บนถนนสายหนึ่งในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานครฯซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย
เปิดที่มีคนมากมายที่ผิดหวังจากการเอ็นทรานส์ก้าวเข้าไปศึกษาเพื่อที่จะได้ปริญญาซักใบไว้ให้เป็น
เกียรติแก่วงศ์ตระกูลและความก้าวหน้าในอนาคต บางคนก็จบอย่างภาคภูมิใจในระยะเวลาสี่ปี
บางคนก็ใช้เวลาเกินกว่านั้น อาจจะเกินมาก เกินน้อยก็ขึ้นอยู่กับความขยันและตั้งใจของแต่ละ
คนไป บางคนงบน้อยก็เรียนไปทำงานไป บางคนจบแล้วแต่ได้งานทำแถวนั้นก็ยังมี
ฉันก็เป็นอีกคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับความวุ่นวายบนถนนสายนั้น ในหอพักสัตรีที่ราคา
ไม่แพงนักที่พอจะหาได้ในบริเวณนั้น ฉันอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆที่มีเตียงขนาดกลางที่วางแค่
เตียงเดียวก็เกือบจะเต็มห้องแล้ว อีกมุมหนึ่งเป็นตู้เสื้อผ้าที่อยู่ชิดผนัง ถัดมาเป็นโต๊ะเขียนหนังสือ
ที่ตั้งไม่ห่างจากตู้เสื้อผ้าเท่าไรนักเพราะความจำกัดของเนื้อที่ ภายในห้องมีระเบียงยื่นออกไป
นิดหนึ่งพอที่จะนำผ้าออกไปตากได้ ห้องน้ำที่นี่เป็นห้องน้ำรวมที่มีห้องน้ำและห้องส้วมอย่างละ
สองห้องต่อหนึ่งชั้น
ฉันนั่งอยู่บนเตียงที่มีกองอัลบัมรูปตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่อุส่าห์หอบหิ้วมาจาก
จังหวัดที่เป็นบ้านเกิดเมืองนอน ฉันค่อยๆเปิดดูรูปภาพแต่ละรูปอย่างมีความสุข แต่ละภาพทำ
ให้ฉันนึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาในชีวิตแต่ละช่วงมีทั้งรอยยิ้มแห่งความสุขเมื่อเห็นภาพที่อยู่กับเพื่อนๆ
หรือภาพที่ไปเที่ยวกับครอบครัวในวันพักผ่อน หรือรู้สึกขบขันกับภาพที่ถูกถ่ายตอนร้องไห้จ้าในวัย
ที่กำลังซน
ฉันดูภาพเหล่านั้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขแห่งความทรงจำ จนไปสะดุด
อยู่ที่ภาพ ภาพหนึ่งในภาพนั้นมีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆอายุประมาณหกหรือเจ็ดขวบยืนยิ้มหน้าบาน
ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้น กับเด็กผู้ชายที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกันแต่ตัวสูงกว่านิดหน่อยที่ยืนอยู่ข้างๆ
ทำให้ฉันนึกถึงช่วงเวลาหนึ่งทีดูเหมือนว่าฉันจะลืมมันไปแล้วหรือไม่ความทรงจำในช่วงนั้นมันคง
ลางเลือนเต็มที แต่ภาพนั้นกลับดึงความทรงจำนั้นให้กลับมาชัดเจนอีกครั้ง
ในตอนนัน้เป็นช่วงเวลาที่กำลังอยู่ในวัยซนและกำลังดื้อสำหรับตัวฉันแล้วจัดได้ว่า เป็นเด็กที่เลี้ยงยากมากๆคนหนึ่งเพราะเป็นลูกและหลานคนแรกของตระกูลแล้วยังเป็นเด็กที่ร่างกาย
ไม่ค่อยแข็งแรงแถมยังพกเอาโรคหัวใจติดตัวมาตั้งแต่เกิดอีกด้วยเลยถูกตามใจเป็นพิเศษและคงเป็น
เพราะมีหน้าตาน่ารักด้วยมั๊ง เวลาทำหน้าตาออดออน้ใครๆก็เลยมักจะใจออน่ เวลาอยากได้อะไรก็
มักจะได้เสมอถ้าโดนขัดใจก็มักจะชักดิ้น ชักงอ ร้องไห้จนตัวเขียว เลยไม่กล้ามีใครขัดใจเพราะ
กลัวว่าฉันจะเป็นอะไรไป ตอนนั้นน้องของพ่อซึ่งเป็นอาของฉันเป็นแฟนกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งต่อมา
ธอก็กลายมาเป็นอาสะไภ้ฉัน เธอเป็นผู้หญิงที่ใจดีมากๆคนหนึ่ง ซึ่งฉันติดเธอมากๆ แล้วเธอก็
ชอบฉันมากๆด้วย ก็คงเป็นเพราะหน้าตาที่น่ารักและความขี้ออน้ของฉันนั่นแหละ เธอถึงกับหลงผิด
ขอฉันเป็นลูกบุญธรรม แล้ววันหนึ่งเธอพาฉันไปเยี่ยมพ่อกับแม่เธอที่ต่างอำเภอ ซึ่งเธอก็ให้ฉันเรียก
ท่านว่าคุณตากับคุณยาย ท่านทั้งสองใจดีมากๆนอกจากนั้นท่านก็ยังมีหลานชายตัวเล็กๆอยู่ด้วย
ซึ่งก็คือเด็กผู้ชายคนที่อยู่ในภาพนั้น
ตอนที่เจอกันครั้งแรกนั้น ฉันกับเขาไม่กล้าคุยกัน ตามประสาเด็กเจอคนแปลกหน้า
ส่วนพวกผู้ใหญ่ก็ยุให้เขาพาฉันไปเล่นในสวนที่อยู่ในบริเวณบ้าน บ้านคุณตาคุณยายนั้นมีพื้นที่
มากพอที่จะทำเป็นสวนเล็กๆสำหรับปลูกผัก หรือผลไม้ไว้กินเองได้ ตอนแรกฉันก็ไม่ยอมไปแต่พอ
โดนผู้ใหญ่ยุหนักๆเข้าเขาก็เดินมาจูงมือฉันออกไปเล่นในสวน
ไปเก็บมะม่วงกัน เด็กคนนั้นพูดแล้วเดินมาดึงมือฉันไป ฉันดึงมือกลับแต่ก็เดินตามไปโดยดี
เอ้า ถือไว้เดี๋ยวเอาไปกินกันเขาส่งมะม่วงลูกที่เพิ่งใช้ไม้สอย สอยลงมาให้ เราสองคนเดินถือ
มะม่วงมากันคนลูก สองลูก
นั่นกระท่อมอะไรน่ะ ฉันถามเมื่อเห็นกระท่อมเล็กๆอยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก
อ๋อ กระท่อม คุณตาเอาไว้เก็บของ เขาตอบ
เข้าไปดูได้มั๊ย ฉันถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
อืม แต่เอามะม่วงไปเก็บก่อนนะ
อืม ก็ได้ ฉันพยัคหน้ารับ เราอามะม่วงเข้าไปเก็บแล้วกืนอาหารกลางวันกันก่อน แล้วเราก็ออกมาเล่นกันต่อ
ไหนบอกจะพาไปดูในกระท่อมไงล่ะ ฉันทวง
เออ
ไปดิ่
เธอชื่อไรนะ ลืมแล้วเขาถาม
จากคุณ :
nessie
- [
วันเข้าพรรษา 23:24:14
A:203.188.51.107 X:
]