CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    "Home" (ตอนจบคนละเวอร์ชั่นกับที่ประกวด แล้วก็แก้ไขเล็กน้อยแล้วค่ะ)

    “House is made of bricks and stone but home is made of love alone.” ไม่ทราบผู้แต่ง

    บทที่ 1 คนไม่มีที่ไป

        ดูราวกับว่าเวลาได้ถูกหยุดลงไปแล้ว

        ผมยืนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ยามแหงนหน้าขึ้นมองคอนโดขนาดเล็กสูงเจ็ดชั้นที่ตั้งอยู่ตรงหน้า และอาจเป็นเพราะขนาดความกว้างที่ไม่มากนักของคอนโด ทำให้ในแต่ละชั้นมีห้องชุดเพียงแค่ห้องเดียว สำหรับครอบครัวหนึ่งครอบครัวที่จะอยู่ด้วยกัน

        ชั้นที่สี่นั้นมืดสนิทต่างจากชั้นอื่นๆ ที่มีแสงไฟสว่างนวลลอดผ่านม่านออกมาให้ได้เห็น ผมยังคงทำเหมือนที่เคยทำทุกครั้งที่กลับมาถึงบ้าน คือยืนมองแสงไฟที่ลอดออกมา มองหาเงาคนหรืออะไรไหวๆ ตรงผ้าม่าน สัญญาณเล็กๆ น้อยๆ ที่บอกถึงการเคลื่อนไหว สิ่งที่บอกว่ามีใครกำลังคอยอยู่...

        บ้านมืด ห้องนอนของพ่อแม่ไร้แสงไฟ ผ้าม่านไม่ขยับเคลื่อนไหว ไม่มีใครคอยการกลับมา

        ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดถึงอดีต ผมส่ายหน้าน้อยๆ และย้ำกับตัวเองขณะก้าวเข้าสู่ตัวอาคารอย่างช้าๆ จากนั้นก็กดลิฟท์ไปที่ชั้นสี่ กลับไปยังบ้าน…ที่เคยเป็นของเราสามคน

        เมื่อไขกุญแจเข้าไปในบ้านและกดสวิตช์ไฟทั้งหมดที่มี โดยไม่เว้นแม้แต่ไฟในห้องน้ำแล้ว ผมมองความเวิ้งว้างตรงหน้าอย่างใจหาย ความเงียบสงัดของตัวบ้านทำให้แม้เพียงเสียงเข็มนาฬิกาที่ดังติ๊ก...ติ๊ก เมื่อเวลาเดินผ่านไป ก็ยังดังกังวานก้องไปทั่ว

        แสงไฟที่สว่างโร่ไม่ได้ช่วยลบล้างความเยียบเย็นที่แทรกอยู่ในทุกอณูของบรรยากาศได้เลย ผมยืนอยู่กลางห้องที่ดูเหมือนจะกว้างเกินไปสำหรับคนๆ เดียวแล้วรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาในอก

        ว่างเปล่า...มันช่างว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยจริงๆ

        บ้านหลังนี้ได้กลายเป็นแค่บ้านทางกาย แต่ไม่ใช่บ้านทางใจอย่างที่เคยเป็นอีกแล้ว...

        ผมเสียคนสำคัญที่สุดในชีวิตของผม...แม่ ไปเมื่อห้าปีก่อน พ่อซึ่งเอาแต่เหม่อลอยตลอดการสวดอภิธรรมศพในวันแรกๆ ยังคงเผลอตัวสะกิดผมให้ไปตามแม่ให้กลับบ้าน

        ผมได้แต่นั่งนิ่ง ไม่กล้าสบตาพ่อ ไม่รู้จะบอกท่านให้รู้ตัวได้อย่างไรว่า แม่ไม่อยู่กับเราอีกแล้ว แม่จากไปแล้ว...

