อย่าทำอย่างนั้น... หนูกระซิบข้างใบหูขณะที่เขากำลังลุกจากเบาะนั่งแล้วแทรกกายคล้ายแหวกว่ายระหว่างช่องว่างอันน้อยนิดของผู้คนที่แน่นขนัดภายในรถประจำทาง ที่เอียงไปทางซ้ายด้วยน้ำหนักรวมของเหล่ามนุษย์ชายหญิงเพื่อออกมายืนอยู่หน้าประตูรถและกดกริ่ง ดวงตาเขาเหล่ไปมองคุณป้าร่างอ้วนที่ปากซีดเหงื่อย้อยโทรมหน้า ถือของพะรุงพะรังคนนั้น
เมื่อรถจอดข้างป้าย หนูก็บินถลาลงตามเขามาอย่างไม่ยากเย็นนัก รู้สึกเคืองขุ่นใจอยู่ไม่น้อย ก่อนที่รถจะขยับออก คุณป้าคนนั้นก็นั่งลงตรงที่นั่งของเขา
อีกตั้ง 3 ป้ายแน่ะ รีบลงทำไม หนูบินไปกระซิบ เขาแสยะยิ้มหันมามองหนูด้วยสายตาเย็นชา
"สงสารป้าแก" เป็นคำตอบที่แย่เสียจริง... หนูถอนหายใจบินตามเขาไปติด ๆ
เขากำลังจะตายในอีกไม่ช้านี้ 2 เดือนแล้วที่หนูเฝ้าสังเกตและติดตามพฤติกรรมของเขา มนุษย์ผู้นี้ ที่ใคร ๆ ก็เรียกเขาว่า "พล" พลเป็นชายหนุ่มผิวดำแดง แต่งกายในชุดนักศึกษาที่ดูสะอาดสะอ้าน ใคร ๆ ก็ว่าเขาเป็นคนหน้าตาดี แต่หนูก็แยกไม่ค่อยออกนักหรอก ว่าแบบไหนเรียกว่าเข้าท่า คงต้องศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์อยู่อีกนานทีเดียว
หนูไม่ค่อยชอบดินแดนแห่งนี้สักเท่าไหร่ อยากจะทำหน้าที่นี้ให้จบ ๆ ไปซะ จะได้ไปนอนกลิ้งกับเขม่าภูเขาไฟอันอ่อนนุ่มของหนูเสียที ปกติแล้วหนูอยู่ในอีกที่หนึ่ง เป็นดินแดนอันอบอุ่นร้อนรุ่มไปด้วยหินหลอมเหลว มีไฟโลกันตร์อุ่น ๆ ปะทุ ที่นั่นอบอวลและอุดมไปด้วยความทุกข์ทรมานของเหล่าวิญญาณบาปอันรื่นรมย์ แต่แล้วเมื่อหลายวันก่อนความสงบของหนูก็ถูกทำลายลง เมื่อพี่ของหนูตนหนึ่งยื่นความประสงค์ที่จะพักร้อน เพราะท้อกับการต่อสู้กับสิ่งที่สิงอยู่ในจิตใจของมนุษย์ผู้นี้ ปกติแล้วหนูมักจะบ่ายเบี่ยงเสมอ แต่ครั้งนี้เห็นจะบอกปัดไม่ได้เสียแล้ว ด้วยคำว่าหน้าที่ พวกเราแต่ละตนต่างมีหน้าที่ที่จะต้องจับจองมนุษย์เพื่อแย่งกันสะสมกิเลสในจิตใจพวกนั้นให้เบนไปตามวิถีแห่งพวกเรา ซึ่งมันก็ถึงเวลาที่หนูจำเป็นต้องออกโรงเสียที เดือดร้อนหนูจนได้...
หนูนึกโทษความอ่อนแอของมนุษย์ ที่ถูกพวกเราครอบงำง่ายเกินไปจนจำนวนของพวกเรามีไม่เพียงพอต่อประชากรมนุษย์ ปัญหานี้เกิดขึ้นมานานแล้วนับตั้งแต่ที่มนุษย์สร้างสิ่งเร้าต่าง ๆ เพื่อสนองความต้องการของตัวเอง พวกหนูแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากกระซิบให้พวกเขาสนองมันและเข้าสิง แค่นี้พวกเขาก็ดิ้นไม่หลุด หลังจากนั้นพวกเราเพียงแค่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในร่าง รอให้สิ้นอายุไข ก็จะได้ดวงวิญญาณแสนหวานดั่งลูกกวาดมากิน ยิ่งพวกมนุษย์สนองต่อสิ่งเร้าที่ชื่อว่า กิเลส มากเท่าไหร่ รสชาติของดวงวิญญาณยิ่งอร่อยเลิศมากขึ้นเท่านั้น
นี่แหละมนุษย์ หากไม่มีสิ่งใดให้ยึดเหนี่ยวจิตใจไว้ เขาก็จะกลายเป็นกลางพอตายไปก็จะ เร่ร่อนเวียนว่ายในวัฏสังขารไม่รู้จบ วิญญาณพวกนี้จืดชืดไม่ต่างอะไรกับก้อนหินที่ไร้รสหวาน ส่วนพวกที่หลุดรอดจากพวกหนูไปได้ ไม่ได้หมายความว่าเขาเหล่านั้นจะถูก มัน เข้าสิง เพียงแต่พวกหนูมีไม่พอที่จะเข้าไปหาต่างหาก
ต่างจาก พล มนุษย์เพศผู้คนนี้ที่หนูเฝ้าตามอยู่ หนูเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ของหนูจึงต้องลาพักร้อน คงเป็นเพราะหมดความพยายามที่จะโน้มน้าวเขาเสียแล้ว ก็เพราะในจิตใจของเขามี มัน ที่แข็งแกร่งสิงสู่อยู่นั่นเอง
ก่อนที่เขาจะตายในอีก 4 วันนี้ หนูจะเอา มัน ออกมาและยึดร่างนี้แทนได้ไหม นั่นคือปัญหาและงานของหนู ถ้าทำได้ ก็เท่ากับประกาศว่าหนูชนะมัน ชนะสิ่งที่หนูเกลียด ชนะเจ้าพวกเทวา เจ้าทูตแห่งสวรรค์ที่มีจำนวนอันน้อยนิดที่คอยขัดขวางพวกเรา ชนะกับสิ่งที่พวกหนูต่อสู้มาเนิ่นนานนับตั้งแต่เอกภพนี้ถูกสร้างขึ้น หากทำได้หนูจะได้กลับนรกไปนอนเสียที
จากการเฝ้าสังเกตทำให้หนูรู้ว่า พลเป็นมนุษย์ที่จัดได้ว่า เป็นสุดยอดแห่งคนดี ที่หาใครเสมอเหมือน เขามีจิตใจที่งดงามโดยแท้จริง มันก็ไม่ง่ายนัก สำหรับมดงานที่ไร้ประสบการณ์อย่างหนู นี่หาก มัน ในร่างของพลมีความแข็งแกร่งมากละก็ พอเขาสิ้นอายุไข เขาก็จะได้ไปสวรรค์ กลายเป็นทูตสวรรค์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งมันไม่ดีแน่ หากบุคคลนี้เป็นปรปักษ์กับพวกเรา หนูต้องเอาเขาลงนรกอย่างเดียวเท่านั้น
แล้วหนูจะทำอย่างไร ? มันต้องมีช่องให้เจาะสิน่า...
...
ในที่สุดพลก็เดินกลับมาถึงหอพักห้องเล็ก ๆ ที่มีเขาพักอยู่เพียงลำพัง ขณะที่เขากำลังอาบน้ำ เสียงเจ้าเครื่องมือสื่อสารเครื่องเล็กก็ดังขึ้น เขารีบออกมารับสายทั้งที่บนหัวยังเต็มไปด้วยฟองสีขาว หนูเห็นสัดส่วนของเขาถนัด พลเป็นคนที่มีร่างกายกำยำ มีกล้ามเนื้อที่ดี พลังวิญญาณของเขาก็ดีมากด้วย หากหนูเปลี่ยนมันมาเป็นวัตถุดิบแล้วบ่มด้วยกิเลสชั้นดี ใส่คาวโลกีย์เป็นส่วนผสม คลุกเคล้ากับอบายมุขชั้นเลิศเข้าไปด้วยละก็ รสชาติของวิญญาณดวงนี้คงจะหวานมันอย่างหาที่ติไม่ได้เลยเชียว
วะ... ว่างครับ ทำไมเหรอ สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นแดงเรื่อเมื่อทราบว่าปลายสายเป็นใคร
หกโมงเย็น... วันนี้เหรอ เอ่อ!... ดะ...ได้สิ เขาพูดพลางยิ้มให้กับวัตถุสื่อสารนั่น มืออีกข้างลูบจัดทรงผมให้เข้าที่ทั้งที่มันเต็มไปด้วยฟองอย่างลืมตัว นี่ก็เป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมแปลก ๆ ของมนุษย์ที่หนูไม่ทราบว่าเขาสื่อถึงอะไร
อะไรเหรอ ๆ ๆ บอกหน่อยสิ หนูบินวนรอบตัวเขา แต่พลไม่ตอบ เขาวางเจ้าวัตถุนั่นแล้วกระโดดโลดเต้นวิ่งเข้าห้องน้ำไป ครู่เดียวเขาก็นุ่งผ้าเช็ดตัวเดินออกมาจัดห้องที่เรียบร้อยและสะอาดอยู่แล้วให้เข้าที่เข้าทางเข้าไปอีก นัยน์ตาเขาจับจ้องแต่นาฬิกาข้างฝา
มันช่างเป็นพฤติกรรมที่ขัดจากปกติวิสัยของเขา ซึ่งหนูก็พอรู้ว่าเพราะอะไร...
พลมีคนที่เขาหลงรักอยู่คนหนึ่ง เธอชื่อนีร์ นีร์เรียนอยู่ห้องเดียวกับเขาในมหาวิทยาลัย เธอคงเป็นผู้หญิงที่หน้าตาดีมาก ๆ ที่หนูรู้เพราะมีเหล่ามนุษย์เพศผู้มากมายเข้ามาทักทายเธอ ซึ่งในจิตใจของพวกนั้น ต่างก็มีเพื่อน ๆ พี่ ๆ ของหนูสิงสู่อยู่แทบทุกคน ทำให้รู้ว่ามนุษย์พวกนั้นหวังอะไรในตัวเธอ
แต่เธอมีคนรักอยู่แล้ว คนรักของนีร์ก็คือเพื่อนสนิทของพล หนูรู้ว่าเขาอาการไม่ค่อยดีนัก เมื่อเขาเห็นนีร์อยู่กับเพื่อนของเขา แต่พักนี้ ท่าทีของนีร์ดูเหมือนว่าจะมีใจให้พล ด้วยอะไรหนูก็ไม่อาจทราบได้ หรือจะเป็นเพราะมัน
เลยเวลานัดมา 5 นาที ในที่สุดเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น พลรีบลุกขึ้นไปเปิด เขาตะลึงกับภาพหญิงสาวตรงหน้าอยู่เนิ่นนาน...
ขอโทษทีนะคะ เดินหาห้องอยู่นานเลย นีร์ หญิงสาวในชุดกระโปรงสั้นเสื้อแขนกุดปล่อยผมยาวสลวยรับกับลิปสติกสีชมพูอ่อนดูสดใส ในมือถือหนังสือ 2-3 เล่มยื่นให้เขา
มองอะไรเล่าเขินนะ เขาได้สติ รีบก้มหน้าที่แดงเรื่อพร้อมกับรับหนังสือแล้วเดินมาที่โต๊ะเล็ก ๆ
เมื่อผู้หญิงคนนี้เดินเข้ามาในประตู หนูก็เข้าใจอะไร ๆ ได้แจ่มแจ้ง ทุกสิ่งทุกอย่างกระจ่างแจ่มชัดแล้ว หนูรู้แล้วว่าทำไมเธอถึงมีใจให้กับพล
ล็อคประตู ๆ ๆ แล้วปล้ำเลย หนูบินไปรอบ ๆ ตัวพลด้วยความดีใจ ซึ่งเขาไม่ได้สนใจหนูเลย เพราะจิตใจและสายตาเขาจับจ้องแต่เธอ นั่นไม่เป็นปัญหาสำหรับหนู กลับประกาศให้รู้ว่าโอกาสของหนูใกล้เข้ามาแล้ว
แคลคูลัสเหรอที่อยากให้สอนน่ะ
อืมม์ นีร์พยักหน้า แล้วนั่งลงตรงปลายเตียง สาดสายตาไปรอบ ๆ ห้อง
ห้องสะอาดจัง เธอเอียงคอยิ้มเก๋ ๆ ให้ นั่นยิ่งทำให้เขาแสดงท่าทางเขินอายเข้าไปใหญ่
พลเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำมารินใส่แก้ว หนูไม่ละความพยายาม รีบบินไปกระซิบข้างใบหูของเขาทันที
ใส่ยานอนหลับเลย เขาทำตาเขียวใส่ จิตใจที่แท้จริงของเขาตะคอกใส่หนูยกใหญ่
อย่ามาบ้าน่า...ไม่มีโว้ย นั่นเป็นเสียงจากความนึกคิดของเขาจริง ๆ อย่างน้อย ตอนนี้ มัน ที่อยู่ในจิตเขาก็ยังไม่ทำหน้าที่ครอบงำเขา แต่เดี๋ยวคงไม่นานหรอก
เขาเดินมานั่งตรงเก้าอี้ที่มีอยู่ตัวเดียวในห้อง กางหนังสือบนโต๊ะ แล้วเขยิบเก้าอี้เข้ามาชิดใกล้เธอ พูดคุยถึงเรื่องในหนังสืออย่างขะมักเขม้น
จากสมการ y = 2x + 6 หาระยะตัดแกน X ให้ y = 0 จะได้ 2 x = -6 , x = -3 กราฟตัดแกน X ที่จุด (-3 , 0) ระยะตัดแกน X เป็น -3 พลก้มหน้าก้มตาสอนเธอด้วยความประหม่า แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยสนใจกับสิ่งที่เขาบอกสักเท่าไหร่ เขาจึงถามบางอย่างกับเธอ
ทำไมนีร์มาคนเดียวล่ะ ทีแรกนึกว่าจะพาเพื่อนมาด้วย หรือนีร์น่าจะบอกพลตั้งแต่ตอนอยู่ที่ ม. นะ จะได้ไม่ต้องมาที่นี่... ลำบากเปล่า ๆ เขาหันไปบอกเธอที่จ้องหน้าเขาอยู่นานแล้ว เมื่อพลรู้ตัวว่าถูกจ้องอยู่ เขารีบหลบสายตาเธอ
โง่เอ้ย! พูดออกมาได้ โง่ ๆ ๆ ๆ ๆ หนูรีบร้องตะโกนเสียงแปร๋นบอกเขา
แล้วเต้ล่ะ เขาเอ่ยชื่อเพื่อนของเขาซึ่งเป็นคนรักของเธอ เธอเบิกตาโพลงก่อนจะก้มหน้าลง
ไม่มีเขาอีกแล้ว... เธอเม้มปากเบือนหน้าพูดอะไรไม่ออก ดวงตาฉายแววเศร้าในทันทีคล้ายกับเก็บงำความทุกข์โศกอะไรบางอย่าง เธอเงียบอยู่นาน ในที่สุดก็เหมือนจะตัดสินใจอะไรได้
เจ๋งเป้ง! หนูร้องตะโกนด้วยความดีใจ
พลชอบเรารึเปล่า เธอเอื้อมมือไปปิดหนังสือใช้นัยน์ตาเศร้าคู่นั้นจ้องมองเขาอีกครั้ง หนูกระพือปีกผับ ๆ ยิ้มร่า...
เอ่อ!... เขาตกตะลึงกับคำถามของเธอ แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ นีร์ก็สวมกอดเบา ๆ ที่เอวเขา แล้วเงยริมฝีปากประทับจูบที่ปากของเขา
นีร์! เขาตกใจกับสิ่งที่เธอทำ
ช่างเถอะ... แต่เราชอบพลนะ รักเลยละ เสียงของเธอสั่น... นั่นปะไร... นั่นปะไร... หวั่นไหวเข้าไว้เจ้าพลเอ๋ย...
จากคุณ :
{``-_-}{-``-}{-_-``}
- [
24 ก.ค. 48 02:54:33
]