CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    เรื่องสั้น....สุขคติ....ตอนที่2

    .....หมอศักดานั่งกุมมือหมอสันต์ไว้แน่นด้วยใบหน้าเศร้าหมอง ดวงตาของเขามีน้ำตาคลอเบ้า ส่วนหมอสันต์นอนหงายอยู่บนเตียงไม่ไหวติง แว่นตาถูกถอดออกแต่ครอบหน้ากากเพื่อให้ออกซิเจนไว้แทน ตาของเขาหลับพริ้มไม่ได้แสดงความรู้สึกเจ็บปวดใดๆ ใบหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปากดูไม่เหมือนคนป่วยหนัก ถึงอย่างไรเขาก็ดูซูบกว่าเดิมมาก ผมสั้นเกรียนนั้นขาวโพลนทั้งศีรษะ ที่แขนและหลังมือของเขามีสายน้ำเกลือระโยงระยางหลายเส้น เครื่องติดตามการเต้นของหัวใจบนหัวเตียงส่งสัญญาณชีพเป็นกราฟสีเขียวสม่ำเสมอ หมอสันต์ถูกส่งเข้ารับการรักษาในห้องอภิบาลผู้ป่วยหนักได้สองวันแล้ว จนถึงบัดนี้เขายังไม่ได้สติ
    ..... “คุณพ่อครับ ผมมาแล้วครับ ผมขอโทษที่มาช้าไป” หมอศักดากระซิบและร่ำไห้ หยาดน้ำตาของเขาหยดลงบนหลังมือหมอสันต์
    ..... พยาบาลประจำหออภิบาลผู้ป่วยหนักแจ้งให้เขาทราบว่า หมอสันต์เขียนคำไม่ยินยอมให้กู้ชีพทิ้งไว้เพราะเขาทราบดีว่าวาระสุดท้ายใกล้เข้ามาแล้ว โรคมะเร็งตับที่ลุกลามไปไกลไม่มีทางรักษาได้ เขาไม่เคยบอกใครเลยว่ากำลังเจ็บป่วยตลอดหกเดือนมานี้ แต่เขาชอบพูดทีเล่นทีจริงกับพยาบาลบ่อยๆว่าอย่าได้ยื้อยุดชีวิตเขาเมื่อยามสิ้นหวัง ในที่สุดเขาลงข้อความแนบท้ายใบรับรองนั้นว่า “กรุณาให้ผมตายอย่างมีเกียรติ”
    ..... หมอศักดาผิวดำคล้ำและสูงใหญ่ ไม่มีลักษณะใดเหมือนคุณพ่อที่ผิวขาวเหลืองแม้แต่น้อย เขาเรียนจบศัลยแพทย์เมื่อสามปีที่แล้ว ตั้งแต่อายุได้สิบขวบเขาถูกรับไว้เป็นบุตรอุปการะของหมอสันต์ หมอสันต์บริจาคเงินในโครงการเลี้ยงดูเด็กกำพร้าโดยเลือกเขาเป็นบุตร ทุกๆเดือนเขาจะเขียนจดหมายมาขอบคุณ เขามักเล่าถึงความเป็นไปในชีวิตให้หมอสันต์ทราบ และเขาก็จะได้รับจดหมายเป็นกำลังใจจากพ่ออุปการะคนนี้อย่างสม่ำเสมอเช่นกัน มันเป็นแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่จนทำให้เขาสามารถเรียนจบแพทย์ เขารักและเคารพหมอสันต์เหมือนพ่อที่แท้จริง ทุกๆปีตั้งแต่เรียนจบเขาจะแวะเวียนมากราบพ่อคนนี้เสมอ เพราะพ่อไม่เคยทอดทิ้งเขา ตลอดยี่สิบกว่าปีพ่ออุปการะคนนี้เป็นผู้ดูแลส่งเสียมิให้เขาได้รู้สึกว่าด้อยกว่าเพื่อนคนใด วันที่เขามีความสุขที่สุดในชีวิตคือวันที่ได้รับพระราชทานปริญญาบัตร หมอสันต์ลางานมาจากต่างจังหวัดเพื่อแสดงความยินดีกับเขาในฐานะพ่อ เขาสัญญากับตัวเองว่าจะตอบแทนพระคุณพ่อให้ถึงที่สุด
    ..... หมอศักดาทราบว่าพ่อไม่มีครอบครัวนอกจากตัวเขาที่เป็นลูก พ่อทำงานอย่างหนักอยู่ในโรงพยาบาลที่ไกลและกันดารถึงยี่สิบกว่าปีโดยไม่เคยห่วงเรื่องของตัวเอง ในใจพ่อคิดแต่เรื่องความทุกข์ยากของคนไข้ จนถึงวันที่หมอสันต์ป่วยหนักก็มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่เป็นญาติ ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เสียสละถึงเพียงนี้เวลาประสบเคราะห์กรรมกลับดูน่าอนาถายิ่งนัก
    ..... หมอศักดาคิดว่ามันเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องดูแลพ่อให้ดีที่สุด เขาเดินทางมาจากโรงพยาบาลในภาคใต้ทางเครื่องบินทันทีที่ทราบข่าวแล้วต่อรถไฟจนมาถึงที่นี่เมื่อเช้านี้ ถึงอย่างไรจิตใจของหมอศักดาก็ยังรู้สึกทุกข์ร้อนเป็นอย่างยิ่ง เขาคิดว่าตัวเองยังไม่ได้ตอบแทนพระคุณท่านเลยแม้แต่น้อย
    ..... ขณะที่ยังไม่ทันที่จะได้ทดแทนพระคุณพ่อ เขากลับได้รับของขวัญจากพ่อชิ้นหนึ่ง มันเป็นกล่องสีทองขนาดห้าคูณแปดนิ้ว พ่อกำชับเพื่อนพยาบาลที่ไว้ใจให้นำมามอบแก่หมอศักดาด้วยมือตนเอง สิ่งของภายในกล่องที่หมอสันต์ทะนุถนอมมาตลอดเวลานั้นมีความหมายมากสำหรับเขา
    ..... เขาเปิดมันออกแล้วพบว่ามีภาพที่พ่อถ่ายคู่กับเขาตอนสิบขวบ พ่อในภาพยังหนุ่มแน่นและแข็งแรง มีจดหมายสั่งเสียที่เขียนด้วยลายมือสั้นๆว่า
    ..... “พ่อรักและหวังดีต่อลูกเสมอ พ่อภูมิใจที่ได้เห็นลูกเติบใหญ่ขึ้นมาและเป็นคนดี ความจริงตัวพ่อก็เติบโตขึ้นมาก็โดยพ่ออุปการะเช่นเดียวกัน พ่อขอยกทุกสิ่งที่พ่อมีให้แก่ลูก ถ้าไม่ขัดข้องขอให้ลูกรับดูแลลูกอุปการะสักคน สั่งสอนให้เขาเป็นคนดี เพราะเขาคงกำลังพบกับยากลำบากเหมือนกับที่พวกเราเคยเป็น และที่สำคัญเขายังไม่มีใครนอกจากเรา ด้วยรัก จากพ่อ” คำลงท้ายนั้นสั้นแต่กินใจหมอศักดา เขาอ่านแล้วก้มลงกราบที่แทบเท้าพ่อ
    ..... นอกจากสมุดเงินฝากสองเล่ม ผลการตรวจร่างกายที่แจ้งว่าเป็นมะเร็งตับ สร้อยพระเครื่องพวงหนึ่ง แหวนเพชรของสตรีหนึ่งวงแล้ว ที่เหลือเป็นของมีค่าอื่นๆและของที่ระลึกส่วนตัวของหมอสันต์ แต่ที่น่าแปลกคือมีรูปถ่ายของสตรีสาวสวยอีกภาพหนึ่งในกล่อง พ่อไม่เคยบอกว่ายังมีใครอื่นในครอบครัวกับเขาเลย ภาพนั้นถ่ายไว้นานแล้ว เธออยู่ในชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คะเนดูคงถ่ายไว้ตั้งแต่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน หลังภาพนั้นเขียนว่า “เจนจิรา”
    ..... สัญญาณชีพของพ่อค่อยๆช้าลง ลมหายใจของพ่อรวยระริน เขากุมมือพ่อแน่นแล้วก้มตัวลงเพื่อให้แก้มสัมผัสกับหลังมือ น้ำตาหมอศักดาไหลพรากด้วยความเศร้าโศกเหลือประมาณ เขาทราบว่าวาระสุดท้ายของชีวิตพ่อมาถึงแล้ว
    ..... หมอสันต์กำลังจากไปอย่างมีเกียรติ แพทย์พยาบาลและเจ้าหน้าที่ซึ่งเคยร่วมงานต่างหลั่งไหลมาแสดงความอาลัยแน่นหน้าหออภิบาล ผู้คนทั้งหมดที่มาล้วนแล้วแต่ศรัทธาในคุณความดีและชื่นชมการเสียสละที่เกิดขึ้นตลอดทั้งชีวิตของหมอสันต์ มีประชาชนและผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่ร้องไห้เสียใจต่อการจากไปของเขา
    ..... หมอศักดาเช็ดหน้าให้พ่อ เขาถอดหน้ากากออกซิเจนออกแล้วบรรจงสวมแว่นให้พ่อแทน
    ..... “ขอจงไปสู่สุขคติเถอะครับพ่อ พ่อยิ่งใหญ่จริงๆครับ ผมรักพ่อ” หมอศักดาพูดกับพ่อเป็นครั้งสุดท้าย

    จากคุณ : ปัญญ์ ปิยะอเนก punn12345@yahoo - [ 14 ก.ค. 48 14:32:01 A:172.19.0.119 X:203.156.50.193 TicketID:104429 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป