หลี่เฉินเชียงล้มกลิ้งไปกับพื้นอย่างทุลักทุเล ในใจทั้งสับสน และพรั่นพรึง อดคิดมิได้ว่าขณะนี้ตนเองตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบฝ่ายตรงข้ามย่อมมิปลดปล่อยละเว้นตนเอง คงต้องติดตามซ้ำเติมจนพ่ายแพ้บาดเจ็บ ดีไม่ดีกระทั่งชีวิตก็มิอาจรักษาเอาไว้! ยามนี้มันลืมเลือนภาพลักษณ์ หรือความสง่างามจนหมดสิ้น เพียงหวังสามารถรอดชีวิตจากการจู่โจมตามติดของอีกฝ่าย มันก็ยังมีความหวังที่จะพลิกกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบอีกครั้ง!
ดังนั้นประมุขใหญ่แห่งพรรคฉิกอันเลื่องชื่อ จึงได้ยอมเสื่อมเสียหน้าเกลือกกลิ้งหลบหลีกไปกับพื้นดิน! สภาพของมันแม้ทุลักทุเลยิ่ง ทว่าก็สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวดีดกายเกลือกกลิ้งไปกว่ายี่สิบรอบ ทอดระยะห่างจากเสี่ยวซาไปได้หลายวา!
เสี่ยวซาจับจ้องอีกฝ่ายกระเสือกกระสนหลบหลีกไปบนพื้นดินด้วยแววตาเรียบเฉย เด็กหนุ่มกลับมิมีทีท่าว่าจะติดตามซ้ำเติมแต่อย่างใด? เพียงยืนสงบนิ่งอยู่เช่นนั้น!
เด็กหนุ่มกลับปลดปล่อยมิจู่โจมช่วงชิงความได้เปรียบ ทั้งๆ ที่เมื่อครู่มันต้องทุ่มเทกำลังอย่างสุดฝีมือแปรเปลี่ยนกระบวนท่าจากเพลงหมัดเป็นฝ่ามือหงายออกทิ่มแทงจู่โจมใส่ใบหน้าฝ่ายตรงข้าม จากนั้นเมื่อฝ่ายตรงข้ามหงายร่างหลบ มันค่อยลอบเดินลมปราณอย่างรวดเร็วแผ่พุ่งพลังลมปราณเคลื่อนย้ายกระดูกเปลี่ยนเส้นเอ็นที่ท่อนแขนและข้อมือ ให้มีสภาพย้อนกลับ และนั่นทำให้ข้อแขนของมันสามารถงอไปคนละทิศทางกับยามปกติ!!!
ด้วยเหตุผลนี้ฝ่ามือและท่อนแขนที่หงายขึ้นของเสี่ยวซา จึงสามารถกระแทกลงเบื้องล่างได้อย่างกะทันหัน จนทำให้ฝ่ามือนี้ซัดฟาดถูกร่างหลี่เฉินเชียงอย่างถนัดถนี่! ทว่ากระบวนท่าพลิกแพลงเช่นนี้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นในเวลาอันจำกัดยิ่ง มันจึงมิสามารถใช้พลังลมปราณได้อย่างเต็มที่ ฝ่ามือแม้กระทบถูกร่างฝ่ายตรงข้ามอย่างถนัดถนี่ ความเป็นจริงแล้วกลับทำให้คู่ต่อสู้บาดเจ็บเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น!!!
ฝ่ามือเช่นนี้หากเป็นช่วงต้นของการต่อสู้คงมิอาจทำอันตรายประมุขพรรคฉิกจับอิดได้ แต่เนื่องจากยามนี้ทั้งสองต่อสู้กันมายาวนาน ทั้งยังได้รับบาดเจ็บ โดยเฉพาะหลี่เฉินเชียงที่ถูกวิชาของตัวเองกดดันจนสูญเสียความมุ่งมั่นไปหลายส่วน พลังก็เสื่อมโทรมลดน้อยลง ทำให้กระบวนท่านี้สามารถทำร้ายประมุขฉิกจับอิดได้!
ที่จริงแล้วกระบวนท่าจู่โจมของเสี่ยวซานี้มิได้กระทบเทือนถึงอวัยวะภายใน หรือลมปราณอีกฝ่ายเลย เพียงทำให้มันบาดเจ็บผิวเผินภายนอกเท่านั้น แต่ฝ่ามือนี้ยังมีความสำคัญที่สูงล้ำประการหนึ่งแฝงเร้นอยู่!!!!!
เพราะมันได้ทำลายความเชื่อมั่นของหลี่เฉินเชียง!!!! กระบวนท่านี้มิได้จู่โจมซัดฟาดถูกเพียงร่างกาย ยังซัดฟาดถูกจิตใจของหลี่เฉินเชียง ทำลายความมุ่งมั่น และบั่นทอนความฮึกเหิมของมันลงไปหลายส่วนทีเดียว!
หลี่เฉินเชียงแม้มิได้รับบาดเจ็บมากมายจากอานุภาพฝ่ามือนี้ ทว่าจิตใจของมัน ยามนี้ทั้งความมุ่งมั่น เชื่อมัน และความหยิ่งทะนงของมันได้ถูกฝ่ามือนี้กระแทกทำลายจนแหลกลาญสิ้น เสี่ยวซาเองก็หยั่งรู้ถึงความข้อนี้เป็นอย่างดี มันจึงมิมีความจำเป็นต้องรุกไล่ฝ่ายตรงข้ามอีก เพียงฝ่ามือเดียวย่อมสามารถบ่งบอกผลแพ้ชนะได้แล้ว!!!!
ประมุขใหญ่แห่งฉิกจับอิดเห็นเด็กหนุ่มนิ่งเฉยมิได้ติดตาม ก็รู้สึกอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี แต่ไหนแต่ไรหากมันเอาจริงแล้วหามีผู้ใดทำอันตรายมันได้แม้เพียงปลายก้อย อย่าว่าแต่ซัดฟาดมันจนล้มลงอย่างทุลักทุเล ครานี้ฝ่ายตรงข้ามป็นฝ่ายได้เปรียบชัดๆ กลับมิติดตามซ้ำเติมคล้ายดังเวทนาสงสารมัน! บุคคลเยี่ยงหลี่เฉินเชียงยอมตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ กระทั่งยอมตาย มิยินยอมรับความเมตตาจากผู้ใดเด็ดขาด!!!!!
ความอับอายกลับกลายเป็นโทสะ ความโกรธเกลียด ชิงชัง ประดังประเดกันเข้ามา ยามนี้มีเพียงประการเดียวเท่านั้นที่มันต้องการ! นั่นก็คือ
สังหารฝ่ายตรงข้ามให้สิ้นซาก!!!!!!!
ร่างของมันเริ่มแดงฉานเพิ่มขึ้นด้วยฤทธ์ของธาตุไฟเผาผลาญอวัยวะภายในอย่างหนักหน่วง หลี่เฉินเชียงรู้สึกเจ็บปวดทรมานจนสุดทานทน ที่สุดสติสัมปชัญะของมันก็ดับวูบลง
ห้วงความคิดของมันปรากฏบุรุษผมแดงผู้หนึ่ง
.เป็นอาจารย์ของมันเอง
จงจดจำคำเราไว้ให้ดี วิชาผลาญธาตุ เป็นวิชาอันดับหนึ่ง ผู้สำเร็จวิชานี้จะไม่มีวันพ่ายแพ้ตลอดกาล! เพราะวิชานี้ใช้กิเลส ตัญหา และความต้องการของมนุษย์มาแปรเปลี่ยนเป็นพลัง พลังแห่งกิเลส ตัญหาเป็นพลังอันไร้จุดสิ้นสุด กระทั่งแผ่นดิน และแผ่นฟ้าก็ยังมิอาจเติมเต็มให้พอเพียงได้!!!!!!
หากวันใดเจ้าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ล้มลง เหตุผลประการเดียวคือ
..เจ้ายังมิได้ทุ่มเทอย่างแท้จริง!!!!
หลี่เฉินเชียงฟื้นคืนสติอย่างรวดเร็วมันทวนคำ ยังไม่ทุ่มเทอย่างแท้จริง
กับคู่ต่อสู้เบื้องหน้าจะต้องทุ่มเทเช่นไรจึงจะเอาชนะได้ มันได้แต่คิดแล้วคิดอีก
ที่สุดนัยน์ตามันทอประกายแปลกประหลาดวูบนึง ในอดีตมันเคยเสี่ยงชีวิตฝึกวิชาผลาญธาตุจนสำเร็จมาครั้งนึงแล้ว ครานี้คงถึงเวลาที่มันจะต้องทุ่มเทและวางเดิมพันด้วยชีวิตอีกครั้ง!!!!! พลันล้วงมือเข้าไปยังอกเสื้อ
ขวดกระเบื้องเคลือบสีฟ้าสองขวดขนาดกะทัดรัด บัดนี้อยู่ในมือหลี่เฉินเชียงแล้ว!!
ปึ้ก! ขวดทั้งสองถูกเหวี่ยงทิ้งอย่างมิไยดี หลังจากที่ผู้เป็นเจ้าของได้กรอกตัวยาภายในขวดใส่ปากจนหมดสิ้น!
ชั่วอึดใจร่างของหลี่เฉินเชียงแดงเข้มขึ้นจนมิอาจบรรยายได้ พลันเปลี่ยนเป็นขาวซีดกล้ามเนื้อที่โป่งพอง บัดนี้ซูบซีดลง
สภาพหลี่เฉินเชียงตอนนี้เหมือนร่างไร้วิญญาณที่ถูกปีศาจร้ายดูดกลืนเลือดเนื้อและวิญญาณไปจนหมดสิ้น!!!! มิเพียงเลือดเนื้อ วิญญาณหากแต่สติสัมปชัญะและการควบคุมก็ดูเหมือนจะถูกดูดกลืนไปด้วย มันถูกธาตุไฟเข้าแทรกจริงๆ แล้ว แต่ครานี้อาการของมันกลับแตกต่างไปจากคนทั่วไป อานุภาพของวิชาผลาญธาตุทำให้เกิดการหลอมรวมกับธาตุไฟ แม้ไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไป พลังชีวิตของมันถูกเผาผลาญจากภายในอย่างรวดเร็ว แต่ความมุ่งมั่นสุดท้ายก็ชักพาร่างกายให้กระทำตาม และความมุ่งมั่นของมันยามนี้มีเพียงประการเดียว
..สังหารเสี่ยวซาเด็กหนุ่มเบื้องหน้าลงให้ได้!!!!!
ร่างผอมซูบซีดดั่งไร้วิญญาณค่อยๆ ยืดกายขึ้น
มันจี้ปลายดรรชนีไปยังเบื้องหน้า เสียง ทึบ
. คราหนึ่ง ปรากฏจุดดำเล็กๆ ที่ปลายนิ้ว
พลันเสี่ยวซารู้สึกถึงแรงดึงดูดมหาศาลชักนำตัวมันเข้าหาฝ่ายตรงข้าม มิเพียงตัวมันเท่านั้นมวลอากาศ และ สรรพสิ่งรอบๆ ข้างดูเหมือนว่าจะถูกดึงดูดเข้าหาฝ่ายตรงข้าม แต่เมื่อจะถึงตัวฝ่ายตรงข้ามสิ่งต่างๆไม่ว่าจะเป็นกรวดหิน ดินทราย ต้นไม้ ใบหญ้า ก็กลับถูกเผ้าไหม้เป็นจุณ!!!!
เสี่ยวซาลอบตื่นตระหนก จากนั้นรวบรวมสมาธิเดินพลังเข้าต้านทานแต่กระนั้นก็ยังมิอาจต้านทานแรงดึงดูดของฝ่ายตรงข้ามได้ ที่สุดมันถูกดึงดูดเข้าใกล้ฝ่ายตรงข้ามไม่ถึงหนึ่งวา สังเกตเห็นประมุขพรรคฉิกจับอิด แปรเปลี่ยนกระบวนท่าอีกครา
คราวนี้เป็นฝ่ามือซัดฟาดเข้าใส่มันอย่างหนักหน่วง สภาพการณ์เช่นนี้ครอบคลุมสภาวะทั่งหล้า เสี่ยวซามิอาจหลีเลี่ยงบ่างเบี่ยง ได้แต่กระแทกฝ่ามือต้านรับเอาไว้ รู้สึกถึงพลังความร้อนไหลทะลักเข้าสู่ร่างกายมันดังทำนบแตก!!! มันรู้สึกถึงความร้อนอันรุนแรง จนเกิดอาการหน้ามืดวิงเวียน กระอักกระอ่วน หายใจติดขัด มันเร่งรีบเดินลมปราณเป็นอยู่จิตว่างเข้าต้านทาน และสามารถชำระล้างพลังธาตุไฟที่ล่วงล้ำเข้ามาได้หลายส่วน ทว่าส่วนที่หลงเหลือก็เริ่มแทรกซึมเข้าสู่อวัยวะภายในของมันอย่างช้าๆ ยิ่งมาพลังต้านทานจากลมปราณของเสี่ยวซาก็ยิ่งลดน้อยถอยลง!
ภาพการต่อสู้ยามนี้ เป็นลักษณะที่ทั้งคู่ลอยตัวประทะฝ่ามือกันเหนือหลุมกว้างร่วมสิบวา รัศมีสิบวารอบๆ คนทั้งสองมีเพียงความว่างเปล่า พลังและลมปราณที่แพร่กระจายทั่วบริเวณนั้นยากจะคาดคะเนผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมโดยรอบได้ เวลานี้มีเพียงคนทั้งสองเท่านั้นที่ยังหักล้างกันด้วยพลัง และ ลมปราณคราแล้วคราเล่า!
สภาพเช่นนี้ เสี่ยวซาหยั่งรู้ได้เป็นอย่างดี ทั้งตัวมันและฝ่ายตรงข้ามยืนหยัดอยู่ได้อีกไม่เกินครึ่งชั่วยามเท่านั้น!!!
มันพยายามกระตุ้นเตือนฝ่ายตรงข้าม
ท่านประมุขอย่าได้กระทำเช่นนี้ แม้นท่านจะสังหารข้าพเจ้าได้แต่ตัวท่านเองก็มิอาจรอดชีวิต นี่ใยมิใช่สิ่งต่างๆ ที่ท่านพากเพียรสร้างมาต้องสูญเปล่าดอกหรือ?!
หากแต่ประมุขฉิกจับอิดยังคงนิ่งเฉย ร่างกายยิ่งมายิ่งซีดขาวมีเพียงดวงตาเท่านั้นที่แข็งกร้าว ดุดัน และเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ยามนี้ยากนักที่จะมีสิ่งใดสั่นคลอนความมุ่งมั่นของฝ่ายตรงข้ามลงได้
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ เสี่ยวซาเริ่มตระหนักแล้วว่าครานี้มันคงไม่รอดชีวิตเป็นแน่แท้ หากแต่จิตใจมันยังสงบนิ่งมิได้ยินดียินร้ายกับความสูญเสีย อย่างน้อยที่สุดมันก็สามารถหยุดยั้งฝ่ายตรงข้ามมิให้ก่อกรรมทำเข็ญเพิ่มขึ้น ทั้งยังมีโอกาสยุติสงครามระหว่างชาวฮั่น และชนชาติหู เพราะหากมันและหลี่เฉินเชียงเสียชีวิตลง ทัพหูคงต้องถอยร่น มิอาจบุกเข้าสู่ภาคกลาง เนื่องจากขาดหลี่เฉินเชียงที่คอยประสานภายใน ทั้งยังขาดกำลังสำคัญที่คอยขจัดเหล่าชาวยุทธที่พร้อมจะลุกฮือขึ้นต่อต้านกองทัพพวกมัน!
ยามนี้ใบหน้าของเสี่ยวซาพลันปรากฎร่องรอยของความปลื้มปิติ สีหน้าบ่งบอกถึงความสุขมิได้ปรากฏวี่แววของความเศร้าหมองแม้แต่น้อย
ฉับพลันมันรู้สึกถึงอาการสะท้านสะเทือนของฝ่ายตรงข้ามคล้ายดังระลอกคลื่นในน้ำ
สติของหลี่เฉินเชียงถูกกระชากกลับมาเมื่อเห็นหน้าฝ่ายตรงข้ามมิได้มีวี่แววของความวิตกทุกข์ร้อน นี่กลับผิดความคาดหวังของมันเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่มันต้องการคือเห็นฝ่ายตรงข้ามคือ อาการขวัญเสีย และ ตื่นตระหนกสุดขีดเมื่อรู้ว่ากำลังจะต้องตาย แต่สิ่งที่มันเห็นกลับเป็นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
สุดท้ายมันอดตวาดถามไม่ได้ว่า เด็กน้อยเจ้ากำลังจะตาย เหตุใดยังทำท่าคล้ายยินดีเช่นนี้ เจ้าเสียสติไปแล้วใช่หรือไม่?!
เสี่ยวซาแย้มยิ้มกล่าวว่า
เรียนท่านประมุข ข้าพเจ้ามาที่นี่เพื่อหยุดท่านจากการก่อกรรมทำเข็ญ มาตรว่าข้าพเจ้าต้องเสียชีวิต แต่ตัวท่านก็ต้องตายตกตามกัน ย่อมมิอาจไปก่อกรรมที่ใดได้อีก ข้าพเจ้าถือว่าอีกไม่นานก็จะบรรลุจุดประสงค์แล้ว ยังมีสิ่งใดต้องเศร้าโศกเสียใจอีก ข้าพเจ้าเป็นเพียงพ่อครัวต่ำต้อย หากแต่สามารถสร้างวีรกรรมหยุดยั้งท่านไม่ให้ไปเข่นฆ่าผู้อื่น ทั้งยังยุติสงครามระหว่างสองชนชาติได้ มีอันใดไม่น่ายินดีอีก?
เสี่ยวซารับรู้ถึงอาการสั่นสะท้านของฝ่ายตรงข้ามกระชั้นถี่ยิ่งขึ้นจนน่ากลัว จึงกล่าวต่อว่า
เกรงว่าผู้ที่เศร้าโศกเสียใจ คงเป็นชนชาติหูที่จะต้องสูญเสียผู้นำอันยิ่งใหญ่เช่นท่านไปมากกว่า
คราวนี้ฝ่ายตรงข้ามมีอาการสั่นสะเทือนมากยิ่งขึ้น สั่นสะเทือนจนกระทั่งแผ่กระจายไปทั่วมวลอากาศโดยรอบ แผ่นฟ้า ผืนดินสะท้านหวั่นไหว ที่สุดเกิดเสียงระเบิดกึกก้อง ตูมมมมม
คนทั้งคู่ต่างกระเด็นกระดอนแยกจากกันคนละทิศละทาง ทั้งคู่บาดเจ็บสาหัสแล้ว!!
แก้ไขเมื่อ 08 ก.ค. 48 08:58:05
แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 48 23:57:15
จากคุณ :
ทีมแต่งนิยาย
- [
7 ก.ค. 48 23:43:20
]