เช้าวันใหม่ที่ค่อนข้างจะเหมือนเดิมและดูแย่ๆ สำหรับอันธิกา เมื่อเธออกจากบ้านก็ต้องเจอกับการจราจรที่ติดขัดจนน่าปวดหัวซึ่งไม่เห็นทีท่าว่าจะมลายหายไปจากกรุงเทพฯ ในวันใดวันหนึ่ง กว่าจะถึงที่ทำงานก็ทำเอาสาวร่าเริงอย่างอันธิกาถึงกับห่อเหี่ยวหมดเรี่ยวแรง
เหนื่อยมาก...ทำไมนะ การมาทำงานนี่ช่างรู้สึกเหนื่อยกายได้ขนาดนี้นะ นุ่นว่าไหม ยังไม่ทันที่คำตอบจะหลุดออกจากปากคู่สนทนา เสียงใสๆของคนถามก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
เออ...ลืมไปว่าเธอนะบ้านอยู่ใกล้แค่เดินไม่กี่ก้าวเอง คำพูดมีเสียงแกมประชดปนน้อยใจ
คนที่ถูกกล่าวหาจึงเถียงขึ้นมาอย่างนึกสนุก อะไรกัน ไม่เห็นจะใกล้เลย เราก็ยังต้องนั่งรถมาอยู่ดีนั่นแหละจ้ะ ถ้าอันเห็นว่าใกล้วันนี้ตอนเลิกงานลองเดินกลับกันดูสักทีไหม...เอารึเปล่า
จะบ้าไปใหญ่แล้วเพื่อนเรา ชั้นไม่เอาด้วยหรอก ก็แค่พูดเปรียบเทียบ เข้าใจไหม ล้อเล่นก็ไม่ได้คนพูดแสดงท่าทีพร้อมการพูดเพื่อแสดงให้คนฟังรู้ว่ากำลังล้อเล่นไม่ได้คิดจริงจังอะไรอย่างที่ปากว่าออกไป
ก็รู้ว่าล้อเล่น ก็ล้อเล่นตอบไงล่ะจ้ะ คนตอบตอบทีเล่นทีจริงทำเอาคนฟังถึงกับยิ้มออกมาได้เป็นยิ้มแรกตั้งแต่เดินเข้าที่ทำงานมา ซึ่งเอาแต่ทำหน้าบึ้งกับบ่นถึงสิ่งที่ทำให้อารมณ์เสีย
ทักทายกันเสร็จสองสาวก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน แต่อันที่จริงไม่ได้รู้สึกตัวว่าต้องขยันจนกระทั่งผู้จัดการเดินเข้ามานั่นแหละ สองสาวรวมถึงพนักงานคนอื่นๆ ก็รู้สึกว่าถ้ายังไม่เริ่มต้นทำอะไรสักอย่างคงไม่พ้นต้องโดนสายตาอาฆาตของผู้จัดการที่คอยปรายตามองว่าใครที่ยังไม่เข้าประจำยังโต๊ะทำงานบ้าง มองจนต้องรู้สึกเลียวสันหลังวาบๆไปจนถึงเวลาเลิกงาน ไม่ก็อาจจะเก็บไปฝันในคืนนี้เลยเป็นได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ใครต่อใครออกจะเกรงขามหรือหวาดๆทุกครั้งที่ต้องพบปะหรือแค่เห็นแกมองมาเท่านั้น ลับหลังก็มีหลายคนต่างเอาเรื่องของผู้จัดการจอมเฮี้ยบคนนี้ไปนินทาสารพัด ไม่ว่าจะหาว่าแกเป็นเพศที่สามบ้างล่ะถึงได้มีวันประจำเดือนมา แล้วได้อารมณ์ขึ้นๆลงๆอย่างกับผู้หญิง บ้างก็ลามปามไปถึงเรื่องใต้เข็มขัดอันนี้ก็แล้วแต่ใครจะแต่งกลิ่นแต่งรสกันยังไงบ้างสุดแล้วแต่จะคิดกันขึ้นมาได้
สองสาวที่นั่งเงียบเอาแต่ก้มหน้าทำงานตั้งแต่วงสนทนาแตกกระจายก็หันมามองหน้ากันอย่างปลงๆ ถึงความโหดของผู้จัดการ จนสาวปากกล้า ที่ออกจะร่าเริงมากกว่าบ้าบิ่น เริ่มเอ่ยปากชวนสนทนา
นุ่นว่าไหม อีตาผู้จัดการเนี่ย เคร่งเป็นบ้า โหดก็ปานนั้น จุกจิกก็ปานนั้น เรื่องมากได้ทุกเรื่อง เอากับพ่อคุณเถอะ
จุ๊ๆ...อย่าไปว่าเค้าอย่างนั้นสิ เดี๋ยวเกิดเดินมาได้ยินมีหวังได้โดนให้เก็บของกับไปนั่งแหง่วที่บ้านแหงๆเสียงปรามจากนนทิยา ชี้แจงให้เห็นถึงสถานภาพของตนและเพื่อนสนิท
ไม่วายมีเสียงโต้แย้งจากคนที่ถูกปราม ก็มันน่าพูดอยู่ไหมล่ะนุ่น ก็ดูเอาว่าที่พูดมันจริงแค่ไหนกัน
ก็รู้ว่าจริงจ้ะ แต่มันไม่ควรพูดตอนนี้เข้าใจไหมอัน ไม่งั้นเราสองคนจะต้องเดือดร้อนแน่ เพราะ... คนพูดหยุดกึกขึ้นมา ทำให้คู่สนทนาของเธอรู้โดยทันทีว่า คนที่ถูกพาดพิงในการสนทนาของเธอทั้งสองคนนั้นกำลังเดินใกล้เข้ามา สองสาวจึงก้มหน้ามองยังโต๊ะทำงานที่มีแฟ้มเอกสารกองอยู่ โดยไม่ได้สนใจกับคนที่กำลังสอดส่องคนที่ไม่ ยอมปฏิบัติหน้าที่ที่ควรจะทำในเวลานี้
อันธิกาเหลือบมองนาฬิกาเมื่อรู้สึกว่าร่างกายเริ่มเรียกร้องอาหาร เที่ยงแล้วนุ่น ไปหาข้าวกินกันเถอะ
หิวแล้วเหรอจ้ะ ขอเวลาเราแป๊บนึงนะ นนทิยาพูดโดยไม่ได้มองหน้า แต่ก้มหน้าก้มตารีบทำงานให้เสร็จ
ผ่านไป15นาทีสองสาวเพื่อนซี้ก็มานั่งอยู่ในร้านประจำมีอาหารโปรดวางอยู่ตรงหน้า ขณะที่อันธิกากำลังจะลงมือทานอาหารตรงหน้า เธอก็ต้องชะงักมือเพราะมีเสียงพูดที่ไม่คุ้นเคยอยู่ข้างหลัง พอเหลือบตามองก็เห็นนนทิยากำลังส่งยิ้มให้กับบุรุษที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอก่อนที่เธอจะเอ่ยทักทาย แต่ทำเอาคนที่มาด้วยงงว่าเพื่อนทักใคร ก่อนที่จะหันไปมองด้านหลังของตัวเอง แล้วหันกลับมาคาดคั้นกับเพื่อนสาว
นุ่นใครเหรอ อันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ไปรู้จักตอนไหนเหรอ ไอ้ตี๋เนี่ย เสียงที่พูดออกไปนี้ได้ยินกันเพียงแค่สองคน
ตายแล้ว...ทำไมอันไปว่าเค้าอย่างนั้นล่ะจ้ะ
ก็แล้วทำไมล่ะ ก็เห็นแล้วไม่ค่อยถูกชะตาขึ้นมา ยิ่งไอ้คนตัวโตๆที่ยืนข้างๆด้วย เห็นแล้วมัน
รู้สึกไงบอกไม่ถูก
ก็จะไม่ให้รู้สึกได้ยังไงล่ะ ก็คนที่ตัวโตนั่นนะ อันชนกับเค้าเมื่อวันก่อนที่หน้าประตูไง พอจะนึกออกไหมล่ะ
ถึงว่า เจ็บมากเลยตอนชน ก็ตัวใหญ่ยังนี้สินะ ถึงได้...
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่นานแล้ว ซึ่งตอนนี้ในมือของทั้งสองมีถาดอาหารอยู่
คนตัวโต หรือพีชภัทร์เข้ามาได้ยินประโยคสนทนาล่าสุดของอันธิกาจึงเอ่ยออกไปอย่างยียวนว่า ถึงได้อะไรเหรอครับ ผมนี่มันทำไมเหรอครับมีอะไรแปลกประหลาดรึไงครับ
อันธิกาได้ยินจึงหันไปทางต้นเสียงแล้วทำตาขวางใส่ อย่างโมโหสุดขีด รู้สึกอายก็รู้สึกที่ดันโดนได้ยินตอนกำลังนินทา แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร ยังไงเธอก็คิดเสมอมาว่าการพูดจาอย่างนี้ไม่ได้เรียกว่านินทา แต่เป็นการเล่าสู่กันฟังซึ่งเธอคิดแถมอีกด้วยว่าก็มันเป็นเรื่องจริงนี่นาไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนเลย เธอจึงพร้อมที่จะประจันหน้ากับใครก็ตามที่มาว่าเธอด้วยเรื่องพรรค์นี้
ก่อนที่อันธิกาจะเอ่ยอะไร นนทิยาก็ตัดบทขึ้นมาด้วยการเชิญชายหนุ่มทั้งสองนั่งร่วมทานอาหารโต๊ะเดียวกัน เห็นดังนั้นอันธิกาก็เลยหันมาถลึงตาใส่เพื่อนที่ไปเชิญคนทั้งสองลงมานั่งด้วยกัน
ชายหนุ่มซึ่งถูกอันธิกาเรียกว่าไอ้ตี๋เอ่ยขึ้นเพื่อเป็นการทักทายอย่างเป็นทางการอีกรอบ สวัสดีครับ ได้เจอกันอีกแล้วนะครับคุณ เออ...
นนทิยาตอบกลับไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่าทั้งหมดนี้ยังไม่มีใครรู้จักชื่อใคร ชั้นชื่อนนทิยาค่ะ เรียกว่านุ่นก็ได้ ส่วนเพื่อนของชั้นชื่ออันธิกาค่ะ จะเรียกว่าอันก็ได้นะคะ
คนที่ถูกแนะนำเอ่ยออกมาอย่างกวนประสาท ใคร...ใคร อนุญาตให้เรียกเราว่าอันได้ ไม่เอาหรอกนุ่นเราไม่ได้อยากรู้จักนายสองคนนี้สักหน่อย
แต่ผมอยากรู้จักนะครับ คุณอะไรนะ...อัญชัน เอ้ย อันธิกา พีชภัทร์ทำหน้าหมือนเป็นผู้ชนะ
นี่นายจะมากไปแล้วนะ อย่ามาล้อชื่อคนอื่นนะ ไม่งั้นได้เจอดีแน่ ไม่เชื่อคอยดูแล้วกัน
แต่คนที่ถูกว่ากลับไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร เพราะยังคงทำหน้ายิ้มเยาะลอยไปลอยมา ซึ่งเป็นการยั่วให้คนที่ตอนนี้โมโหอยู่ยิ่งโมโหไปกันใหญ่
นนทิยาจึงต้องเป็นผู้ห้ามทัพก่อนที่อะไรๆจะยิ่งยุ่งยากไปกันใหญ่ โดยเริ่มคุยกับเพื่อนใหม่ทั้งสอง
แล้วคุณสองคนชื่อว่าอะไรคะ ยังไม่รู้จักกันเลย
นายหน้าตี๋หรือนายปรมินทร์ขันอาสาเป็นคนแนะนำ ผมชื่อปรมินทร์ครับ เรียกผมว่า ปอนด์ก็ได้ครับ ส่วนนายร่างโตคนนี้ชื่อพีชภัทร์ครับ เรียกมันว่าพีชก็ได้ครับ
เสียงใสๆชวนหาเรื่องพูดแทรกขึ้นมา ชื่อไม่เห็นจะสมกับตัว ตัวออกจะหญ่าย ลากเสียงจนคนฟังรู้สึกว่ากำลังโดนประชด
คนที่ถูกพาดพิงหันหน้าไปมองอย่างเอาเรื่อง แต่ก็แค่แกล้งๆ นี่คุณผู้หญิงครับคุณยังไม่ให้ผมล้อชื่อคุณเลยนะแล้วคุณจะมาล้อชื่อผมได้ไงกันครับ ไม่พูดเปล่าพีชภัทร์หันไปทำตายียวนใส่อันธิกา ทำเอาฝ่ายที่ถูกมองมีอาการหงุดหงิดเห็นได้ชัด
เออ...ไม่ทราบว่าคุณนุ่นกับคุณอันทำงานที่ไหนหรือครับถึงได้มาทานอาหารที่ร้านนี้ ปรมินทร์เปิดการสนทนา
พวกเราสองคนทำงานที่ตึกข้างๆนี้คะ ตอนกลางวันเลยมาฝากท้องที่ร้านนี้เป็นประจำ
นนทิยาตอบด้วยเสียงที่นุ่มนวล และถามกลับออกไปอย่างชวนคุย แล้วคุณทำงานที่ไหนกันเหรอคะ
พวกผมสองคนเปิดบริษัทอยู่ตรงตึกหัวมุมถนนตรงนั้นครับ ปรมินทร์พลางชี้มือไปยังตึกที่ตนกับเพื่อนทำงานกัน
ปรมินทร์กับนนทิยาคุยกันต่อไปเรื่อยๆอย่างออกรสชาติ แต่อีกสองคนที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยกลับนั่งเงียบคอยชำเลืองมองกันอย่างหาเรื่อง
เย็นนี้คุณสองคนว่างไหมครับ ผมอยากจะชวนไปทานข้าวด้วยกันในโอกาสที่เรารู้จักกันปรมินทร์เอ่ยชวนสองสาวอย่างเป็นมิตร
ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะคะ แล้วจะเจอกันตอนกี่โมงดีคะ นนทิยาตอบกลับไป พลันมีเสียงใครแย้งขึ้นมา
นี่นุ่นไม่คิดจะถามเราก่อนเหรอว่าอยากไปรึเปล่า
ทำไมล่ะอันก็เราไปในโอกาสที่เราได้รู้จักเพื่อนใหม่นี่นา แล้วคุณสองคนนี้ก็ไม่ดูว่าจะน่ากลัวหรือเป็นพิษเป็นภัยอะไรนี่นา
ก็เราไม่อยากไปกับใครบางคนนี่นา ถ้าไปกันแค่สามคนก็ว่าไปอย่าง จริงไหมล่ะ
ไม่เอาน่า อย่างอแงสิอัน แบบนี้ไม่น่ารักนะจ้ะ
ก็ได้...ก็ได้ ไปก็ได้ค่ะคุณแม่ คุณเพื่อนบังเกิดเกล้า
พูดจบก็ทำให้อีกสามคนยิ้มกับคำพูดคำจาของอันธิกา ส่วนคนพูดนั้นไม่ได้รู้ตัวว่าอีกสามคนกำลังตลกกับคำพูดของเธอ เพราะเธอเอาแต่สนใจกับอาหารตรงหน้า
ตอนเย็นนี้เจอกันสัก 5 โมงเย็นนะครับ สะดวกไหมครับ ปรมินทร์กล่าวออกไปด้วยความเกรงใจ
แล้วพวกผมสองคนจะไปรับที่หน้าบริษัทนะครับ พีชภัทร์เอ่ยขึ้นมาบ้างหลังจากเงียบอยู่นาน
แล้วจะให้เราสองคนไปคอยที่หน้าบริษัทคุณรึไงฮะ ชวนเค้าเองก็ต้องมารับสิคุณ เป็นสุภาพบุรุษหน่อยสิคะอันธิกาพูดขึ้นมาทันควัน คิดจะยั่วอารมณ์ใครบางคน แต่กลับไม่ได้ผลอะไร เพราะอีกฝ่ายกลับยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของเธอ เลยทำเอาคนพูดอารมณ์เสียซะเอง
ไปนุ่นกลับกัน ไปทำงานได้แล้ว เบื่อจะอยู่ตรงนี้แล้ว เดี๋ยวจะทนไม่ไหว อาจจะต้องฆ่าใครบางคนแถวนี้
นนทิยาจึงบอกลาคนทั้งสอง แล้วสองสาวก็แยกตัวออกมาเพื่อกลับไปทำงานต่อ ส่วนสองหนุ่มที่ยังคงมองส่งสองสาวอยู่หน้าร้านอาหาร หันมายิ้มให้กันกับแผนการที่วางเอาไว้ว่ามันได้สำเร็จไปขั้นตอนหนึ่งแล้ว และเตรียมพร้อมที่จะเริ่มขั้นตอนต่อไป
................................................................................................................................................
จากคุณ :
อักกิศา
- [
วันเข้าพรรษา 18:01:38
A:210.246.71.49 X:
]