CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


                          แมลงอรหันต์                      

    แล้วก็มาถึงช่วงเร่งจังหวะของค่ำคืนนี้ ดีเจหนุ่มหมุนแผงปรับ Equalizer เพื่อตัดย่านเสียงร้องออกไป เพลงนี้ต้องเริ่มที่เสียงทุ้มหนักของกลองเพียงอย่างเดียว ด้วยการปรับแต่งก่อนหน้านี้ เขาปรับจังหวะของมันให้พอดีกับจังหวะให้เลียนแบบการเต้นของหัวใจ อันจะทำให้ประสาทการรับรู้ของคนในผับตื่นตัวจนถึงขีดสุด แล้วก็ปลดเปลืองพลังกายออกมาจนสิ้น

    อย่างไรซะ ค่ำคืนนี้จะเป็นที่สมหวังของใครหลายคน เขายิ้มให้ความเก่งกาจของตัวเองก่อนจะเร่งเสียงเพลงให้ดังกระหึ่มขึ้นกว่าเดิม

    +-+-+-+-+-+-+-+-++++-+-+-+-+-+-+--+-+-+-+-+-+

    แมลงสาปตัวหนึ่ง วิ่งผ่านโต๊ะไปอย่างรวดเร็ว เสียงเพลงดังกระหึ่ม เหล่านักท่องราตรีลุกจากโต๊ะออกมาเต้นโดยไม่สนใจมัน เป็นโอกาสอันดีที่มันจะหาเศษอาหาร แสงไฟกระพริบ มืดบ้าง สว่างบ้าง บางครั้งมีสีแดง บางครั้งสลับสีเขียว ทุกครั้งเมื่อแสงกระทบร่างของมัน เงาร่างได้แผ่ขยายเปลี่ยนรูปร่างไปจากเดิม มันไม่สนใจกับเงามากนัก กลิ่นหาอาหารโชยมา มันหยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันร่างไปยังตำแหน่งเป้าหมาย

    แต่ก่อนที่มันจะตรงดิ่งไป มันก็สังเกตอะไรบางอย่างที่ผิดปกติได้ เงาร่างของมันได้หายไปแล้ว เหตุเพราะแสงไฟทั้งหลายไม่ได้ส่องกระทบตัวมันแล้ว มีอะไรบางอย่างมาบังแสงไฟเอาไว้  พริบตานั้นเงาของวัตถุที่บังแสงก็ขยายใหญ่ขึ้น มันรู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะเหลียวไปดูว่าเป็นอะไร

    ชั่วอึดใจ จิตของมันสงบอย่างประหลาด เสียงอึกทึกในผับสลายไป ผู้คนรอบข้างเหมือนจะเคลื่อนไหวช้าลง ภาพชีวิตไหลผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ลืมตาดูโลกจวบกระทั่งเวลาปัจจุบัน จิตสมาธิของมันได้น้อมนำเข้าสู่ขั้นโสดาบัน และไม่คำนึงถึงสิ่งใด ญาณสมบัติของมันเลื่อนเข้าสู่สกิทาคามี ยืดขาทั้งหกเพื่อรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ทำให้มันล่วงเข้าสู่อนาคามี พลันทันใดนั้นมันก็รับรู้ทุกสรรพสิ่ง โลกมิใช่โลกอีกต่อไป วัตถุสิ่งของมิได้แตกต่างกัน กำเนิดและดับล้วนมาจากจุดเดียวกัน ที่สุดแล้วมันก็บรรลุถึงอรหันต์ ก่อนที่ร่างของมันจะแหลกเหลวไป ด้วยรองเท้าข้างหนึ่ง

    -++--++-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-

    ชายหนุ่มถูรองเท้าข้างนั้นกับขาโต๊ะใกล้ตัว เขาไม่ได้เกลียดแมลงสาป ที่เขาฆ่ามันเพราะเขาเห็นมัน เท้าก็ขยับไปเหยียบโดนอัตโนมัติ เขาก้มดูพื้นรองเท้าก็ไม่พบร่องรอยของแมลงสาปตัวนั้นเสียแล้ว หรือว่าเขาดื่มมากไป เขาทำสีหน้ามึนงงสงสัย เมื่อเหลียวดูรอบตัว ไม่มีใครสนใจเขา แสงไฟกระพริบตามจังหวะเพลง ชายหญิงหลายคู่ออกมาเต้นตามจังหวะเพลง ความปวดหนึบบีบคั้นหัวเขา สลายความทรงจำเมื่อครู่ไปอย่างเลือนราง ในความทรงจำที่เหลืออยู่น้อยนิด เขาจำได้ว่าเขากำลังเต้นอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ตอนนี้มีเขายืนอยู่คนเดียว หญิงสาวคนนั้นหายไปไหนกันเล่า

    เมื่อเหลียวมองรอบตัว ก็พบว่าเพื่อนที่มาด้วยกันหายตัวไปหมดตัว มันเป็นเช่นนี้อยู่ตลอด พวกเขามาด้วยกัน แต่มักจะกลับไม่พร้อมกัน ต่างคนต่างแสวงหาคู่ ในที่แห่งนี้การหาคู่ง่ายพอๆ กับการคว้าใบไม้ที่ลอยอยู่ในอ่าง เขาพลาดผู้หญิงไปคนหนึ่ง และตอนนี้เขาก็พร้อมสำหรับหาหญิงคนใหม่มาทดแทน มิเช่นนั้น ค่ำคืนนี้คงเปลี่ยนเหงายิ่ง

    สายตาที่พร่ามัวไปบ้างเพราะควันบุหรี่ แต่ก็ยังพอจะมองออกว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งว่างอยู่ที่โต๊ะถัดไปอีกสามสี่ตัว ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ เพ่งพินิจดูหน้าเธอใกล้ๆ เธอก็คงเหมือนกับเขา มากับเพื่อน และตอนนี้ถูกทิ้งให้อยู่เดียวดาย เมื่อเขาเดินไปจนถึงโต๊ะเป้าหมาย ชายหนุ่มรู้ได้ทันทีว่า เธอเป็นหญิงที่คู่ควรจะเริงรักกับเขาในค่ำคืนนี้

    “สวัสดีครับ มาคนเดียวหรือครับ” คำถามนี้ดูจะสิ้นคิดไปซักหน่อย แต่มันก็เป็นคำถามเปิดประเด็นที่เขามักจะใช้สม่ำเสมอ และก็ได้ผลแทบทุกครั้งเสียด้วย

    “ค่ะ มาคนเดียว” เธอตอบและหันมายิ้มให้เขา ยิ้มนั้นเป็นเชิงเชิญชวน และดูลึกลับ

    “งั้นผมขอนั่งด้วยคนนะครับ ผมชื่อนทีครับ”

    “นั่งซิคะ นที”

    ชายหนุ่มนั่งลง และถือโอกาสขยับเก้าอี้ไปอยู่ใกล้ๆ เธอ เมื่อเขามองหน้าของเธออีกครั้ง ก็พบว่าหญิงสาวคนนี้สวยกว่าทีคิดไว้ ตากลมสุกใส ผมยาวดำสลวย ใบหน้ารูปไข่และเกลี้ยงเกลา เหมือนกับไม่ใส่เครื่องสำอางใดๆมา พลางคิดคำนึง ด้วยรูปร่างหน้าตาเช่นนี้ คืนนี้เขาและเธอจะปีนป่ายเข้าสู่สวรรค์ด้วยกัน

    “คุณชื่ออะไรล่ะครับ ยังไม่ได้บอกชื่อกับผมเลย”

    “ชื่อเครฟ ค่ะ” เธอยิ้มให้เขาอีกครั้ง

    “คืนนี้ ให้เกรียติผมเลี้ยงนะครับ” เขากล่าวขึ้น เมื่อเหลือบดูพบว่าโต๊ะที่เธอนั่งว่างเปล่า ขณะที่เขายกมือจะเรียกบริกร เธอก็เอื้อมมือขาวผ่องขึ้นมาจับมือเขาไว้ เป็นเชิงห้าม

    “ไม่เป็นไรคะ” แล้วเธอก็ดึงตัวเขาเข้ามาใกล้ เอื้อมมือจับใบหน้าให้โน้มลง แล้วจุมพิตเขา

    นทีจูบตอบเธอ ลิ้มรสความหวานหอมจากปลายลิ้นของเธอ ชั่วอึดใจเขาก็รู้สึกเคว้งคว้าง เหมือนล่องลอย หัวใจเต้นระรัว และสงบลงเมื่อเธอละริมผิวปากออก เขาจ้องหน้าเธอ เธอยิ้มให้เขาอีกครั้ง ปากน้อยๆ ขยับพูดแผ่วเบา

    “เราออกไปเต้นรำกันเถอะ”

    เขาถูกเธอจูงออกมากลางเวที มือทั้งสองโอบกอดเธอไว้ สองเท้าเริ่มขยับตามจังหวะเพลง  ท่ามกลางกลิ่นควันบุหรี่ และกลิ่นของมึนเมา เขาสูดกลิ่นหอมจากตัวเธอได้ ทุกครั้งที่สูดเข้าไป มันทำให้เขาสติหายไปทีละน้อย สองมือเริ่มลูบไล้ไปทั่วร่างกายของเธอ ซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะขัดขืนแม้แต่น้อย แล้วเธอก็กระซิบถามข้างหูของเขา

    ”นทีมาที่นี่บ่อยหรือเปล่า”

    “มาทุกวันศุกร์ครับ”

    ”ชอบที่นี่ไหม”

    “ชอบครับ โดยเฉพาะเครฟ”

    “ตอบไม่ตรงคำถามเลย” เธอพูดน้ำเสียงเง้างอน ขณะเดียวกันเอาใช้มือน้อยลูบไล้แผ่นหลังของเขาอย่างแผ่วเบา

    ”เราไปนั่งกันดีไหมครับ ผมรู้สึกมึนหัว”

    อันที่จริงแล้วนที ไม่ได้อยากจะกลับไปนั่งหรอก แต่ด้วยความปวดมึนหัวที่เกิดขึ้นมาอย่างฉับพลัน ทำให้เขาไม่อาจจะประคองตัวเต้นรำกับเธอได้ และเขาก็รู้ดีว่าหากฝืนยืนอยู่อีกไม่นาน อาจจะต้องล้มพับลง ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นอย่างยิ่ง สำหรับนักเที่ยวตัวยงแล้ว ก็นับว่าเป็นข้อห้ามอย่างยิ่ง

    ขณะที่เขากำลังผละจากตัวเธอ ก็ปรากฏว่าสองมือของเธอยังคงเหนี่ยวรั้งเขาไว้ไม่ให้เดินกลับไปที่โต๊ะ เธอกลับดึงโน้มใบหน้าของเขาลงมาชิดกับใบหน้าของเธอ พลางกระซิบซาบขึ้นมา

    “สำหรับคืนนี้ คุณไม่มีโอกาสจะกลับไปนั่งแล้ว” เสียงกระซิบนั้นทำให้เขารู้สึกหวาดสยองอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

    เขาเหม่อมองอย่างไม่เข้าใจ เธอยิ้มให้เขาอีกครั้ง ยิ้มที่ไม่เหมือนครั้งก่อน ยิ้มที่แฝงความหมายบางอย่าง ยิ้มนั้นปลุกให้ขนแขนเขาลุกชันขึ้นมา สัญชาติญาณบอกให้เขารู้ว่า มีอันตรายย่างกรายเข้ามาเยือน แต่ก็เกินกว่าเขาจะขัดขืนดิ้นรนจากไปได้ ตอนนี้เขาสิ้นเรี่ยวแรงเสียแล้ว เธอจ้องมองมา แล้วพูดขึ้นอีก

    “มีสัตว์บางชนิดก็อาศัยรูปร่างหลอกลวงเหยื่อของมัน และกว่าจะรู้ตัว ก็สายไปเสียแล้ว มนุษย์หลงคิดว่าตนอยู่บนที่สูงสุดบนห่วงโซ่ หาสำนึกไม่ว่า ยังมีบางสิ่งที่อยู่สูงขึ้นไปอีก นที ขอให้คุณภูมิใจไว้เถอะ แม้ว่าคุณจะถูกพรากวิญญาณหลุดลอยจากร่าง คุณก็ได้โอกาส ซึ่งไม่มีน้อยคนนักจะได้พบ โอกาสที่จะได้พบผู้ล่าที่แท้จริง”

    เขาจับต้นชนปลายไม่ถูกไม่เข้าใจว่าเธอพูดถึงเรื่องอะไร ขณะที่เขาอ้าปากจะเค้นเสียงพูดออกมา เธอก็โน้มคอของเขาลงมา เสนอจูบอีกครั้ง เขาตระหนักได้ว่าจูบนี้อันตราย แต่มันสายไปเสียแล้ว

    ทันทีที่ริมผิวปากของเธอประกบกับปากของเขา เหมือนมีแรงดึงดูดสูบกำลังของเขาออกจากร่าง เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่น้อยนิดก็ค่อยสลายไปอย่างช้าๆ แม้แต่จะยกแขนขึ้นมาผลักก็ไม่อาจจะทำได้ พลันภาพความทรงจำต่างๆ ไหลพรั่งพรูเข้าสู่หัวของเขา ด้วยสติที่เหลืออยู่อันน้อยนิด เขาก็ทราบได้อย่างน่าประหลาดว่าภาพความทรงจำเหล่านี้เป็นของเธอ

    เธอ หรืออาจจะเรียกว่า “มัน” มันเกิดขึ้นมาท่ามกลางกองซากศพของสงครามโบราณเมื่อนานมาแล้ว ร่างกายถึงพร้อมด้วยพลังและปัญญา คอยเฝ้าล่อลวงมนุษย์เพื่อดูดกลืนวิญญาณ นำมาล่อเลี้ยงชีวิต ภาพการตามล่าล้างมันปรากฏขึ้นมา ทุกยุคทุกสมัยแต่ไม่มีผู้ใดจะฆ่ามันได้ จนกระทั่งมันสามารถปรับตัวให้กลมกลืนแฝงเร้นอยู่ในหมู่ผู้คน แปรเปลี่ยนรูปร่างอันอัปลักษณ์ให้กลายเป็นหญิงสาว อาศัยรูปร่างหน้าตาที่เย้ายวน หาเหยื่อผู้โชคร้ายในยามค่ำคืน ณ สถานที่มั่วโลกีย์หลายแห่ง

    ก่อนที่เสี้ยวชีวิตของเขาจะถูกสูบจนสิ้น ปฏิกิริยาสุดท้ายในการดิ้นรนต่อสู้ ทำให้ร่างเขากระตุก แรงนั้นมากพอที่จะทำให้เท้าข้างหนึ่งลอยขึ้นเหนือพื้นเพียงเล็กน้อย กาลเวลาประหนึ่งถูกเหนี่ยวดึงให้ช้าลง ผู้คนโดยรอบเคลื่อนไหวช้าลงจนเกือบหยุดนิ่ง และเมื่อเท้าข้างนั้นของเขาเหยียบลงอีกครั้ง พลันปรากฏเหตุการณ์ประหลาดล้ำ แม้แต่เจ้าตัวประหลาดนั่นก็ยังตะลึง

    มันเชื่อว่าไม่มีมนุษย์ผู้ใด ทำลายล้างมันได้ ไม่ว่าด้วยอาวุธนานาชนิด ก็ไม่สามารถสังหารมันลง ในอดีตทุกครั้งที่ถูกทำลายร่าง ไม่ช้ามันก็จะเกิดขึ้นมาใหม่ เป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้คิดไปว่ามันอยู่เหนือกฎเกณฑ์ธรรมชาติทั้งมวล ไม่มีแตกดับสิ้นสูญ

    แต่อุบัติการณ์ครั้งนี้ สร้างความแปลกใจแก่มัน คลื่นความคิดชนิดหนึ่งแผ่กว้างขยายครอบคลุมร่างกายของมันไว้ แม้ไม่ส่งผลต่อร่างกาย แต่ชีวิตภายในกลับถูกกัดกร่อนลงไปอย่างรวดเร็ว เหมือนใบไม้แห้งกรอบที่โดนลมพัด มันสำนึกว่ามีพลังบางอย่างที่สามารถทำให้ชีวิตของมันปริแตกมลายไปได้ ต้นตอของสิ่งที่ทำร้ายมันเกิดมาจากวัตถุสิ่งของบางอย่างที่อยู่ใต้เท้าเหยื่อที่กำลับสูบชีวิตนั่นเอง

    และก่อนที่พลังนั้นจะฆ่ามัน ด้วยสัญชาติญาณที่สั่งสมมานับพันปี มันได้ใช้พลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ ดึงรั้งห้วงเวลาที่ผ่านไปให้ถอยกลับ เพื่อหลบหนีสภาวะที่เป็นอันตรายครั้งนี้ เพียงเสี้ยวหนึ่งของเวลา มันก็สามารถสร้างจุดเชื่อมกลับไปยังเวลาก่อนหน้าได้


    ขณะที่มันจะก้าวข้ามไป มันกลับถูกผลักด้วยมือของเหยื่อที่มันสวมกอดเอาไว้ การกระทำเพียงเล็กน้อยเช่นนี้ กลับตัดสินความเป็นตาย มันหลบหนีไม่ทัน ร่างของเหยื่อกลับก้าวข้ามจุดเชื่อมเวลาและหายลับไป ปล่อยทิ้งให้มันเผชิญหน้าวินาทีสุดท้ายของชีวิต และเมื่อไม่มีร่างของเหยื่อยืนอยู่ มันก็ได้เห็นสิ่งที่ฆ่ามัน สิ่งนั้นกลับเป็นชีวิตที่เล็กกระจ้อยสกปรก ซึ่งเรียกว่า “แมลงสาป” เจ้าสัตว์ตัวนี้หรือ มันสงสัย สภาวะจิตที่โพยพุ่งแผ่ขยายออกจากร่างแมลงสาปทำให้คำถามสุดท้ายของมันแจ่มชัดขึ้น ก่อนที่ชีวิตของมันจะถูกทำลายไป แต่มันก็ยังสงสัยอยู่ดีว่า




    มันเป็นไปได้อย่างไร




    +--+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-++-+-+--+-++--+

    ชายหนุ่มถูรองเท้าข้างนั้นกับขาโต๊ะใกล้ตัว เขาไม่ได้เกลียดแมลงสาป ที่เขาฆ่ามันเพราะเขาเห็นมัน เท้าก็ขยับไปเหยียบโดนอัตโนมัติ เขาก้มดูพื้นรองเท้าก็ไม่พบร่องรอยของแมลงสาปตัวนั้นเสียแล้ว หรือว่าเขาดื่มมากไป เขาทำสีหน้ามึนงงสงสัย เมื่อเหลียวดูรอบตัว ไม่มีใครสนใจเขา แสงไฟกระพริบตามจังหวะเพลง ชายหญิงหลายคู่ออกมาเต้นตามจังหวะเพลง ความปวดหนึบบีบคั้นหัวเขา สลายความทรงจำเมื่อครู่ไปอย่างเลือนราง ในความทรงจำที่เหลืออยู่น้อยนิด เขาจำได้ว่าเขากำลังเต้นอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ตอนนี้มีเขายืนอยู่คนเดียว หญิงสาวคนนั้นหายไปไหนกันเล่า…..

    (โปรดย้อนกลับไปอ่านตอนแรกอีกครั้ง)

    จากคุณ : egotech - [ 25 ก.ค. 48 03:55:39 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป