๑
ค่ำคืนนี้อากาศเย็นสบาย ด้วยสายลมโชยอ่อน สายน้ำในแม่น้ำยามนี้สงบนิ่ง ไร้เกลียวคลื่นเชกเช่นยามกลางวันที่มีผู้คนสัญจรขวักไขว่ กิ่งลำพูต้นใหญ่อันยืนต้นเรียงรายอยู่ชายน้ำ พริ้วไหวไปตามแรงลม แซมสลับด้วยประกายระยิบระยับจากแสงของหิ่งห้อยนับพันที่เกาะอยู่ตามกิ่งก้านสาขา กระดิ่งใบน้อยที่แขวนอยู่ตามชายคาของเรือนไทยขนาดกลางซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำไหวติงส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊งทุกคราวเมื่อต้องกับสายลม มะลิซ้อนที่เลื้อยพันเกาะอยู่กับขอบซุ้มประตูส่งกลิ่นหอมกำจาย สลับกับกลิ่นหอมของดอกราตรีและดอกพุดซึ่งปลูกไว้ตลอดแนวบันไดทางขึ้นเรือน ณ กลางชานของเรือนไทยหลังนั้นมีหญิงชรากับเด็กหญิงนั่งอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์และแสงตะเกียงดวงน้อยที่จุดส่องแสงสว่างให้แก่คนทั้งสอง
ยายจ๋า ยายทำอะไรจ๊ะ เสียงเด็กหญิงตัวน้อยร้องถามผู้เป็นยายซึ่งกำลังที่กำลังจุดไฟเพื่อเผาอะไรบางอย่างในจานสังกะสี
ยายกำลังเผาเปลือกส้มแห้งไล่ยุงน่ะลูก ยุงจะได้ไม่กัดหนูไงจ๊ะ ผู้เป็นยายบอกพลางดันจานออกไปวางนอกเสื่อไม่ไกลจากที่เด็กหญิงนั่งอยู่
คนสมัยก่อนท่านฉลาด รู้จักใช้ของให้คุ้มค่า ดูอย่างเปลือกส้มซิลูก ก็พอเรากินเนื้อมันแล้วแทนที่จะทิ้งเปลือกไปให้เสียเปล่า เราก็เอามาตากแดดให้แห้งแล้วเอามาเผาไฟไล่ยุงได้ นอกจากจะประหยัดแล้วยังปลอดภัยอีกหนา นี่แหล่ะเขาเรียกว่า ภูมิปัญญา ของคนโบราณลูก ยายอธิบายให้หลานสาวตัวน้อยฟัง
แล้วถ้าปลอดภัยยุงมันจะตายไม๊ล่ะจ๊ะยาย หนูเคยเห็นที่ร้านเจ๊กอู๋เขาขายยากันยุง เขาบอกว่าจุดทีเดียวยุงตายเรียบ หลานสาวสงสัย
นั่นเขาผสมยาน่ะลูก ยาที่ยายกล่าวถึงก็คือสารเคมีที่ผสมอยู่ในยากันยุง พอจุดแทนที่จะไล่ยุงได้ คนจุดนั่นแหล่ะที่จะตายก่อน เพราะสูดเอาควันพิษเข้าไปทุกวันๆ แล้วที่ยายจุดนี่ไม่ใช่เพื่อจะฆ่ายุง แต่ยายต้องการไล่ยุงต่างหาก จำไว้นะลูกสัตว์ไม่ว่าจะตัวเล็กหรือใหญ่ จะเป็นยุงหรือว่าเสือไม่เว้นแม้แต่สัตว์ประเสริฐที่เรียกตัวเองว่า มนุษย์ อย่างเราก็กลัวตาย ฉะนั้นเราจงอย่าไปเบียดเบียนเขา เมตตาไว้เถิดลูกแล้วเราจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เหมือนที่พระพุทธองค์ท่านตรัสไว้ น้ำเสียงของผู้เป็นยายอ่อนโยนประหนึ่งน้ำที่เข้าไปชโลมจิตใจของผู้เป็นหลานให้ชุ่มเย็น
จ่ะยาย หลานสาวรับปากเสียงใส
เออ
.น้ำเอ้ย ลูกช่วยยกกระจาดดอกบัวตรงนั้นให้ยายถี่ ยายชี้ไปยังกระจาดใบย่อมที่ข้างในมีดอกบัวตูมประมาณ ๗ - ๘ ดอกวางอยู่ข้างเสาเรือนริมชาน
นี่จ่ะยาย หลานสานสาวรีบวิ่งกุลีกุจอนำกระจาดบัวมาให้ยาย
ค่อยๆก็ได้ลูก เราเป็นผู้หญิงยิงเรือ ต้องหัดสำรวมกิริยามารยาทไว้ คนอื่นเข้าจะได้ไม่ดูถูกเราได้ อย่างที่โบราณท่านว่า สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุลไงจ๊ะ ผู้เป็นยายสอนหลานสาวพลางหยิบขนมในอับส่งให้เด็กหญิงที่ตอนนี้นั่งยิ้มแป้นรอรับขนมเป็นรางวัล
เด็กหญิงน้ำ หรือที่ผู้เป็นบิดาตั้งชื่อจริงว่า เด็กหญิงน้ำฟ้า วัย ๗ ปี มักชอบมานั่งเล่นกับยายเที่ยง ยายของเธอทุกค่ำ จนกว่าผู้เป็นมารดาจะเดินมาตาม และในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์เธอก็มักจะมาค้างกับผู้เป็นยายเสมอ เด็กหญิงคนนี้ได้รับการอบรมดูแลจากผู้เป็นยายตั้งแต่เธอเริ่มหัดพูดได้ ยายมักบอกพ่อกับแม่และคนที่รู้จักเด็กหญิงน้ำฟ้าเสมอๆว่า เด็กคนนี้มีลักษณะดี ผิวพรรณขาวใสไร้ตำหนิด่างดำ ตาดำใสสวย จมูกงามได้รูป คำพูดคำจาฉลาดหลักแหลม รู้จักถามรู้จักซัก
..ต่อไปเด็กคนนี้จะได้ดี จนเมื่อเด็กหญิงน้ำฟ้าเริ่มโตขึ้นเธอก็ยิ่งชอบมาอยู่กับยาย โดยหารู้ไม่ว่า เธอได้ซึมซับเอาสิ่งดีๆหลายอย่างจากยายของเธอไว้ ทั้งเรื่องการบ้านการเรือน เรื่องกิริยามารยาทรวมถึงอุปนิสัยส่วนตัวที่ดูเรียบร้อยและใสเย็น แผกไปจากเด็กในวัยเดียวกัน
น้ำฟ้า ชื่อของลูกหมายถึง น้ำฝน ฝนที่หยาดชโลมหล่อเลี้ยงสรรพชีวิตบนโลกให้ชุ่มเย็น ลูกจงเป็นเฉกเช่นสายฝน ที่ไม่ว่าหยาดลงมาคราใดก็ล้วนแต่ทำให้ผู้อื่นเป็นสุขและชุ่มเย็นนะลูก ผู้เป็นพ่อเคยอธิบายที่มาของชื่อเด็กหญิงน้ำฟ้า
ฉะนั้นจึงเป็นภาพเจนตาที่ผู้คนซึ่งมักพายเรือสัญจรไปมาผ่านบ้านหลังนี้ในตอนเช้าตรู่ จะพบเห็นเด็กหญิงแก้มยุ้ย ผมเปีย สวมชุดนักเรียนสีขาวกระโปรงสีน้ำเงิน นั่งพับเพียบอยู่ที่ศาลาท่าน้ำเคียงข้างหญิงชราร่างเล็ก ผมขาว หากแต่ท่าทางยังคงกระฉับกระเฉงผิดกับคนสูงอายุในวัย ๗๐ ปีคนอื่นๆ เพื่อรอใส่บาตรพระภิกษุที่พายเรือออกมารับบิณฑบาตรทุกเช้าก่อนที่เด็กหญิงจะไปโรงเรียน ในตอนเย็นหลังจากที่เธอกลับจากโรงเรียนและนำกระเป๋าไปเก็บในห้องนอนแล้ว เธอก็มักจะขออนุญาตมารดาไปหาคุณยายที่เรือนไทยริมไม่ห่างจากบ้านของเธอเท่าไรนัก
ทำไมยายไม่ย้ายมาอยู่กับหนูแล้วก็คุณพ่อคุณแม่ล่ะจ๊ะ หลานสาวตัวน้อยเคยเอ่ยถามผู้เป็นยาย
ไม่ล่ะลูก ที่นี่เย็นสบายกว่า อีกอย่างยายก็อยู่เรือนหลังนี้กับคุณตาของหลาน มาตั้งแต่สาวจนแก่ จะให้ย้ายไปอยู่บ้านตึก ก็คงไม่ไหวดอก มันอึดอัดน่ะลูก ยายอธิบายเหตุผลให้หลานตัวน้อยฟัง และแม่ก็เคยเล่าให้เด็กหญิงฟังว่า สมัยที่แม่แต่งงานกับคุณพ่อของลูก คุณตากับคุณยายท่านก็เมตตาให้ที่ดินสร้างเรือนหอ หรือบ้านที่เราอยู่ปัจจุบันนี้ เพราะคุณตาท่านอยากให้ลูกหลานอยู่ใกล้ๆกับท่าน คุณตาคุณยายท่านรักหนูมากนะจ๊ะ ผู้เป็นมารดาชี้ไปที่จี้รูปหัวใจประดับพลอยสีแดงซึ่งห้อยอยู่บนสายสร้อยทองเส้นเล็กที่คอของบุตรสาว จี้กับสร้อยคอเส้นนั้นคุณตาท่านให้เป็นของทำขวัญตอนที่น้ำฟ้าเกิด แต่ท่านก็อยู่กับหนูได้ไม่นาน ไม่ทันเห็นหลานสาวของท่านเติบโตเป็นเด็กน่ารักอย่างทุกวันนี้ น้ำเสียงของคุณแม่แหบพร่าลงอย่างเห็นได้ชัด แต่น้ำฟ้าก็จำใบหน้าอันแสนใจดีและมีเมตตาของคุณตาได้ เพราะคุณยายเคยหยิบรูปคุณตามาให้เด็กหญิงดู บุคคลในภาพเป็นชายวัยกลางคนสวมเสื้อคอตั้ง แขนยาวสีขาว หน้าอกเบื้องซ้ายเต็มไปด้วยเหรียญตราต่างๆ และที่ไหล่ด้านขวาพาดสายสะพายที่มีโบว์หูกระต่ายห้อยอยู่ตรงกับเอว บนหูกระต่ายนั้นมีดวงตราเหมือนกับที่อยู่บนหน้าอกคุณตาแต่ขนาดใหญ่กว่าห้อยอยู่ด้วย เสื้อนั้นถูกสวมทับด้วยชุดคลุมบางยาวที่ปักประดับด้วยลวดลายงดงามอีกชั้นหนึ่ง ชุดคลุมนี้คุณยายเรียกว่า เสื้อครุย ใบหน้าของบุคคลในภาพดูน่าเกรงขามด้วยหนวดดกเฟึ้มหากแฝงไปด้วยความอ่อนโยนที่เด็กหญิงสัมผัสได้ ไม่ไกลจากที่คุณตายืนอยู่เป็นโต๊ะตัวสูงที่มีผ้าปูโต๊ะลวดลายงดงาม บนโต๊ะนั้นตั้งวัตถุที่ดูคล้ายกับพานที่รองกาน้ำใบเล็ก แต่กาน้ำที่เห็นในภาพกับกาน้ำที่มารดาใช้อยู่นั้นช่างต่างกันเสียเหลือเกิน เพราะกาน้ำในภาพเป็นกาน้ำที่ทำด้วยโลหะสีทองประดับประดาด้วยลวดลายซึ่งเด็กหญิงเองก็ไม่สามารถจะบอกได้ว่าลวดลายที่เห็นนั้นเป็นลายอะไร ผิดกับกาน้ำที่เธอเคยเห็นเวลาที่มารดาใช้ต้มน้ำให้เธออาบเวลาหน้าหนาว เพราะนอกจากจะมองไม่เห็นลวดลายอะไรจากภายนอกแล้วยังเต็มไปด้วยคราบเขม่าดำหนาจากฝืนที่ใช้ต้มน้ำเสียอีก คุณยายเล่าให้เด็กสาวฟังว่า สมัยที่คุณตายังมีชีวิตอยู่นั้น ท่านรับราชการสนองพระเดชพระคุณอยู่กระทรวงมหาดไทย จนเบื้องบนท่านมีเมตตาพระราชทานบำเหน็จรางวัลตอบแทนความดีความชอบ ภาพที่ลูกเห็นเป็นตอนที่คุณตาท่านถ่ายหลังจากเข้ารับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
เหรียญที่ห้อยอยู่ตรงอกคุณตาน่ะหรอจ๊ะยาย หลานสงสัย
ใช่ลูก รวมถึงแพรแถบที่พาดไหล่ขวาเฉียงไปทางด้านซ้ายนั่นด้วย เราเรียกว่าเครื่องราชอิสริยาภรณ์เหมือนกัน พระพุทธเจ้าอยู่หัวเท่านั้นที่มีสิทธิ์จะพระราชทานให้ผู้ใดก็ได้ตามแต่พระราชประสงค์ แล้วกาน้ำที่เห็นในก็เป็นเครื่องยศที่ได้รับมาพร้อมกัน ยายเอ่ยพระนามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตามอย่างคนโบราณที่มักเอ่ยกันว่า พระพุทธเจ้าอยู่หัว บ้านเรารับราชการมาหลายชั่วคน ตั้งแต่รุ่นคุณเทียด คุณทวด เรื่อยมาจนถึงคุณตาของลูก รอยอดีตของคุณยายมักแจ่มใสเสมอ เมื่อคราใดก็ตามที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆให้กับหลานรักฟัง
ดังนั้นด้วยความที่ตระกูลของน้ำฟ้าเป็นตระกูลเก่าแก่อาณาบริเวณ บ้าน ของเด็กหญิงน้ำฟ้าจึงกว้างขวางเป็นธรรมดา โดยผสมผสมผสานระหว่างบ้านตึกแบบฝรั่งกับเรือนไทยโบราณ ที่ทั้งสองปลูกอยู่ภายใต้ร่มเงาอันร่มรื่นของไม้ใหญ่แซมสลับด้วยไม้หอมนานาชนิด หากมีสิ่งหนึ่งที่เชื่อมโยงเรือนสองหลังนี้เข้าด้วยกันคือความรักและความเมตตาซึ่งกันและกันของคนต่างวัย
ยายจ๋า แสงที่อยู่ตรงต้นไม้พวกนั้นคืออะไรหรอจ๊ะ พอขนมหมดผู้เป็นหลานก็เริ่มซัก โดยชี้ไปทางต้นลำพูข้างศาลาริมน้ำ
นั่นเขาเรียกหิ่งห้อยลูก แล้วต้นไม้นั่นเขาเรียกว่าต้นลำพู ยายตอบพลางพับกลีบดอกบัวในกระจาดไปด้วย
ต้นที่ขึ้นอยู่ริมน้ำนั่นน่ะหรอจ๊ะ หนูสังเกตเวลาน้ำลงมีอะไรแหลมๆงอกมาจากพื้นดินรอบๆต้นด้วย เจ้าตัวน้อยเล่าให้ยายฟัง
อ๋อ นั่นน่ะเป็นรากอากาศของต้นลำพู ต้นไม้ชนิดนี้ ไม่เหมือนกับต้นไม้ชนิดอื่นๆที่ขึ้นอยู่บนบกเพราะมันขึ้นขึ้นอยู่ริมน้ำ ฉะนั้นเวลามันหายใจมันก็ใช้รากอากาศในการหายใจ ยิ่งน้ำขึ้นสูงเท่าไหร่มันก็ยิ่งงอกรากให้โผล่พ้นจากน้ำ ก็คล้ายๆกับคนเรานั่นแหล่ะที่ต้องมีจมูกคอยช่วยหายใจไงลูก ยายวางมือจากการพับดอกบัวหันไปหยิบขนมในอับส่งให้หลานอีกชิ้นแล้วจึงหยิบดอกบัวขึ้นมาพับต่อ
แล้ว
ไม่ทันที่ผู้เป็นหลานจะถามจบยายก็ร้องเตือนว่า เคี้ยวขนมให้หมดปากเสียก่อนแล้วค่อยพูด มันไม่งามนะลูกเวลาที่ของเต็มปากแล้วเราพูดอะไรออกไป คนอื่นเขาจะรังเกียจ
จ่ะ หลานสาวตัวน้อยรีบกลืนขนมลงคอแล้วจึงตอบรับคำพูดของยาย
อืม ทีนี้ว่ามาได้ เมื่อครู่หลานจะถามว่าอะไรนะ ยายถาม
แล้วทำไมหิ่งห้อยถึงต้องมาเกาะที่ต้นลำพูด้วยล่ะจ๊ะ ทีต้นไม้ต้นอื่นไม่เห็นมันไปเกาะเลย
ผู้เป็นยายอดยิ้มต่อคำถามที่บ่งบอกถึงความเป็นเด็กช่างสังเกตของหลานสาวตัวน้อยอย่างพึงพอใจเสียไม่ได้ ก่อนที่จะเอ่ย
ลำพูมันมีน้ำหวานบางอย่างที่ที่หิ่งห้อยชอบ หิ่งห้อยจึงบินมาเกาะอยู่ที่ต้นลำพูเป็นร้อยเป็นพันตัว ยามกลางคืนจึงเห็นแสงสว่างไสวระยิบระยับเหมือนดวงดาวบนฟ้า
บนฟ้าดาริการะยับยิบ
ดาวกระพริบแจ่มจรัสระยับไหว
แสงจันทร์สาดส่องผ่องอำไพ
สว่างไสวใสกระจ่างกลางนภา
เสียงขับทำนองเสนาะของยายสะกดผู้เป็นหลานให้นั่งนิ่งตั้งใจฟังผู้เป็นยาย และเมื่อกวีบทนั้นจบยายจึงเอ่ยขึ้น คนโบราณเขายังเชื่อกันอีกนะลูกว่าเจ้าหิ่งห้อยพวกนี้มันจุดไฟคอยตามหานางลำพูคนรักที่จมน้ำพลัดพลากจากกันไป
อ้าว หิ่งห้อยมันเป็นแมลงตัวนิดเดียวแล้วมันมารักกับนางลำพูได้ยังไงล่ะจ๊ะ หลานสาวช่างสงสัยซัก
มันเป็นนิทานปรัมปราของคนโบราณน่ะลูก ไม่ใช่เรื่องจริงหรอก เขาแต่งมาเล่าเพื่อความสนุกสนานเท่านั้นแหล่ะ ยายอธิบาย
งั้นยายก็เล่าให้หนูฟังหน่อยซิจ๊ะ นิทานที่ยายเล่าให้หนูฟังสนุกทุกเรื่องเลย ผู้เป็นหลานซึ่งบัดนี้นอนคว่ำหน้าเอามือเท้าคางแสดงท่าทางตั้งอกตั้งใจฝันอย่างเต็มที่คะยั้นคะยอ
ผู้เป็นยายหลับตาอยู่ครู่หนึ่งคล้ายกับรำลึกเรื่องราวต่างๆก่อนที่จะถ่ายทอดให้เด็กหญิงฟัง ไม่นานนักจึงลืมตาขึ้นพร้อมกับยิ้มให้หลานตัวน้อยแล้วจึงเริ่มเล่าเรื่อง เรื่องมันมีอยู่ว่า
* * * * * โปรดติดตามตอนต่อไป * * * * *
จากคุณ :
อักษรชนนี
- [
20 ก.ค. 48 16:02:05
A:58.10.37.21 X:
]