างมาก เขาก็ไม่เข้าใจว่าเขาจะมีอาการแพ้น้ำตาผู้หญิงได้ขนาดนี้
น้ำ...คือ...มันไม่ใช่.. เขาพยายามที่จะอธิบาย
ฉันเข้าใจค่ะ...เข้าใจดี ฉันจะย้ายออกจากบ้านในวันพรุ่งนี้
ชายหนุ่มยิ่งถอนใจยาว ไม่รู้จะทำอย่างไรดี รีบยกมือกันเมื่อหล่อนจะเดินออกไปจากห้องครัว
น้ำ...คุยกันให้รู้เรื่องก่อน...คุณเข้าใจผิดกันใหญ่แล้ว ที่ผมห้ามคุณทำโน้นทำนี่ เพราะว่าคุณไม่ใช่คนใช้ คุณเป็นเพื่อนตา...เป็นเพื่อนผม คุณมาอยู่ที่นี่ในฐานะเพื่อน
หญิงสาวชะงัก ก่อนมองหน้าชายหนุ่ม
ฉันเป็นเพื่อนหรือ....ฉันเป็นเพื่อนพวกคุณได้หรือ คุณดูฉันซิ..พวกเราไม่ใช่เด็กๆกันแล้ว
จักรกฤษณ์เหมือนตัดสินใจบางอย่างก่อนที่จะคว้าข้อมือของหญิงสาวเดินออกไปนอกบ้าน
นี่กริช...คุณจะพาฉันไปไหน..
ท่าทางคุณจะพูดยากชะมัด เขาพาหล่อนเดินออกมาที่นอกระเบียงกว้าง เป็นสวนดอกไม้เล็กๆที่อยู่บนตึก
จักรกฤษณ์ถอนหายใจ ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่นานเหมือนครุ่นคิดว่าเขาควรพูดอย่างไรดี
ชายหนุ่มผายมือไปรอบด้าน หญิงสาวมองแสงไฟจากตึกระฟ้า ราวกับแสงดาว
เขาให้เวลาหญิงสาวสักพักก่อนพูดออกไป
น้ำเราเป็นเพื่อนกันนะ ผมไม่รู้จะบอกอย่างไรว่า ผมไม่ได้รังเกียจอะไรเลยที่คุณมาอยู่ที่นี่
หญิงสาวยืนเงียบ
น้ำ..ผมรู้ว่าเราเลือกเกิดไม่ได้หรอกนะ บางครั้งคุณอาจคิดว่าชีวิตที่หรูหรา ร่ำรวยอาจจะมีความสุข แต่มันไม่เสมอไปหรอกนะ คุณคิดว่าชีวิตผมมีความสุขมากกว่าคุณหรือ...
หญิงสาวเหลือบมองหน้าชายหนุ่มจากแสงไฟสลัวดวงเล็กๆ
ใช่ผมอาจไม่ลำบากกาย แต่ผมก็ใช่จะมีความสุขนัก ผมเติบโตมาในกรอบที่คุณพ่อ คุณแม่สร้างให้ตั้งแต่เด็ก ทุกย่างก้าวของชวิตมีคุณแม่เป็นผู้กำหนดให้...เมื่อก่อน..นอกจากคำว่า ครับ ผมก็ไม่เคยพูดคำว่าไม่กับคุณแม่เลย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมตั้งปณิธานไว้ ว่าจะไม่ยอมทำตามคุณแม่เด็ดขาดก็คือเรื่องความรัก ในสมัยเด็กผมรู้จักกับเด็กผู้หญิงที่น่ารักคนหนึ่ง เธอเป็นลูกสาวของลูกน้องพ่อคนหนึ่ง บ้านเราอยู่ใกล้ๆกัน เธอเหมือนชอบเล่นเหมือนเด็กผู้ชาย แต่บางครั้งก็ออกจะขี้อ้อน เธอมักตามแม่มาช่วยงานบ้านผมเกือบทุกวัน ผมเจอเธอเกือบทุกวัน เล่นด้วยกัน หรือนั่งสอนการบ้านเธอ ใช่ผมหลงรักเธอตั้งแต่เด็กๆแล้ว
จักรกฤษณ์บอกเบาๆ ดวงตาเหม่อลอยไปไกล หญิงสาวยื่นนิ่ง
คุณหมายถึงตา...หรือค่ะ
ชายหนุ่มไม่ตอบ เขาเพียงแค่หันมายิ้มเศร้าๆ
แล้ววันนึงจู่ๆ ครอบครัวเธอก็ย้ายออกไปอย่างไม่มีวี่แวว ไม่มีคำบอกลา ตั้งแต่นั้นมาผมเองไม่เคยรู้ข่าวเธออีกเลย จนเธอเข้ามหาลัย ใช่แท้จริงแล้วผมมารอเธอต่างหาก ถ้าเธอยังจำสัญญาของเราได้เธอต้องมาเรียนที่เดียวกัน
ชลธิชามองอย่างตะลึง
เธอมา มิน่าพวกคุณสนิทกันอย่างรวดเร็ว
ใช่...เราคบกันไม่นาน...ทางบ้านก็รู้...คุณคงนึกถึงพวกผู้ใหญ่ที่รู้ว่าพวกเราบกันจะเดือดดาลขนาดไหน พวกเขาต้องบอกความจริงพวกเราทั้งๆที่มันควรเป็นความลับตลอดไป คุณพ่อเป็นสส. คุณแม่ก็ทนเรื่องอับอายที่พ่อไปมีลูกกับผู้หญิงอื่นไม่ได้ แล้วทุกอย่างก็มาลงที่เราสองคน
กริช เธอสบตากับเขาพูดไม่ออก ฉันไม่รู้จะพูดอะไร...
จักรกฤษณ์ยิ้มน้อยๆ
คุณก็ไม่ต้องพูดอะไร มันไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว ผมแค่เพียงอยากบอกคุณว่า ไม่ใช่มีคุณคนเดียวที่มีความทุกข์ ทั้งผม ตา พ่อแม่ของพวกเรา ต่างก็ผ่านความทุกข์ใจแสนสาหัสมามากมายแล้ว
หญิงสาวที่เคยรู้จักเขามาหลายปี แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่กลับรู้สึกได้ใกล้ชิดกับเขาได้อย่างแท้จริง
**********************
จากคุณ :
grinny2545
- [
4 ก.ค. 48 19:39:24
]