Scenario 1:ตอนจบ...
...มีคนเคยบอกว่า ความเป็นจริงไม่มีคำว่าสิ้นสุด... ฟังแล้วเข้าใจยากจังนะ ทั้งที่ผมไม่ได้ใส่ใจคำพูดประโยคนี้เลยแต่มันกลับผุดขึ้นในหัวของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนกับเครื่องอ่านซีดีที่ขัดข้องแล้วอ่านข้อมูลถัดไปไม่ได้... ทั้งที่ข้อความนี้ดังก้องอยู่ในหัวตลอดแต่ผมก็ยังไม่เข้าใจความหมายของมันอยู่ดี หรือมันกำลังจะอธิบายเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าของผมกันแน่นะ...
เรื่องมันเริ่มต้นที่ผู้หญิงคนหนึ่ง... โมเป็นชื่อเล่นของเธอ เธอมักจะอยู่ข้างผมเสมอเวลาที่ผมไม่สบายใจ หรือทุกข์ใจ แทบจะทำให้ผมไม่มีช่วงเวลาที่เหงา หรือต้องอยู่กับตัวเองคนเดียวนานๆ ...ผมไม่เคยคิดฟุ้งซ่านหรือคิดมากเลย เมื่อไม่สบายใจจะได้ผู้หญิงคนนี้คอยเป็นที่ระบายมาตลอด แทบจะเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดก็ว่าได้ ...แต่ผมก็ไม่รู้เลยว่านั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความทุกข์ทั้งหมด
ตอนเย็นของวันหนึ่ง ในร้านอาหารเดิมๆ ในเวลาเดิมๆ กับเก้าอี้ตัวเดิมที่ผมนั่ง และเก้าอี้ตัวเดิมที่เธอนั่ง หัวข้อสนทนาที่เราคุยส่วนใหญ่ มักจะเป็นเรื่องของผม แต่วันนี้...ไม่ใช่ เธอเป็นคนเริ่ม
นัย...
เธอเรียกชื่อผม
ตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน มันไม่ใช่เวลาของเรา แต่มันเป็นเวลาของนัย เป็นช่วงที่นัยสร้างขึ้น ...คำว่าเราควรจะเป็นสิ่งที่สร้างด้วยคนสองคนขึ้นไป แต่เราสองคนไม่ใช่แบบนั้น
ผมนั่งสงสัยกับปรัชญาของเธออยู่นาน...ก่อนที่เธอจะพูดสรุป และก่อนที่ผมจะรู้ตัวว่าสิ่งที่ผมทำมานั้นคือความว่างเปล่าในใจของเธอ และในใจของผม
โม เหนื่อยมากแล้วกับความรักในความคิดของนัย โมพยายามมามาก และมากเกินความจำเป็นแล้ว ถ้านัยยังไม่รู้สึกตัวอีก นัยก็ควรจะอยู่กับตัวเองให้มากขึ้น และโมคงจะต้องไป...
ใครที่พูดว่าเวลาแห่งความสุขนั้นจะผ่านไปเร็ว... ผมว่าไม่จริงหรอกเพราะตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนกับทุกภาพวิ่งไปเร็วเหมือนกับตอนกำลังกดปุ่ม Forward เวลาดูหนังที่บ้าน ทุกๆ สิ่งรอบตัวเคลื่อนไหวเป็นฉากต่อฉาก จนถึงฉากสุดท้าย... ฉากที่เธอลุกจากเก้าอี้ เธอมองหน้าผม...และผมก็มองตอบ...ผมไม่รู้ว่าตอนนี้แววตาของผมเป็นอย่างไร แต่แววตาของเธอ...ทั้งที่เธอกำลังมองผม แต่ผมกลับมองไม่เห็นตัวผมเองในแววตาของเธอเลย ...แม้เพียงนิด...
ทั้งที่ผมไม่รู้สึกปวดหัวหรือมีอาการหน้ามืดอะไร แต่ผมรู้สึกว่าขมับของผมมันถูกบีบ ...ทุกอย่างในสายตาของผมกำลังถูกกลืนไปในความมืด... ที่ไม่มีสิ้นสุด... ในท้องมันปั่นป่วนคล้ายกับคลื่นไส้ ...รู้สึกว่าตัวเองหายใจกระหืดกระหอบเหมือนขาดอากาศ แต่ไม่ได้แสดงอาการออกมา ร่างกายนิ่งเงียบเหมือนคนไม่รับรู้อะไร แต่ในใจเหมือนโดนใครเอามีดมาแทงแล้วกระชากนับร้อยที ทุกคำที่เธอพูดมานั้นผมไม่ได้ฟังมันหรอก แต่มันกระทบใจเหมือนเอาค้อนปอนด์มาทุบดินเหนียวพอเริ่มจะเละก็เอากลับมาปั้นแล้วก็ทุบใหม่เรื่อยๆ
มันทรมานจนบอกไม่ถูก แต่ผมคิดว่าตัวผมเองจริงๆแล้วไม่ได้รู้สึกอะไรเลย เพราะไม่เห็นว่าร่างกายมีรอยแผลหรือ มีอาการหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ กลับกันรู้สึกร่างกายมันเบาๆ เหมือนกับไม่ได้นั่งอยู่ หัวใจก็เต้นนิ่งยังกับเข็มนาฬิกา ...จริงๆแล้วผมไม่ได้เป็นอะไร ผมคงไม่ได้เสียอะไรไป ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ให้เธอไปโดยไม่พูดอะไรสักคำหรอก... ผมยังสบายดี ผมคิดอย่างนั้น....ในเวลานั้น
นี่สินะความจริง...ที่ไม่มีที่สิ้นสุด...
เวลา 01.47 น. น้ำตาไหลอาบสองแก้ม ไม่มีอะไรอยู่ในหัวทุกอย่างว่างเปล่า ขาวโพลนเหมือนแสงสว่างเพียงแต่มันไม่ใช่แสงสว่าง แต่เป็นความมืดสีขาว เป็นเหมือนกำลังใจ และเป็นเหมือนเครื่องทรมานในเวลาเดียวกัน ทั้งที่เป็นเหตุการณ์ที่ไม่สมควรที่จะสำคัญในชีวิตของผมแต่ เหมือนกับเหตุการณ์นั้นฝังอยู่ในดวงตาของผม ทั้งฉากที่ผมไม่รู้สึกตัวและฉากที่ผมรู้สึกตัว ไม่มีใครที่จะหนีปัญหาได้ทั้งหมดและ ไม่มีใครเอาอดีตอันเจ็บปวดมาเป็นเครื่องเตือนใจได้โดยที่ไม่รู้สึกอะไรเลย...
ก่อนตี 2 เพียง 5 นาที ผมคิดจะพาร่างกายที่ว่างเปล่านี้ไปวางไว้ที่ไหนสักแห่งก่อนที่ ดวงตาของผมจะมืดบอดสนิทจากความเป็นจริง ผมเลือกที่จะเดินกลับหอพักด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าความรู้สึกนี่จะหมดไปเพราะความเหนื่อยล้า ก่อนที่จะถึงหอพักของผม ที่อยู่ไม่ไกลนัก แต่ความมืดสีขาวนั้นช่างร้ายกาจนัก ยิ่งพยายามฝืน มันก็จะยิ่งกระชากความรู้สึกที่เรียกว่า ความสำคัญของตัวเอง ออกไป...ไม่ใช่ทีละนิด ...แต่ความรู้สึกนั้นจะหายไปเหมือนกับหายไปเฉยๆ เหมือนกับมันไม่เคยมีอยู่... แทบจะนึกไม่ออกว่าเรากำลังทำอะไรอยู่หลายครั้ง และเกือบจะทรุดลงไปนอนหลายหน แต่โชคดีที่ทุกครั้งนึกขึ้นได้ว่านี้มันเป็นทางเดินสาธารณะ.... ไม่ใช่เตียง...
พอกลับมาถึงเตียง ผมหัวเราะจนแทบเสียสติ เพราะคิดว่าในที่สุดทุกๆ อย่างจะจบลงแล้วเพียงแค่เอาหัวตั้งไว้ที่หมอนใบนั้น ใบที่ผมนอนหลับฝันถึงเธอหลายต่อหลายครั้ง และโอบกอดหมอนข้างใบเดิม ใบที่ผมจินตนาการถึงเธอก่อนนอนทุกวัน กับความอบอุ่นของเตียงนอนที่ผมกำลังจะเอนตัวลงไป....
ผมรู้สึกว่าใบหน้าของผมเย็นเฉียบก่อนที่จะคิดว่า...ที่นี่มันใช่ห้องของเรารึเปล่าวะ?.
กว่าจะหลับได้ก็ 7 โมงเช้าเข้าไปแล้ว หมอนของผมคงจะอับมากเพราะน้ำตาของผมไหลออกมาไม่หยุดหมอนข้างผมก็คงจะสกปรกมาก เพราะดันเขวี้ยงมันออกไปทางหน้าต่างตอนตี 3 แล้วเวลานี้ผมก็กำลังห่มผ้าห่มคลุมโปงถึง 2 ชั้นเพราะผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าเตียงของผมมันเย็นขนาดนี้...เย็นไปถึงขั้วหัวใจเลย...
วันจันทร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม ผมไม่ได้ไปโรงเรียน...
ผมไม่เคยรู้สึกเกลียดการไปโรงเรียนขนาดนี้มาก่อนเลย ไม่อยากป้ายยยยย... อยากจะตะโกนออกไปอย่างนี้อยู่เหมือนกันแต่เกรงใจคนข้างห้อง... และไม่รู้จะตะโกนให้ใครมันได้ยิน... จริงๆ ผมไม่ได้เกลียดการไปโรงเรียนหรอก แต่ผมกลัวที่จะเจอเธอที่โรงเรียนมากกว่า..
ผมบอกตัวผมเองว่าอยู่ ม.6 แล้วนะเว้ย เดือนตุลาฯก็เพิ่งสอบเอ็นท์ไป(แถมไม่ติด) เดือนมีนาฯนี่ก็กำลังจะสอบอีกแล้ว ทั้งๆ ที่ต้องพยายามให้มากกว่านี้แท้ๆ แล้วเรามัวคิดอะไรอยู่เนี่ย... พอคิดได้เลยต้องพยายามบังคับให้ตัวเองทำเรื่องนู่นเรื่องนี่ ซึ่งเป็นกิจวัตรยามเช้าของนักเรียนทั่วๆ ไป ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ.... แล้วก็เดินลากความไม่สบายใจอันหนักอึ้งไปโรงเรียน
ดูเหมือนอะไรๆ ก็จะผิดที่ผิดทางไปซะหมด วันนี้ไม่ใช่วันศุกร์ที่มีเรียนพละสักหน่อย ก็ดันผ่าเหล่าใส่เสื้อพละกางเกงวอร์มมาซะอีก แถมยังจัดตารางสอนของวันศุกร์มาซะด้วย อะไรมันจะเฉียบขนาดนี้... ขณะที่กำลังด่าตัวเองอยู่ ก็นึกขึ้นได้ว่าวันศุกร์เป็นวันสุดท้าย ที่เราได้ไปขอคำปรึกษาจากโมมา เป็นเรื่องที่ผมชอบทำมากเพราะเป็นช่วงเวลาที่ผมได้คุยกับโมแค่สองคน... สงสัยผมจะบ้าไปแล้ว เพราะตอนนี้ผมกำลังยิ้มทั้งๆที่น้ำตามันปริ่มอยู่ที่ขอบตา ...ผมกำลังเสียใจที่ผมกำลังดีใจกับเรื่องราวความรักในอดีต...
ตอนที่กลับหอพัก ผมนึกขึ้นได้ว่ารู้สึกเหมือนโดนเพื่อนมันตะโกนกรอกหูสัก 2-3 หน แต่ไม่รู้มันพูดอะไร โมที่เรียนห้องเดียวกับผมเดินเข้ามาพูดเบาๆ ผมคิดว่าผมไม่ได้ตั้งใจฟังสักเท่าไหร่หรอกแต่ผมรู้ว่าเธอพูดว่าขอโทษนะ เหมือนกับก้องอยู่ในหัวอย่างนั้นแหละ.... ทุกวันผ่านไปแบบนี้...
14 กุมภาพันธ์วันวาเลนไทน์ ดูเหมือนผมจะรู้สึกตื่นเต้นกับวันนี้นิดหน่อย คงจะต้องมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นแน่ๆ วันนี้ผมไม่ไปโรงเรียน เพราะคิดว่าอยู่หอพักดีกว่าไปเจอหน้าโม เดี๋ยวมันจะร้องไห้เสียเปล่าๆ แต่รู้สึกตัวอีกทีในห้องนี้กลับมีความรู้สึกของคำว่าวาเลนไทน์มากกว่าที่โรงเรียนซะอีก
จำได้ว่าตอนม.4 ตอนนั้นผมกับโมยังเป็นเพื่อนกันอยู่ เธอมักจะเป็นที่ปรึกษาปัญหาต่างๆ ให้กับเพื่อนในห้องเสมอๆ ดูเธอเป็นผู้ใหญ่มากเลย และผมก็เป็นคนหนึ่งที่เกลียดวันวาเลนไทน์มากๆ ตอนเย็นจึงขอกลับบ้านก่อนไม่ได้อยู่สังสรรค์กับเพื่อนที่ร้านน้ำชาประจำของห้องเรา ตอนประมาณทุ่มนึงเธอเคาะประตูห้องพักของผมพร้อมกับคำท้าที่แปลกประหลาดของเธอ...ชั้นจะทำให้นัยเลิกเกลียดวันวาเลนไทน์ให้ดู ก่อนที่ผมจะงงเธอก็เข้ามานั่งทำกับข้าวในห้องผมซะแล้ว...
พวกเรานั่งกินข้าวกับขนมที่เธอทำอยู่กลางห้องของผม เธออธิบายว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่ห้องนี้ในเวลาแบบนี้ เธอบอกถึงความรู้สึกเป็นห่วงของเพื่อนๆ ทุกคนในห้องให้ผมฟัง แต่ประโยคเด็ดที่ทำให้ผมไปงานสังสรรค์กับเพื่อนๆ ในวันวาเลนไทน์ก็คือ
ความรักไม่ใช่คำที่คนอื่นวาดไว้อย่างสวยหรูแล้วให้เราทำตามที่เค้าบอก แต่มันเป็นสิ่งที่คนสองคนขึ้นไปสร้างขึ้นมาด้วยจินตนาการและความพยายามของทุกคน ...เพราะงั้นวันวาเลนไทน์ของคนอื่นอาจจะเป็นวันที่ไว้ใช้แสดงความรักสำหรับแฟน หรือญาติพี่น้อง แต่สำหรับพวกเราห้อง 9 แล้วมันคือความรักที่เพื่อนๆ ทุกคนในห้องสร้างขึ้นและจดจำไว้จนกว่าพวกเราจะแยกจากกัน....
...ถึงแม้เรา 2 คนจะไปงานสังสรรค์ของเพื่อนไม่ทัน แต่ในปีถัดมาผมก็ได้รู้ถึงความสนุกของคำว่างานสังสรรค์ที่ทุกคนในห้องจัดขึ้น และในคืนที่เราไปงานสังสรรค์ไม่ทันนั้นผมได้ขอความรักจากผู้หญิงเป็นครั้งแรกอีกด้วย...
ในเวลานี้ผมเจ็บปวดขนาดที่กัดฟัน พร้อมๆ กับทำหน้าตาบิดเบี้ยว ผมพยายามอย่างมากเพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองต้องหลั่งน้ำตาอีกครั้ง...ไม่ใช่ว่าการขอความรัก ครั้งนั้นไม่สำเร็จ แต่เพราะมันสำเร็จอย่างงดงามต่างหาก รอยยิ้มที่ผมคิดว่าจะไม่มีวันลืมมันเด็ดขาดในคืนวาเลนไทน์คืนนั้น ตอนนี้มันเป็นสิ่งที่ผมอยากจะดึงออกมาพร้อมกับภาพอดีตอันมากมายของเธอคนนั้นให้เร็วที่สุด เหมือนกับมันเป็นกริชเล่มสุดท้ายที่เยียวยาชีวิตของผมอยู่ หากยังปักลึกอยู่อย่างนี้ผมคงจะเจ็บไปจนชั่วชีวิต แต่ถ้าหากผมดึงมันออกผมก็คงจะสิ้นลมด้วยความว่างเปล่าทุกหยาดหยดในตัวของผม
ผมรู้แล้วว่าผมไม่ควรจะอยู่ในห้องนี้นานมากนัก เดี๋ยวตามันจะช้ำเอา ผมจึงตัดสินใจลงไปนั่งที่ม้านั่งหินหน้าประตูหอพักตอนที่กำลังคิดว่าจะดีขึ้นอยู่แล้วเชียว มีผู้หญิงเดินข้ามถนนมาจากร้านขายดอกไม้ พร้อมดอกทานตะวันสีเหลืองสดดอกหนึ่ง ผมจำไม่ได้ว่าเคยรู้จักเธอเมื่อไหร่ เธอยื่นดอกทานตะวันมาให้ผมพร้อมกับรอยยิ้ม
ความหวังคือทางออกของปัญหาในชีวิตนะคะ ...สุขสันต์วันวาเลนไทน์ค่ะ
ผมอึ้งไปสักพัก... ผมคิดว่าผมกำลังจะพูดว่าขอบคุณครับ แต่สิ่งที่ออกมามีเพียงน้ำตากับความคิดถึงโมที่แทบจะทะลักออกมาจากอก ผมก้มหน้าซุกหัวเข่าและไม่ได้พูดอะไรเลย เธอคนนั้นก็พยายามปลอบประโลมแต่คิดว่าเธอคงจะทำไม่สำเร็จ ก่อนที่จะเดินกลับไปปิดร้านอย่างเร่งรีบ ในหัวของผมตอนนี้มันยิ่งกว่าความว่างเปล่าซะอีก บางทีตอนนี้ผมคิดว่ามันว่างเปล่าคงจะดีกว่านี้... ผมลุกขึ้นและเดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย...
ผมไปเรียนและใช้ชีวิตประจำวันแบบนี้ไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้ว่ามันจะจบเมื่อไหร่ และผมคิดว่านี้คงเป็นคำอธิบายทั้งหมดของประโยคที่ว่า ความจริงไม่มีคำว่าสิ้นสุด.......ความเข้าใจของผมถูกต้องรึเปล่า ... ไม่มีใครตอบและไม่มีใครบอกว่าผมควรจะทำอย่างไรต่อไป อีกแล้ว... และนี่แหละ คือตอนจบของความรักของผม...
แก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 48 20:40:39
แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 48 15:12:20
แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 48 15:09:14
จากคุณ :
ปีกสีมืด
- [
13 ก.ค. 48 15:06:27
]