วันแรกที่โรงเรียนใหม่
เช้าวันนี้ผมต้องไปโรงเรียนใหม่ ผมตื่นขึ้นมาอาบน้ำตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง ถึงผมจะเป็นนักเลงก็เถอะ แต่ผมน่ะแหวกแนวกว่าชาวบ้านเขา เพราะนักเลงอย่างผมไม่เคยโดยเรียนหรือไปโรงเรียงเรียนสายสักครั้ง สวนผลการเรียนน่ะเหรอ อย่าหาว่าคุย อยู่อันดับต้น ๆ ตลอด เพราะยิ่งชื่อเสียของผมโด่งดังเท่าไหร่ผมก็ยิ่งต้องทำตัวให้ดีมากขึ้นเท่านั้นจะได้ไม่ถูกพวกอาจารย์ทั้งหลายแหล่เพ่งเล็งเอาได้ มันไม่ใช่เรื่องน่าสนุกนักหรอกกับการที่มีคนมาคอยจับผิดเวลาเราทำอะไร น่าเบื่อแถมยังอึดอัดอีกต่างหาก หลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็เดินนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนหนึ่งออกมาจากห้องน้ำและก็ใช้ผ้าขนหนูอีกผืนเช็ดผมที่เปียกไปด้วย เมื่อวันก่อนผมคิดจะไปตัดผมที่ยาวเลยบ่าของผมออก แต่แม่ผมน่ะสิ เธอขอร้องไม่ให้ผมตัดเพราะมันดูน่ารักสมเป็นผู้หญิงดี? โชคดีที่ฐานะทางบ้านผมเป็นพวกมีอันจะกินหรือถ้าพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นคือรวยน่ะแหละ ทำให้ผมสามารถย้ายโรงเรียนกลางอากาศได้ด้วยบารมีของพ่อผม แต่ก็ต้องเรียนตามเพื่อนให้ทัน ผมมองเงาตัวเองในกระจกที่ติดอยู่ตรงตู้เสื้อผ้าแล้วถอนหายใจ ถ้าไม่นับแผ่นอกเรียบกว้างนี่ล่ะก็ ดูยังไงก็ผู้หญิงชัด ๆ ผมสีน้ำตาลอ่อนที่เปียกยาวเลยบ่า ใบหน้างามกับดวงตาคู่โตสีฟ้ากระจ่างใสนั่นอีก อย่าหาว่าหลงตัวเองเลย สวยกว่าดาราหลายคนอีก ผมถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะหันไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบเอาชุดนักเรียนตัวใหม่ที่แม่ผมเตรียมไว้ให้ออกมา
เฮ้ย!!!
ผมตะโกนลั่นห้อง ทำไมน่ะเหรอ ก็ชุดนักเรียนน่ะสิ มันเป็นเสื้อสีฟ้าอ่อนที่มีโบว์อันใหญ่ลายสก็อตแบบเดียวกับกระโปรงยาวถึงเข่า ใช่แล้วกระโปรง มันเป็นชุดนักเรียนหญิง แต่ผมขอย้ำอีกรอบว่าผมเป็นผู้ชายนะ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ผมร้องได้ยังไง ผมคว้าชุดนักเรียนพร้อมกับวิ่งไปหาแม่ของผม
แม่!! นี่อะไร
ผมชูชุดนักเรียนให้แม่ของผมดู
ก็ชุดนักเรียนไงจ๊ะลูก
เรื่องนั้นผมรู้อยู่แล้ว แต่ที่ผมถามผมหมายถึงว่านี่มันเป็นชุดนักเรียนหญิง
ก็ใช่นะสิ ชุดนักเรียนหญิง มีอะไรเหรอจ๊ะลูก
แม่ผมถามหน้าตาเฉย
ก็ผมเป็นผู้ชายแล้วจะให้ใส่ชุดนักเรียนหญิงได้ยังไง
ไม่เห็นจะเป็นไรเลย เข้ากันดีออก น่ารักจะตาย
นั่นสิ ไม่มีใครรู้หรอกว่าแกเป็นผู้ชาย ถ้าแกไม่ไปถอดเสื้อผ้าให้เขาดูนะ
พ่อผมเดินเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้แต่ที่แน่ ๆ เขากำลังสนับสนุนแม่ผมอยู่
พ่อเขายังพูดเลย เพราะงั้นใส่เถอะนะ นะ ลูกนะ
แม่ผมขะหยันขะยอให้ผมใส่ชุดกระโปรงนี่ให้ได้ ในขณะที่พ่อผมยังคงสนับสนุนแม่ผมต่อไป
ไม่มีทาง วันนี้ผมจะใส่ชุดนักเรียนตัวเก่าไป
....................................................................................................................................................
ตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่ที่ระเบียงที่ร้างผู้คนในโรงเรียนอันเนื่องจากว่าตอนนี้เป็นเวลาเข้าเรียนแล้ว ผมยืนรอให้อาจารย์คนใหม่ของผมเรียกเข้าห้องเพื่อแนะนำตัวกับเพื่อนใหม่ในโรงเรียนใหม่ ผมก้มลงตรวจเช็คความเรียบร้อยของตัวเองอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเยอะ สภาพผมตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากเด็กสาวธรรมดา ในที่สุดก็ต้องใส่มาจนได้ จบแล้วชีวิตม.ปลายของผม พอนึกเลยไปถึงเรื่องสาเหตุที่ต้องใส่ชุดนักเรียนหญิงมาแล้วก็เศร้า ต้องนับถือในความพยายามของแม่ผมจริง ๆ เธอเอ่ยปากขอร้องให้สามีผู้ตามใจเธอเสมอให้ช่วยล็อคตัวผมไว้ก่อนจะใช้ครีมสีขาวขุ่นเหนียว ๆ บรรจงทาลงบนหน้าแข้งของผมทั้ง 2 ข้าง หลังจากนั้นเธอก็ใช้ผ้าสีขาวแปะลงมาทิ้งไว้สักพักก่อนจะกระชากออกมาอย่างเร็วและแรง คงไม่ต้องบรรยายถึงความเจ็บปวดนะครับ แต่ถ้าใครอยากรู้ว่ารู้สึกยังไงก็ให้ลองเอาเทปกาวมาแปะแขนตัวเองแล้วกระชากออกดู นั่นแหละ อารมณ์เดียวกัน
ครืด~
เธอตรงนั้น เข้ามาได้แล้ว
อาจารย์แว่นเปิดประตูออกมากวักมือเรียกผมให้เข้าไปในห้อง ไม่ใช่ว่าอาจารย์แกชื่อแว่นหรอกจะ แต่เป็นเพราะแกใส่แว่นผมเลยเรียกแกอย่างนั้น ส่วนชื่อจริง ๆ นั้นผมจำไม่ได้แล้ว ทันทีที่ผมเดินเข้าไปในห้องเสียงผิวปากกับเสียงพูดคุยก็ดังขึ้น โดยเฉพาะพวกผู้ชายในห้องดูจะคึกคักเป็นพิเศษ
เงียบก่อน วันนี้เรามีเพื่อนใหม่ เธอย้ายโรงเรียนเข้ามากะทันหัน ยังไงก็ช่วยทำตัวสนิทสนมกันไว้ด้วยล่ะ เธอแนะนำตัวหน่อยซิ
ซากุราเอะ คอนสแตนส์ ยินดีที่ได้รู้จัก
ผมพยายามดัดเสียงให้เล็กแหลมเต็มที่ แต่มันก็ยังทุ้มต่ำอยู่นิดหน่อย
อะไรกันใจคอจะแนะนำตัวกันแค่นี้เหรอ
นั่นสิ ๆ งานอดิเรกอะไรจ๊ะ
ขนาดรูปร่างล่ะ
ชอบอะไรบ้างเอ่ย
พวกผู้ชายในห้องเริ่มรุมถามจนผมไม่รู้จะตอบอันไหนก่อนดี
นี่เธอเป็นลูกครึ่งเหรอ
ฉันเป็นลูกครึ่งอเมริกัน ญี่ปุ่น ไทย
ผมเลือกตอบคำถามของเด็กสาวหน้าตาน่ารักคนหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าห้องฝั่งประตู ทันทีที่ได้ยินคำว่าลูกครึ่งคนกว่าครึ่งห้องก็เริ่มส่งเสียงฮือฮาราวกับไม่เชื่อที่ผมพูด
มีแฟนหรือยัง
เสียงใครก็ไม่รู้ดังแทรกขึ้นมา แต่ที่แน่ ๆ เป็นเสียงผู้ชาย อารมณ์ผมเริ่มเดือดนิด ๆ ยังดีที่มีระฆังห้ามยกไม่งั้นผมคงน็อตหลุดลุกขึ้นมาอาละวาดแน่
พอ ๆ ๆ ชักเริ่มถามนอกเรื่อง เธอไปนั่งตรงที่ว่างริวหน้าต่างตรงนั้นนะ เอาล่ะ เริ่มเรียนกันได้แล้ว หยิบหนังสือขึ้นมาเปิดหน้าต่อจากเมื่อคราวที่แล้ว
ผมกำลังจะเดินไปยังโต๊ะริมหน้าต่างที่อยู่หลังสุดแต่กลับมีแขนของใครบางคนยื่นมากั้นทางเดินไว้ ผมหันไปมองหน้าเจ้าของมือตาขวางแต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่รู้สึกถึงสายตานั้นเพราะมันดันยิ้มหน้าระรื่นจนน่าซัดลงไปนอนวัดพื้น
สวัสดีซากุระจัง ฉันชื่อทนาทัย สืบศิริ ยินดีที่ได้รู้จักนะ จะเรียกฉันว่าเคก็ได้ เรามาคบกันเถอะ
เสียงนี้ผมจำได้ ที่แท้ไอ้หน้าม่อนี่คือคนที่ถามว่าผมมีแฟนหรือยังนี่เอง ผมถอนใจอีกครั้ง ความดีที่สืบทอดกันมาในตระกูลคงมาจบสิ้นที่มันนี่แหละ ชื่อก็ลาว หน้าก็ม่อ แล้วดันทำตัวเสี่ยวอีก ขายขี้หน้าวงศ์ตระกูลแทนมันจริง ๆ นี่ผมจะต้องมาใช้ชีวิตในวัยเรียนร่วมกับคนแบบนี้หรือเนี่ย โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ผมปัดแขนมันให้พ้นทางก่อนจะเดินต่อโดยไม่มองหน้าหรือพูดอะไรกับมันสักคำ
หน้าแตกเลยว่ะไอ้เค เขาไม่สนใจเอ็งโว้ย
ใช่ที่ไหนล่ะ เขาสนใจข้าเห็น ๆ ไม่เคยได้ยินหรือไงวะว่าผู้หญิงน่ะปากไม่ตรงกับใจ หน้าตาหล่อ ๆ อย่างข้าน่ะ สาว ๆ ที่ไหนเห็นแล้วก็ต้องหลง ที่สำคัญ ยัยนี่น่ะ สเป็คข้าเลย ยากแค่ไหนก็ต้องจีบให้ติด
ดูมันพูดซิ ใช้ส่วนไหนของร่างกายคิดเนี่ย พูดออกมาได้ว่าตัวเองหล่อ หน้าม่อแล้วยังหลงตัวเองอีก ผมพยายามแกล้งทำเป็นเดินไปที่โต๊ะว่างที่อยู่ริมหน้าต่างแถวหลังสุดซึ่งหลังจากนี้เป็นต้นไปมันจะเป็นโต๊ะเรียนของผมโดยไม่ได้ยินสิ่งที่มันพูด เด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่โต๊ะตัวข้าง ๆ ส่งยิ้มมาให้ผม อย่างน้อยชีวิตนี้มันก็ไม่เลวร้ายเสมอไป ผมหันไปส่งยิ้มให้เธอพร้อมกับลอบมองหน้าเธอชัด ๆ ว้าว!! นั่นแหละ ใช่เลย ขาว สวย หมวย อึ๋ม เอ๋ย ไม่ใช่ ดวงตาสีดำขลับคู่โตบนใบหน้าขาวนวลนั่นกำลังจ้องมองมาที่ผม บวกกับริมฝีปากสีชมพูสวยได้รูปตามธรรมชาติที่กำลังส่งรอยยิ้มมาให้ผมนั้นโดนใจผมอย่างแรง ผลสีดำอมน้ำตาลเข้มถูกมัดรวบเรียบร้อยไม่ปล่อยให้รกรุงรังหรือเป็นที่รำคาญตาแก่ผู้ที่พบเห็นช่วยเสริมความน่ารักให้เธอ แล้วยังรูปร่างที่ดูบอบบางน่าปกป้องทะนุถนอมนั้นเล่นเอาหัวใจผมเกือบหลุดออกมาเต้นโชว์อยู่ข้างนอกแนะ นี่ถ้าให้คะแนนเต็มร้อยล่ะก็ผมให้เธอไปเลย 110 คะแนน
ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันชื่อทรรศิกา สุริยะรักษ์
นอกจากน่ารักแล้วยังพูดจาสุภาพอีก แถมเสียงก็หวานไพเราะน่าฟังเอาไปเลย อีก 20 คะแนน
เช่นกัน
ผมตอบเธอกลับโดยไม่ลืมดัดเสียงตัวเองให้เหมือนผู้หญิงที่สุด
ชื่อซากุราเอะนี่ฟังดูเหมือนชื่อผู้ชายจังเลยนะคะ
แหะ แหะ ใคร ๆ เขาก็ว่างั้นแหละ
ก็ผมเป็นผู้ชายทั้งแท่งเลยหนิหน่า เฮ้อ ถ้าความแตกเมื่อไหร่มีหวังหมดอนาคตแน่ ชีวิตนี้คงไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนนอกจากบ่า ผมฟุบตัวลงหมอบกับโต๊ะพ้อมกับทำหน้าเซ็งโลกสุด ๆ
เป็นอะไรหรือเปล่าคะ หรือว่ารู้สึกไม่สบาย
เปล่า ๆ ไม่ได้เป็นอะไรหรอก จริงสิ มีชื่อเล่นไหม เรียกทรรศิกามันยาว เรียกไม่คล่องเลย
ผมเริ่มวางแผนทำตัวตีสนิท ได้ผลซะด้วยเธอไม่ว่าอะไรแถมส่งยิ้มงาม ๆ มาให้อีก
เรียกว่านิดก็ได้ค่ะ งั้นนิดขอเรียกซากุระว่าซากุระนะ
ตามสบาย แต่นิดไม่ต้องสุภาพกับผะ... เรามากก็ได้
ผมเกือบลืมตัวพูดว่าผมออกไป ดีนะว่ายั้งปากทัน
ซากุระมีหนังสือเรียนรึเปล่า ถ้าไม่มีดูกับนิดก็ได้นะ
นิดถามขึ้นเมื่อเห็นว่าไม่มีหนังสือวางอยู่บนโต๊ะผมสักเล่ม ช่างเป็นคนใจดีมีน้ำใจเหลือเกินอย่างนี้ต้องบวกเพิ่มอีก 30 คะแนน อันที่จริงแล้วผมมีหนังสือเรียนครบหมดแล้วล่ะ แต่โอกาสงาม ๆ ที่จะได้ใกล้ชิดสาว ๆ สวย ๆ แบบนี้มีบ่อยซะที่ไหน แถมยังมีริบหรี่ด้วยเพราะโรงเรียนเก่าผมเป็นชายล้วน จะได้ใกล้ชิดผู้หญิงก็ตอนขึ้นรถเมล์แล้วคนแน่นเลยต้องยืนเบียดกันนี้แหละ ทุ-เรศมัยล่ะ ผมรีบเลื่อนโต๊ะตัวเองเข้าชิดโต๊ะเธอทันที พอได้มานั่งอยู่ใกล้ ๆ แบบนี้แล้วรู้สึกว่าหัวใจผมเต้นแรงขึ้นจนแทบจะหลุดออกมาเต้นต่อข้างนอก ก็เธอน่ารักซะขนาดนั้น ใครจะไปอดใจไหว และแล้วผมก็แอบบวกคะแนนให้เธออีก 50 คะแนนโทษฐานที่เธอน่ารักเกินห้ามใจ เป็นไงลาวมัยล่ะ
เบื้องหลังเรื่องนี้
พล็อตเรื่องในตอนแรกว่าจะเอาเป็นผู้หญิงหน้าสลับกับผู้ชาย แต่เกิดสงสารผู้หญิงขึ้นมาเลยตรงนั้นทิ้งไปแล้วเปลี่ยนมาเป็นผู้ชายแทน เรื่องนี้ตั้งใจแต่งให้ฮาครับ แต่ก็จะให้หวานด้วย ตัดสินใจอยู่นานว่าจะลงหมดไหนดีระหว่าง รักหวานแต๋วกับตลกขบขัน ในที่สุดก็ตกลงเอารักหวานแต๋วนี่แหละ แอบสปอยกลาง ๆ เรื่องนิดหนึ่งว่าอาจมี Y
ฝากเรื่องที่ผมแต่งอีกเรื่องด้วยครับ
http://www.dek-d.com/entertain/view.php?id=49097
จากคุณ :
Rasaro
- [
8 ก.ค. 48 21:30:55
]