        แต่สุดท้าย ท่านก็รู้ตัวและเราก็ขับรถกลับบ้านตามลำพังสองคน

        ท่ามกลางความเงียบสงัดภายในรถ ผมหวิดๆ จะร้องไห้ออกมาหลายครั้ง ผมพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้อย่างเต็มที่ แต่เมื่อทำเพียงแค่สูดน้ำมูกขึ้นมาฮึดหนึ่งเท่านั้น น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ก็ไหลออกมา ผมรีบเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็ว พ่อเคยสอนไว้ว่า เราเป็นลูกผู้ชาย เวลาเสียใจและอยากร้องไห้ เราจะไม่ทำให้ใครเห็น แม้จะเจ็บปวดเพียงใด เราจะร้องไห้ในใจ

        แต่ยิ่งเช็ดน้ำตาเท่าไหร่ มันก็ยิ่งไหลออกมา

        ทำไมมันไม่หยุดไหล

        ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่อยาก...จะร้องไห้

        ไม่อยาก...

        แต่ก็กลั้นไม่ไหว

        ผมกลั้นไม่ไหวแล้วจริงๆ

         พ่อค่อยๆ ชลอความเร็วรถลง เปลี่ยนเลนช้าๆ และเข้าจอดที่ข้างทาง พ่อดึงตัวผมเข้ามากอดไว้ และเราก็ร้องไห้ด้วยกันเงียบๆ

        หลังจากงานศพของแม่ผ่านไป พ่อก็เงียบขรึมและพูดน้อยลงกว่าเดิม ท่านเริ่มทำงานหนักและกลับดึกมากขึ้น ผมเป็นห่วงท่านมาก หลายครั้งที่ผมหิ้วท้องรอกินข้าวเย็นกับพ่อจนฟุบหลับคาโต๊ะกินข้าว

         พอตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ผมมักจะพบว่าพ่อออกไปทำงานแล้ว และท่านก็ทิ้งร่องรอยของความเอาใจใส่ห่วงใยไว้บนผ้าห่มซึ่งคลุมตัวผมอยู่ ผมกระชับผ้าห่มที่คลุมตัวไว้เล็กน้อยก่อนจะปลดมันลงจากบ่า พับเก็บให้เรียบร้อยเหมือนที่เคยเห็นแม่ทำ

        ผมมองกับข้าวที่พร่องไปนิดหน่อยบนโต๊ะ ผมไม่รู้ว่าฝีมือทำกับข้าวของผมพัฒนาขึ้นหรือยัง เพราะพ่อยังคงกินข้าวน้อยเหมือนทุกครั้ง บางทีผมน่าจะ...ไม่สิ ควรจะเข้ามาช่วยแม่ทำกับข้าวให้มากขึ้น แต่มาคิดได้ตอนนี้มันจะได้อะไรขึ้นมา ในเมื่อคนสอนก็ไม่อยู่แล้ว และคนกินก็ไปทำงานแล้ว...ผมถอนหายใจออกมาอย่างเศร้าๆ เมื่อพบโน้ตเล็กๆ ที่เหมือนการสื่อสารย่อยๆ ของเรา ‘วันนี้พ่อคงกลับดึก ไม่ต้องทำกับข้าวไว้รอหรอก’

        เมื่อปริมาณคนกินเหลือเพียงคนเดียว ผมจึงอาศัยฝากท้องไว้กับร้านข้าวแกงแถวบ้าน แทนการหุงข้าวและทำกับข้าว ตอนนี้อุปกรณ์ภายในครัวทุกอย่างดูเก่า มีฝุ่นจับ ยกเว้นกาต้มน้ำร้อนกับไมโครเวฟ
    .............................

        ผมเดินไปลูบหม้อหุงข้าว แล้วยกนิ้วขึ้นมาดู ฝุ่นดำๆ ติดมือผมมาด้วย ผมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อสำรวจของกินสำหรับเย็นนี้ ในตู้เย็นโล่งๆ มีเพียงขวดน้ำดื่ม ไข่หนึ่งฟอง และกับข้าวถุงที่เหลือของเย็นวาน

        “นี่ถ้าแม่รู้ จะต้องว่าเราแน่ๆ ที่กินแต่ของไม่มีประโยชน์” ผมพึมพำกับตัวเองขณะควานหาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่น่าจะยังมีเหลืออยู่และยิ้มออกมาหน่อยหนึ่งเมื่อพบมัน

        ‘บางครั้งการได้แอบผู้ใหญ่ทำความผิดอะไรเล็กๆ น้อยๆ นี่มันก็ตื่นเต้นดีเหมือนกันนะ’ แต่รอยยิ้มก็ค่อยๆ จางหายไปจากใบหน้าช้าๆ เมื่อนึกถึงความจริงข้อหนึ่งที่ว่า

        ท่านไม่อยู่แล้วนี่…

        ไม่มีใครคอยตำหนิ…ไม่มีใครคอยเป็นห่วง…

         เราต้องอยู่ด้วยตัวเองแล้ว

        ความอยากอาหารหดหายไป ผมเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาสีครีมพลางลูบรอยเปื้อนจากสีเมจิกที่ผมขีดเอาไว้ในสมัยเด็กอย่างเผลอๆ

        วัยเด็กที่แสนจะมีความสุข

        ผมสะบัดหน้าไล่ความทรงจำนั้นออกไป หลายครั้งที่มันช่วยให้ผมผ่านค่ำคืนที่ไม่อาจข่มตาให้หลับได้ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ย้ำเตือนในสิ่งที่ผมไม่มี…ไม่มีอีกแล้วในวันนี้

        จู่ๆ คำพูดสุดท้ายก่อนที่แม่จะจากไปก็แวบขึ้นมาในหัว  

        “ดูแลพ่อด้วยนะ ดูแลตัวเอง” แม่บีบมือพ่อที่กุมมือผมเอาไว้ “ดูแลกันและกัน” แม่ยิ้มให้เราก่อนจะหลับไปเพราะฤทธิ์ยา และก็จากไปในคืนนั้นอย่างสงบ

        แม่…ผมดูแลพ่อได้ไม่ดี ท่านจึงจากไป...ไปจากผมอีกคน

        เดือนมกราคมตอนที่ผมอายุสิบเก้า มีโทรศัพท์ตามตัวผมออกมาจากห้องเรียน ทางโรงพยาบาลแจ้งมาว่าพ่อมีอาการหัวใจล้มเหลว

         ผมรีบรุดไป…ทันดูใจท่านเป็นครั้งสุดท้าย ผมกุมมือเย็นชืดของท่านไว้ ท่านพยายามขยับนิ้วในมือของผม มันเป็นแรงบีบเบาๆ หากหนักแน่นไปด้วยความรู้สึก เราไม่ได้พูดอะไรกันแม้แต่คำเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างถูกสื่อผ่านสายตา ผมซบหน้าลงกับท่อนแขนของท่าน

        สัญญาณชีพดังตี๊ด ยาว…ผมปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอย่างเงียบๆ

        คนที่ผมรักมากที่สุดจากผมไปอีกคนแล้ว

        ตอนนี้ไม่เหลือใครอีกแล้ว…

        ผมไม่รู้ว่าตัวเองนั่งอยู่อย่างนั้นนานแค่ไหน อาจจะซักห้านาที หรืออาจจะห้าชั่วโมง หมอซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไร เข้ามาตบไหล่ผมเบาๆ พยาบาลดึงตัวผมให้ออกห่างจากเตียง มือของพ่อตกลงบนเตียงอย่างไร้แรงต้านทาน

        พยาบาลจัดการดึงผ้าสีขาวขึ้นคลุมหน้าของพ่อ

        ผมยืนมองพ่อด้วยสายตาเหม่อลอย หมออธิบายถึงการตัดสินใจของพ่อ มันเป็นความต้องการของท่านเอง ท่านได้บอกกับหมอว่า หากมีอะไรเกิดขึ้น ขอให้หมออย่าได้ยื้อเวลาใดๆ อีก ท่านไม่ต้องการให้ฝืนสิ่งที่กำลังจะเกิด

         “อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด ปล่อยมันไปตามทางของมัน อย่าไปยึดยื้อเอาไว้เลย” หมอจบคำอธิบายด้วยคำขอร้องของพ่อ และพูดอะไรบางอย่างถึงสาเหตุของการเสียชีวิต เขาบอกว่าพ่อเป็นโรคหัวใจและเกิดอาการหัวใจล้มเหลวแบบเฉียบพลัน ซึ่งน่าจะเป็นผลที่เกิดมาจากความเครียด “บางทีอาจจะเครียดเรื่องงาน” ใครสักคนในที่นั้นให้ความเห็น ผมมองร่างของพ่อที่คลุมไว้ด้วยผ้าสีขาวที่ปิดมาจนถึงหน้าอีกครั้ง พลันความทรงจำในวัยเด็กก็ผุดขึ้นมา

        ผมรู้ดีว่าเพราะอะไร ไม่ได้เป็นเพราะความเครียดจากการทำงานหรอก ก็อย่างในนิทานที่พ่อเคยเล่าให้ฟังไง…เมื่อราชินีตาย ราชาจะอยู่ได้อย่างไร

        “เมื่อหัวใจจากไป ร่างกายก็ไม่อาจอยู่ได้อีก” พ่อบอกในขณะที่เล่านิทานจบ ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ถึงอก กล่าวราตรีสวัสดิ์ แม่ที่เดินเข้ามาสมทบอีกคน มอบจูบราตรีสวัสดิ์ให้ที่หน้าผาก จูบที่จะทำให้ฝันดี

        ในตอนนี้…เมื่อไม่มีทั้งสองอย่าง ผมจะผ่านค่ำคืนไปโดยไม่ฝันร้ายได้อย่างไร

         งานศพของพ่อผ่านไปอย่างรวดเร็วในความรู้สึกของผม ผมกลับมาถึงบ้านที่ว่างเปล่า หลับไปกับน้ำตาที่หลั่งอยู่จนท่วมท้นหัวใจ

        วันรุ่งขึ้น ทนายเดินทางมาหาผม ส่งจดหมายปึกหนึ่งมาให้ มันเป็นจดหมายที่พ่อได้ฝากไว้กับทนายทุกปีเผื่อว่าพ่อเกิดเป็นอะไรไป สิ่งเหล่านี้ก็จะถูกส่งมาให้ตามความต้องการของท่าน ผมรับมันมาเงียบๆ เขาจึงกล่าวถึงพินัยกรรมของพ่ออีกเล็กน้อย แต่ผมไม่อยู่ในสภาพที่จะเข้าใจเรื่องราวใดๆ ทนายจึงตบไหล่ผมสองสามครั้งด้วยความเห็นใจ ก่อนจะนัดเวลาเพื่อคุยรายละเอียดอีกครั้ง เมื่อเขาจากไปแล้ว ผมจึงเริ่มเปิดจดหมายที่กำอยู่ในมือขึ้นอ่าน  

        ความอาทร รวมทั้งความห่วงใยถูกสื่อผ่านทางตัวอักษร พ่อเป็นห่วงอนาคตของผมมากเมื่อรู้ตัวว่าท่านเป็นโรคหัวใจ ท่านกังวลว่าหากท่านเป็นอะไรไปแล้วผมจะอยู่ยังไง การมุทำงานหนักของท่าน ทุกๆ อย่างที่พ่อทำให้ ท่านไม่ได้ไม่สนใจ ท่านไม่ได้ไม่รัก ท่านยังเป็นห่วงผมเสมอ

        ผมรวบจดหมายทุกฉบับเอาไว้ในมืออย่างถนอม เอนตัวลงนอนกับโซฟาที่นั่งอยู่ กอดจดหมายของพ่อเอาไว้ ซึมซับความอบอุ่นที่ยังหลงเหลืออยู่ แต่ถึงจะเป็นจดหมายที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของพ่อ หากมันก็เป็นเพียงแค่กระดาษเท่านั้น มันไม่อาจเติมเต็มความเวิ้งว้างว่างเปล่าในจิตใจของผมได้เลย

        ในขณะนั้นผมรู้สึกราวกับไม่มีหลักให้ยึด ไม่มีที่ให้ไป ที่ที่จะอยู่อย่างสบายใจและมีความสุขได้ก็คือที่นี่เท่านั้น แต่เมื่อบ้านสูญสิ้นความหมายทางใจเสียแล้ว ประโยชน์ที่จะอยู่ต่อไปจึงไม่มี แต่ผมก็ไม่รู้จะไปไหน ไม่มีที่อื่นให้ไปอีกแล้ว

        ผมลูบหน้าผากตัวเองเหม่อๆ เวลาที่ผ่านไปไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย ผมยังคงรู้สึกสับสน ความว่างเปล่าในจิตใจที่ดูราวกับเป็นหุบเหวดำมืด ลึกไม่มีที่สิ้นสุด ต่อไปนี้จะทำอย่างไรกับชีวิตที่เหลืออยู่ จะทำอย่างไรต่อไปดี

    จากคุณ : surudee - [ วันเข้าพรรษา 11:46:59 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป