CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


                          ชายผู้โง่งม                      

    “ทำไม”

    ผมใช้นิ้วโป้งดันขอบแว่นตาให้สูงขึ้น จ้องมองเธออย่างไม่เข้าใจ กรอบแว่นที่ถูกดันเลื่อนตกมายังตำแหน่งเดิมอีกครั้ง เสียงเพลงจากเครื่องขยายเสียงบนเสาดังแว่วมา พร้อมกับเสียงหวานๆ ของเธอ

    “วันแรกที่เราพบกัน จำได้ไหม ปณต” ตากลมใสมองมายังผม อย่างมีความหวัง

    “ผมจำไม่ได้หรอก มันนานมาแล้ว”

    “แล้วจำนี่ได้ไหม”
    เธอเอื้อมมือขาวนวลหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาจากกระเป๋า วางมันบนโต๊ะ ผมมองดูอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเข้าใจ

    “ปากกา ปากกาสีแดง ปากกาของผม”

    “ใช่แล้ว เป็นปากกาอันแรกที่ปุ่นยืมมา เมื่อตอนที่เราเรียนคาบแรกของวันเปิดเทอม ตอนมอสี่”

    “แล้วก็ไม่เคยคืน” ผมกล่าวต่อคำพูดให้เธอ อย่างประชด อันที่จริงแล้วผมไม่รู้ว่ามันเป็นปากกาของผมด้ามแรกหรือเปล่า เพราะว่าตลอดเวลาสามปีมานี่เธอมายืม แล้วก็ไม่เคยคืนหลายด้ามแล้ว

    คราวนี้เธอก็เอื้อมมือไปหยิบหนังสือพ็อกเก็ตบุคออกมาอีก ไม่ใช่แค่เล่มเดียว ทั้งหมดห้าเล่ม และที่สำคัญมันเป็นของผมทั้งหมด

    “หนังสือนี่ก็ของผม ทั้งหมด ผมจำได้”

    “ปุ่นคิดว่าปณต ต้องจำได้อยู่แล้ว โดยเฉพาะเล่มนี้”

    เธอเอื้อมมือหยิบหนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือชื่อ “ปีกหัก” เล่มนี้ผมจำได้ดี ผมอ่านได้แค่ครึ่งเล่มแต่ถูกเธอยืมไป หรือจะพูดให้ถูกก็คือถูกหยิบไปตอนเผลอ ผมพยายามจะทวงคืนหลายครั้งแต่ไม่เคยได้คืน ผมเริ่มเขม่นมองเธอด้วยความโกรธนิดๆ ขณะที่เธอไม่มีท่าทีแยแส จับหนังสือวางตั้งใช้นิ้วที่เรียวตรงลูบสันหนังสือไปมา

    “รู้ไหม ปุ่นก็อยากจะคืนให้เหมือนกันนะ แต่ปุ่นชอบเล่มนี้ที่สุด เป็นหนังสืออ่านก่อนนอนทุกคืนเลย ปุ่นเลยคืนให้ไม่ได้ เพราะเดี๋ยวจะนอนไม่หลับ ปณตเข้าใจนะ”

    เธอเล่นพูดเอง เออเองอย่างนี้ ผมก็พูดไม่ออกเหมือนกัน เธอเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ทำท่าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ เอียงคอนิดๆ มีรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏที่ริมผิวปาก ใครเห็นก็ต้องบอกว่าน่ารัก ตอนนี้ผมเริ่มสังเกตเห็นว่ามีนักศึกษาชายคนอื่น ที่นั่งโต๊ะข้างๆ หลายคนจ้องมองมาที่เธอจนตาเป็นประกาย  

    “ยังจำเรื่องอาจารย์วารุณีได้หรือเปล่า”

    “อืม” ผมตอบกลับอย่างเสียไม่ได้ ตอนนั้นเธอเอารายงานการวิจารณ์วรรณกรรม ที่ผมนั่งเขียนขึ้นทั้งคืนเอาไปลอก ทั้งๆ ที่ผมเตือนแล้วอย่าลอกทั้งหมด ให้อ่านแล้วเอาไปเขียนสรุปเอง แต่เธอไม่เชื่อ ผลสุดท้ายก็โดนอาจารย์จับได้ และที่เลวร้ายไปกว่านั้น อาจารย์ถามว่าใครเป็นคนลอก ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่า คำตอบของคำถามจะนำเรื่องเลวร้ายมาให้คนสักคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผมนั่นเอง

    “ปณตก็เลยได้เกรดหนึ่ง ทั้งๆ ที่ควรจะได้เกรดสี่” เธอกล่าวได้อย่างเบิกบานเหลือเกิน หรือว่าครั้งนั้นผมไม่น่าไปรับผิดแทนเธอเลย เธอเอามือเสยผมดำสลวยเล่น จองมองมาที่ผมด้วยสายตาแปลกๆ จนให้ผมแทบจะลุกหนีเสียเดี๋ยวนี้  

    “เรื่องมันก็นานมาแล้ว พูดไปก็ไม่มีอะไรขึ้นมาหรอก แล้วนี่ตกลง ปุ่นชวนผมมาคุยต้องการคืนหนังสือใช่ไหม” ผมรีบพูดตัดบทจะได้จบๆ เรื่อง แล้วจะได้ไปเสียที เธอทำหน้างอใส่ แล้วพูดต่อเหมือนไม่สนใจท่าทีของผม

    “จำศักดาได้ไหม”
    “อืม! ห้องสาม นักกีฬาวิ่งร้อยเมตร”

    ทำไมผมจะจำไม่ได้ ก็ผมนี่ล่ะคนที่นั่งทำประวัติของนักเรียนที่ได้โล่ตอนจบการศึกษาทุกคน โดยเฉพาะไอ้เจ้าสักนี่ นอกจากเหรียญทองสารพัดงานแข่งแล้ว อย่างอื่นก็หาเรื่องดีงามไม่ได้ จบด้วยเกรดที่ช่วยดันของอาจารย์ หนังสือก็ไม่ค่อยเรียน ไม่รู้ทำไมผู้หญิงชอบมันนัก แล้วเหตุผลอีกอย่างที่ผมนึกหน้ามันได้อย่างชัดเจน แม้ว่าจะเรียนกันคนละห้อง ก็เพราะว่ามันมักจะแวะเวียนเข้าเกาะแกะเธอบ่อยๆ

    “เขามาขอปุ่นเป็นแฟนตั้งหลายครั้งแหนะ แต่ปุ่มก็บอกปัดไปทุกครั้งนะ”

    ผมไม่พูดอะไรได้แต่ผงกหัว เรื่องพวกนี้ผมไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่ นักเรียนก็มีหน้าที่เรียน เรื่องหาแฟนนี่ยังไม่อยู่ในความคิดของผมเลย หรือจริงๆ แล้วคงไม่มีคนยอมมาเป็นแฟนตาแว่น ผมเผ้าชี้เด่เพราะไม่เคยหวีผมหรอก

    “อยากรู้ไหม ตอนที่ศักดามาขอเป็นแฟนนะ ปุ่นบอกเขาว่าไง” ผมก็ต้องจำใจผงกหัวอีกครั้ง

    “ปุ่นบอกเขาว่าปุ่นมีคนที่ชอบแล้ว ปณตรู้หรือเปล่าว่าคนที่ปุ่นชอบเป็นใคร”

    “ผมไม่รู้หรอก ผมไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้”

    ผมเอื้อมไปหยิบหนังสือทั้งหมดที่วางอยู่บนโต๊ะ เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าผมกำลังจะไป แม้มันดูเสียมารยาทบ้าง ก็คงพอให้อภัยได้ ประเดี๋ยวก็คงถึงเวลานัดพบกับอาจารย์ที่ดูแลหอพักแล้ว การไปสายคงไม่มีผลดีนัก และขณะที่ผมเอื้อมจะเลื่อนหนังสือมานั้น มือน้อยข้างหนึ่งของเธอก็ฉกมายังหลังมือของผมอย่างรวดเร็ว

    “โอ้ย ทำบ้าอะไรปุ่น” ผมสบถพูดพลางสะบัดออกจากกรงเล็บของเธอ แล้วเอาฝ่ามืออีกข้างหนึ่งลูบหลังมือข้างนั้น ซึ่งได้ทิ้งรอยเล็บประทับไว้เป็นร่องลึก

    “เป็นไงบ้าง” เธอถามเหมือนห่วงใย แต่สีหน้ากลับยิ้มแย้ม

    “เจ็บนะซิ”

    “ดีแล้ว จะได้จำ”

    “เวร!” ผมสบถอีกครั้ง

    “แล้วจำวิไลวรรณได้หรือเปล่า ห้องสองนะ” อยู่ๆ เธอก็เปลี่ยนเรื่องพูดอีกแล้ว

    “ใครจะไปจำได้คนละห้องกัน”

    ผมจำไม่ได้หรอก หรือจริงๆ แล้วอาจจะจำได้ถ้าเธอไม่พูดชื่อจริง คนโดยทั่วไปรวมทั้งผม มักจะจำชื่อเล่นของเพื่อนได้มากกว่าชื่อจริง แต่มันก็เป็นความแปลกอย่างหนึ่งของเธอ เธอไม่เคยเรียกชื่อเล่นใครเลยแม้ว่าจะแต่สนิทกันมานานแล้วก็ตาม หรือบางทีสมองความจำของเธออาจจะมีวิธีคิดที่ต่างจากคนอื่นก็เป็นไปได้ ซึ่งข้อนั้นก็ไม่มีใครรู้นอกจากตัวของเธอเอง และผมก็ไม่ได้ใส่ใจมากนักหรอก

    “เพื่อนคนตัวเล็กๆ ที่มาหาปุ่นที่ห้องบ่อยๆ ไง จำได้ไหม”

    “อืม”
    ผมผงกหัวไปอย่างนั้นแหละ อันที่จริงแล้วผมจำไม่ได้หรอก ถ้าผมบอกความว่าจำไม่ได้ กลัวว่าเธอจะอธิบายลักษณะเพื่อนที่ชื่อวิไลวรรณ อีกหลายนาทีแน่ๆ

    “วิไลวรรณ เขาชวนปุ่นไปสอบเข้าเรียนที่มหาลัยเดียวกัน แต่ปุ่มไม่ไป รู้ไหมว่าทำไม” เธอนิ่งดูปฎิกริยาผมอยู่แวบหนึ่ง “ปณตคงไม่รู้หรอก งั้นบอกเลยดีกว่า เพราะว่าปุ่นบอกวิไลวรรณ ว่าปุ่นจะมาเรียนที่นี่กับคนที่ปุ่นชอบ ปณตรู้ไหมว่าเป็นใคร” คำถามตอนท้ายน้ำเสียงเธอแปลกๆ

    “ผมไม่รู้และก็ไม่สนใจด้วย ขอโทษทีนะ ผมไปล่ะ” พร้อมกันนั้นก็ลุกเก็บของและลุกขึ้น โดยไม่สนใจเธออีก เธอยังคงนั่งนิ่งๆ อยู่ที่โต๊ะ ขณะที่ผมจะเดินออกไปเธอก็พูดขึ้นมา

    “ปณตไม่อยากรู้จริงๆ เหรอ”

    “ไม่” ผมตอบเสียงแข็ง และก้มหน้าเก็บหนังสือใส่กระเป๋า ราวกับว่ามันเป็นภารกิจที่สำคัญยิ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมจึงรู้สึกหงุดหงิด ในตอนที่เธอพูดเรื่องคนรักของเธอ

    “ขามใจร้ายมาก ปุ่นจะจำไว้” น้ำเสียงเธอสั่นๆ จนทำให้ผมเหลียวกลับไปมอง ดวงตาสุกใสคู่นั้นมีริ้วแดง ขณะเดียวกันมันก็เป็นประกายพร่างพรายด้วยน้ำที่เอ่อขึ้นมา นั่นมันก็พอจะทำให้ผมตะลึงงันไป แม้ว่าเธอจะเหมือนคนที่กำลังจะร้องไห้ แต่ดวงตาที่จ้องมองมายังผม คล้ายกับคนที่แค้นเคืองกันเต็มที นับว่าเป็นภาพที่แปลกประหลาดยิ่ง ริมผิวปากที่สั่นระริกของเธอขยับอีกครั้ง

    “ไอ้บ้าขาม”

    แล้วเธอก็ลุกขึ้น สะบัดหน้าเดินจากไป ปล่อยให้ผมยืนงงอยู่อย่างเดียวดาย เสียงคำพูดสุดท้ายยังคงก้องอยู่ในสำนึก วนเวียนครั้งแล้วครั้งเล่า ไอ้บ้าขาม...ไอ้บ้าขาม...ไอ้บ้าขาม... ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า แล้วทำไมเธอถึงเรียกชื่อเล่นของผม แม้พยายามเค้นคิดอยู่นานสองนาน ผมก็ไม่อาจตีความในคำพูดของเธอได้ สิ่งที่ผมรู้อย่างหนึ่งในตอนนี้ก็คือ ผมคงไม่อาจจะลืมดวงตาที่แค้นเคืองคู่นั้นได้อีกนานแสนนาน





    เราต่างเป็นทาสของความเหย่อหยิ่งในตัวเอง จนหลงลืมมองดูตัวตนอันแท้จริง และกว่าจะรู้ใจตนมันก็สายไปแล้ว



    ปล. เขียนไว้เพื่อระลึกถึงความทรงจำแสนหวาน

    จากคุณ : egotech - [ 23 ก.ค. 48 02:23:36 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป