CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    ขี้แพ้ไม่ชวนตี

    ขี้แพ้ไม่ชวนตี

    อารมณ์ ความรู้สึก การมีอารมณ์ ความรู้สึกเป็นเรื่องไร้สาระ คุณคิดอย่างนั้นไหม ?

    เมื่อวานนี้เราอาจโมโหแค้น อยากฆ่าใครคนนั้น ผ่านมาอีกวัน เราอาจไปยืมเงินใครคนนั้นพร้อมยิ้มเจื่อนๆ กับหัวเราะแหะๆ

    การมีอารมณ์ ความรู้สึก มักชักพาชีวิตสานเรื่องหลากราวเรื่อยหลายจนยุ่งเหยิง บางเรื่องกู่กลับ บางเรื่องกู่ไม่กลับ และหลายเรื่อง เป็นเหตุการณ์ซ้ำกาลกับมนุษย์สามัญถ้วนพิภพ อารมณ์ความรู้สึกของบุคคลหนึ่งจึงมีสิทธ์ไปซ้ำกับอีกบุคคลหนึ่ง

    บางวัน ผมพยายามปรับแต่งอารมณ์ ปรนปรุงหวังให้เพี้ยน หลีกห่างจากรูปแบบอารมณ์ทั่วๆไป แต่แล้วมันก็ไม่ได้บังเกิดความวิจิตร ผิดแผกขึ้นแต่อย่างใดเลย นอกเสียจากว่า ความเพี้ยนที่จะมีได้นั้น มันจะทำให้ผมกลายเป็น คนบ้าไร้สติไปเสียมากกว่า

    การมีอารมณ์ ความรู้สึกเป็นเรื่องไร้สาระ คุณคิดอย่างนั้นไหม ?

    ถ้าถามผม “ผมไม่รู้”


    เพียงเกริ่นไม่กี่บรรทัด คุณก็คงรู้ว่า ตัวอักษรในบรรทัดถัดไป คงจะเป็น บทโอดครวญของคนช้ำรัก ใครคิดแบบนั้น ผมก็คงต้องบอกว่า “ถูกเผง”

    สำหรับคนที่ยังไม่ลงหลักปักฐาน สุขภาพใจสุขภาพกายปรกติ มีอารมณ์ฟุ้งฝัน บางคราวแอบใจลอย เหม่อมองฟ้าโดยไม่รู้ตัว มีบ้างที่จิบกาแฟบางเช้าคนเดียวแล้วใจหวิว ฮอร์โมนเพศยังคงผลิตเป็นปกติ ก็ต้องย่อมคำนึงถึงเรื่องรักใคร่เป็นธรรมดา

    ความรักทำให้คนเรามีชีวิตอยู่ แต่ชีวิตไม่ได้มีแต่ความรัก วันหมุนคืนผ่าน พาให้คนเราเติบโต เรื่องราวสัมผัสชีวิตทุกวินาที มีการสูญเสียหลายอย่างที่เลวร้ายกว่าสูญเสียความรัก นั่นเป็นเรื่องที่เรารู้อยู่ทุกคน แต่หลังจากสูญเสียความรัก ผมอยากสูญเสียสติตาม ปล่อยให้ความวิปลาสจู่โจม


    บางค่ำคืน เวลาตีสามกับอีกสามสิบแปดวินาที ผมลุกพรวดมายืนทื่อ กลางความดำมืดที่มีแสงระยิบของดาวประแต้ม จันทร์ดวงกลม เปล่งแสงสว่างขับไล้ริมขอบเมฆทะมึนมัวให้เรื่อเรือง

    ผมยืนนิ่ง เคว้งคว้าง ลมหนาวสุดท้ายพัดผ่านอำลาผิวกาย เอ่ยอึ้งบางประโยคอยู่ภายใน
    “สวัสดีฤดูร้อน”

    วันที่รอยยิ้มเย็นชาของเธอปรากฏ มันเป็นจุดเริ่มต้นการโอดโอย ทวงถามถึงความหมายของชีวิตที่ดำรงอยู่

    โทรทัศน์ ตู้เย็น วิทยุ เตาอบไมโครเวฟ เครื่องปรับอากาศ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ วัตถุเย็นชืดที่ผมร่วมใช้ชีวิตไปกับมันทุกวัน ไม่สามารถเติมความรู้สึกให้แช่มชื่นขึ้นได้เลยแม้แต่น้อยนิด

    บางวันผมจึงลองออกไปจับผีเสื้อด้วยมือเปล่า

    “มรึงเป็นคนชอบกินเหล้า แต่ก็ไม่ได้กินเพื่อดับทุกข์เข็ญส่วนตัว วันนี้มรึงรู้สึกเจ็บปวด วันหน้ามรึงก็ยังคงต้องรู้สึกเจ็บปวด เวลานี้มรึงรู้สึกเจ็บปวด มรึงยังมีความรู้สึกรู้สา นี่เป็นหลักฐานว่ามรึงยังมีชีวิตอยู่ มรึงเป็นควายตัวหนึ่ง ความทุกข์เป็นดั่งบ่อโคลน ควายย่อมอยากลงไปเกลือกโคลนเล่น มรึงลงไปเกลือกโคลนเล่นอย่างสนุกสนาน พอมรึงเล่นโคลนจนเต็มอิ่ม มรึงก็ต้องวิ่งขึ้นจากบ่อโคลน ยืนสี่ขาตากแดดให้โคลนแห้งหนังตึง เมื่อโคลนแข็งตัวมันจะกะเทาะหลุดออกจากตัวมรึง มรึงเป็นควาย ไม่ว่าตัวมรึงจะโตสักแค่ไหน แก่สักเท่าไร มรึงก็ย่อมอยากลงไปเกลือกบ่อโคลนเล่นวันยังค่ำ”

    นั่นเป็นประโยคยาวเหยียดของเพื่อนผมคนหนึ่ง เจือปนด้วยความเมามาย ผมฟังและพยักหน้าเห็นด้วยไป 2-3 หงึก ก่อนที่จะตามไปลูบหลังให้เพื่อนคนที่พูดในห้องน้ำ


    การร้องขอความรักกับการร้องขอชีวิต แตกต่างห่างไกลกันอย่างสิ้นเชิง จนไม่น่าจะนำมาเปรียบกันได้ แต่ผมก็นั่งเปรียบเทียบมัน

    ถ้ามีใครสักคนหมายชีวิตเอาปืนมาจ่อหัวเรา ปลดล็อกเตรียมลั่นไกลทุกวินาที บางทีถ้าเราคุกเข่ากราบกรานร้องขอชีวิต ใครคนที่ตั้งใจเอาชีวิตอาจเปลี่ยนใจ ปล่อยให้เรามีชีวิตต่อไป

    แต่กับใครสักคนที่เราไปรักเขา ต่อให้เราคุกเข่ากราบกราน ร้องขอความรักจากเขาสักเท่าใด ถ้าใครคนนั้นไม่มีใจ ไม่ว่าจะอ้อนวอนสักปานใด เขาก็คงไม่แผ่ความรักมาให้เราอยู่วันยังค่ำ

    เป็นข้อเปรียบเทียบที่อาจไม่คมคาย แต่คงไม่สตึนักหรอก


    อารมณ์ ความรู้สึกต่ำวนดิ่งลงจมปลักเหมือนเศษกอสวะ ลอยเท้งเต้งกลางลำน้ำไปวันๆของตัวผมนี้ มีจุดเริ่มมาจากไหนกัน ?

    อาการงงงวย หัวใจเต้นผิดแปลกในคราวที่พบเธอครั้งแรก เหตุการณ์ล่อหลอกที่คลุกอยู่ระหว่าง การจำได้กับการอยากลืมลับ

    เธอ แม่สาวที่สวมสเวตเตอร์ สีเทาคนนั้น ในมือข้างซ้ายถือหนังสือ “โลกวรรณกรรม” อยู่ ชีวิตที่เติบโตมากับกองหนังสือของผม ย่อมอยากรู้จักเธอเป็นธรรมดา ผมไม่อยากจะรู้หรอกว่า เธอมีหนังสือในดวงใจเรื่องไหน ? ชอบทานอะไร ? สิ่งที่ผมปารถนาที่สุดคือริมฝีปากของเธอ

    อยากสัมผัสริมฝีปากนั่น จะรู้สึกอย่างไรหากได้จูบกับผู้หญิงที่ถือหนังสือ “โลกวรรณกรรม” ในมือ มันไม่ใช่ความใคร่ตื้นๆ แต่มาจากส่วนลึก ผมไม่ใช่คนฉาบฉวยมักง่ายกับความรู้สึก ดังนั้นอารมณ์ที่มีต่อเธอ ย่อมรุนแรงปั่นป่วนอยู่ภายใน ภาพความรักในความคำนึงของผมหน้าตาเหมือนกับเธอ


    ถ้าในเวลานั้น ผมไม่เผลอไผลสอดรับตาม อารมณ์ ความรู้สึก หากผมเพ่งความสนใจไปที่หนังสือโลกวรรณกรรมเล่มนั้นแทนตัวเธอ สภาวะสิ้นหวังสัมบูรณ์ที่บังเกิดขึ้นในขณะนี้คงไม่มี คงมีเพียงความเพลิดเพลินเพิ่มพูนความรู้ในงานวรรณกรรมแทนความเฉาช้ำ

    เรื่องเก่าผ่านเลยแล้วย่อมแก้ไม่ได้ ผมยังคงฝึกหายใจไปวันๆเพราะกลัวจะลืม


    ผ่านพ้นฤดูร้อนเป็นการมาถึงของช่วงมรสุม ฟ้าอึมครึมลากพาอากาศเย็นทึบ ปกคลุม ผมยังคงทึ่มทื่อ เดินเหม่อท่ามกลางฝอยฝน อารมณ์ ความรู้สึกละลายราง บางครั้งไม่อาจรับรู้ได้ถึงอณูเม็ดเล็กเม็ดน้อยที่พราวละอองสัมผัสลงจากฟากฟ้า

    “ทำไมคุณต้องมาเจอผมอีก”
    “รู้ไหมว่า.....ฉันชอบดูคุณยิ้ม”
    “คุณก็เลยนัดเจอผมบ่อยๆงั้นสิ”
    “คุณยิ้มตลอดเวลาที่เจอกับฉัน แล้วคุณก็ดูเศร้าทุกครั้งเวลาที่ยิ้ม คล้ายว่าคุณฝืนแสร้งทำ แต่นั่นละเป็นความงดงามอย่างหนึ่งที่บรรยายไม่ได้”
    “คุณเป็นผู้หญิงที่ใจร้ายมากคนหนึ่ง”
    “นั่นแหละ เหตุผลที่คุณเคยรักฉัน”
    “ไม่ใช่เคยหรอก ผมเป็นคนไม่มีเหตุผลคุณก็รู้”
    “ใช่ฉันรู้ ฉันเคยรู้”
    “....................”


    ............อารมณ์ ความรู้สึก ของตัวผม.............


    ความอ้างว้าง ไออุ่นของน้ำตา ความเงียบ
    นิ่งงัน ยิ้มที่แสร้งฝืน


    ผมเป็นเพียงอุปกรณ์ประกอบในฉากชีวิตเธอเท่านั้น เป็นเพียงคนโง่เหงาที่เธอผ่านพบ...........


    สุดท้ายแล้วคุณว่า งานเขียนที่วกวนอยู่กับอารมณ์ ความรู้สึก(ฟูมฟาย) เป็นเรื่องไร้สาระไหม ?



    ...............................

    จากคุณ : อุปกรณ์ประกอบฉาก - [ 23 ก.ค. 48 23:05:43 A:203.113.81.36 X: ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป