หวัดดีค่า...คราวนี้ลิงก์บทที่๕มาด้วย (อิอิเราเดินมาได้ครึ่งทางแล้ว)
บทที่๕...คำสารภาพจากผู้ชายสารเลว
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W3593611/W3593611.html
แค่นี้ล่ะ...เชิญอ่านบทต่อไปได้เลยค่ะ
------------------------------------------------------------
ตอน
มายาไฟ
ฉ่า
ฉ่า
เสียงดังมาจากหม้อข้าวต้มที่เดือดพล่านจนน้ำล้นออกมาสัมผัสแผ่นทำความร้อน ทำให้ฉันซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมเครื่องปรุงต้องรีบหันไปปิดหัวเตา พร้อมทั้งเปิดฝาหม้อ เผยควันพวยพุ่งขึ้นมาจนเกือบจะเข้าหน้าฉันทีเดียว
ฉันชะโงกดูหน้าตาของข้าวต้มหมูในหม้อแล้วก็ยิ้ม เมื่อเห็นว่ามันมีหน้าตาน่าทานกว่าครั้งก่อนๆมาก และคราวนี้หวังว่ารสชาดของมันคงดีตามหน้าตาด้วย
หลายๆคนอาจคิดว่าแค่ข้าวต้มหมูเองทำง่ายจะตายไป
แต่สำหรับฉันที่เพิ่งหัดทำอะไรด้วยตัวเองตอนอายุยี่สิบเอ็ด เนี่ย มันจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสมบุกสมบันพอตัว
ตอนแรกที่เริ่มหัดทำ ฉันต้องส่ายหน้าทุกครั้ง ถ้าไม่เละเป็นโจ๊ก ก็แห้งอืดเต็มหม้อทุกที
ส่วนรสชาดไม่ต้องพูดถึง เพราะมันห่วยยิ่งกว่าหน้าตาเสียอีก
ฉันรีบตักข้าวต้มใส่ชาม โรยหน้าด้วยพริกไทย ยกไปตั้งที่โต๊ะอาหารเพื่อรอให้สามีมาทาน
วันนี้เขาต้องชมฉันแน่
ฉันนึกกระหยิ่มในใจ ขณะเดินไปดูว่าเขาตื่นหรือยัง
ทว่า ฉันยังไม่ทันได้ก้าวไปไหน สามีฉันก็เปิดประตูห้องนอนออกมาในสภาพที่เกือบเรียบร้อยในชุดทำงานแล้ว
คืนนี้ผมกลับดึกนะ ไม่ต้องรอ
เขาพูดกับฉันขณะผูกเนคไท แล้วก็หมุนตัวกลับเข้าห้องอีกครั้ง เพื่อหยิบเสื้อสูท
เอ่อ
ทานข้าวต้มก่อนซิคะ
ไม่ล่ะ ผมกำลังรีบ
เขาพูดพร้อมกับจ้ำพรวดๆยังกับจะไปตามควายที่ไหน ผ่านหน้าฉันตรงไปที่ประตูบานหน้า และเปิดออกพร้อมทั้งเอี้ยวตัวหยิบกระเป๋าใส่เอกสารไปด้วย
อ้อ!
เขาหันกลับมาอีกครั้ง ก่อนที่จะก้าวพ้นประตู
ฉันดีใจรีบเดินเข้าไปใกล้ เมื่อนึกว่าเขาอาจต้องการจูบลาภรรยาก่อนไปทำงานก็เป็นได้
คุณรีดเสื้อผมไหม้อีกแล้วนะ
คราวหลังระวังหน่อยสิ เสื้อผมจะหมดตู้แล้ว
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย ก่อนจะปิดประตูใส่หน้าฉัน
ฉันยืนซึมไปครู่ใหญ่ ก่อนจะเดินคอตกมานั่งที่เก้าอี้ตรงหน้าชามข้าวต้มหมู ที่เริ่มอุ่นลงมาบ้างแล้ว
ฉันก็พยายามไม่ให้มันไหม้แล้วนะ
ฉันได้แต่พึมพำอย่างทดท้อ
เฮ้อ!
ฉันกับเขารู้จักกันเพราะแม่อยากให้ฉันแต่งงานกับลูกชายของเพื่อนสนิท จึงนัดแนะให้เพื่อนพาลูกชายมาทานข้าวที่บ้านในวันหยุด
ครั้งแรกก่อนที่จะพบกัน ฉันคิดว่า เขาต้องเป็นเกย์หรือไม่ก็หน้าตาเห่ยมากๆ เพราะอายุตั้งสามสิบแล้วยังต้องให้แม่หาเมียให้อีก
แต่ความคิดนั้นกระเด็ดหายทันทีเมื่อพบเขาครั้งแรกบนโต๊ะอาหารเย็น
รูปร่างเขาก็สมส่วนตามมาตราฐานชายไทยทั่วๆไป หน้าตาก็ธรรมดาๆ
แต่เขากลับมาเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้ฉันต้องคอยชำเลืองมองเขาเกือบตลอดเวลาที่นั่งทานอาหารร่วมกัน
หลังจากนั้น ฉันกับเขาจึงคบหากันเรื่อยมา โดยมีผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายหนุนหลัง
แต่เขากลับไม่เคยแสดงท่าทีอะไรกับฉันเลย นอกจากทำตามคำสั่งแม่อย่างขัดเสียไม่ได้เท่านั้น จนกระทั่งผ่านไปเกือบสองปี ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเขาก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า
แต่นั่นก็ทำให้ฉันพอจะรู้ถึงสาเหตุที่เขายังไม่มีเมียได้เลาๆว่า
เพราะเขาเป็นบุคคลที่ค่อนข้างยิ้มยากมากๆ ยกตัวอย่างเช่น เราไปดูหนังตลกด้วยกัน ชาวบ้านชาวช่องเขาหัวเราะก๊ากกันทั้งโรง แต่อีตานี่กลับแค่แค่นหัวเราะ หึๆเท่านั้น แถมเป็นผู้ชายที่ไร้ซึ่งอารมณ์โรแมนติกอย่างแรง เพราะตั้งแต่คบกันมา เขาไม่เคยมีดอกไม้มาให้ฉันเลยซักครั้ง ฮึ!
แต่ไม่ว่ายังไง ฉันก็ชอบเขาอยู่
ฉันจึงเป็นฝ่ายหาเรื่องตลกๆมาทำให้เขาหัวเราะเสมอ แต่ก็ล้มเหลวทุกครั้ง จนสงสัยว่าอีตานี่คงเป็นประเภทเส้นลึก ฉันเลยเปลี่ยนแผนการณ์มาจั๊กจี้เขาซะให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป และนั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้ฉันได้ยินเสียงหัวเราะแบบเต็มเสียงของเขา รวมทั้งเพิ่งได้เห็นรอยยิ้มกว้างจนตาทั้งสองข้างหยีลงมา มองดูแล้วเหมือนเด็กหนุ่มไม่มีผิด
และภาพนั้น
มันทำให้ฉันตกหลุมรักเขาจนถอนตัวไม่ขึ้นเชียวล่ะ
และนับวัน ฉันก็ยิ่งหลงใหลในน้ำเสียงทุ้มนุ่มของเขา
รอยยิ้มอ่อนโยนของเขา
ปลายนิ้วเรียวสะอาดของเขา หรือแม้กระทั่ง เรือนผมดกดำที่ขอดหยิกสลวยของเขา
ฉันรักทุกอย่างที่ประกอบขึ้นมาเป็นเขา
นับวัน ความรู้สึกนั้นยิ่งพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ พร้อมๆกับความสัมพันธ์ของเราก็เริ่มคืบหน้าอย่างไม่น่าเชื่อ
โดยเริ่มจากการจูงมือเดินข้ามถนน เลื่อนขึ้นมาเป็นโอบกอดยามต้องสายลมเย็นยามค่ำคืน และจุมพิตดื่มด่ำยามชิดใกล้
สุดท้ายก็มาจบลงบนเตียงนอนภายในห้องชุดของเขาในค่ำคืนอันแสนหวาน
เมื่อมีครั้งแรก ย่อมมีครั้งต่อๆไป และความรักของฉันก็ยิ่งฝังลึกชนิดที่เรียกว่า ยอมถวายหัวให้เลยทีเดียว
ทว่า
ความสัมพันธ์นั้นกลับจืดจางลงเรื่อยๆ โดยเริ่มจากเขามักจะหายหน้าหายตาไปนานๆ โทรไปหากี่ครั้งๆก็บอกว่างานยุ่ง ถึงแม้จะมีโอกาสมาพบกันบ้าง แต่เขากลับมีสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา จนหลายครั้งฉันคิดว่าเขาอาจจะเบื่อและกำลังหาทางบอกเลิกฉันก็เป็นได้
ฉันได้แต่เก็บความกังวลและอัดอั้นนั้นไว้กับตัว
จนกระทั่งวันหนึ่ง ฉันเพิ่งรู้ว่าร่างกายเริ่มผิดปรกติ และได้สำแดงอาการออกมาอย่างเด่นชัด จนแม่จับได้ว่า
ฉันท้อง
ฉันกำลังท้องขณะเรียนอยู่ปี3 !
พ่อกับแม่โกรธมากพากันคาดคั้นถามหาพ่อเด็กเป็นการใหญ่
ฉันจำต้องบอกในที่สุด ทั้งๆที่กลัวจับใจว่าพ่อจะทำร้ายเขา และก็เป็นจริงตามที่ฉันคาดการณ์ไว้ พ่อเรียกตัวให้เขามาพบที่บ้านเป็นการด่วนและพากันหายเข้าไปในห้องทำงานของพ่อเพียงลำพังร่วมชั่วโมง ก่อนจะออกมาพร้อมร่องรอยพกช้ำบนใบหน้าเขาเล็กน้อย
แต่นั่นมันก็ทำให้ฉันเจ็บแปลบจนแทบร้องไห้ออกมา เพราะความสงสารเขาจับใจ
แต่ประโยคที่เขาพูดมา มันทำให้ฉันแทบสะอึก
คุณน่าจะรีบบอกผมก่อนนะ
ไม่น่าปล่อยให้เรื่องมันมาถึงขั้นนี้เลย
ที่เขาพูดแบบนั้นมันหมายความว่ายังไง!?
ฉันได้แต่เก็บคำถามนี้ไว้ในใจ ไม่กล้าถามออกไป เพราะกลัวในคำตอบที่ได้ยิน ซึ่งมันอาจจะทำให้ฉันเจ็บปวดมากกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้
หลังจากนั้น
งานแต่งงานระหว่างฉันกับเขาถูกจัดขึ้นอย่างเร่งรีบและเรียบง่าย
ตอนนั้นฉันเสียใจมาก ที่ทำให้พ่อแม่ต้องผิดหวังและอับอาย แต่ถึงกระนั้น พวกท่านทั้งสองก็ยังให้อภัยกับความผิดครั้งนี้ของลูกสาว
ในขณะที่เขากลับมีท่าทีหมางเมิน คล้ายๆกับเสียใจที่ต้องมาแต่งงานกับฉัน
ฉันพยายามไม่คิดอะไร ได้แต่กล้ำกลืนความเจ็บปวดและน้อยใจในตัวเขาไว้ในใจอีกครั้ง
จากนั้น ฉันก็เริ่มเรียนรู้ที่จะปฏิบัติตัวเป็นภรรยาที่ดี
อะไรที่ไม่เคยทำฉันก็หัดทำทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นงานบ้าน งานครัว เพื่อหวังว่า ซักวันเขาคงจะหันกลับมาเห็นคุณค่าในตัวฉันบ้าง
แต่นับวัน เขาก็ยิ่งห่างออกไปไกล
ถึงแม้จะอยู่ร่วมห้องเดียวกัน นอนร่วมเตียงเดียวกัน แต่เขาก็ไม่เคยกอดฉันซักครั้ง ทำเหมือนไม่มีฉันอยู่ในห้องของเขา เวลานอนก็มักจะคว่ำหน้าหรือไม่ก็หันหลังให้ เป็นแบบนี้ทุกคืน และความเครียดที่ฉันเก็บกดไว้เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนไปกระทบถึงลูกในท้อง
ในที่สุด ฉันก็ไม่สามารถปกป้องชีวิตน้อยๆนั้นได้
ฉันทั้งเสียใจและเจ็บปวด เหมือนกับว่าชีวิตครึ่งหนึ่งของฉันได้สูญสลายไปกับก้อนเนื้อก้อนนั้น
ส่วนเขาได้แต่นิ่งเงียบ ไม่แสดงอาการเสียใจให้เห็นเลยซักครั้ง แต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า
โชคดีที่เขาไม่ได้เกิดมาตอนนี้
ฉันแทบกรี๊ดในประโยคที่ได้ยิน แต่เขาก็เดินออกไปจากห้องผู้ป่วยซะก่อน
เพื่อไปทำงาน! และทิ้งให้ฉันอยู่บนเตียงคนไข้กับพยาบาลเท่านั้น
ฉันทั้งโกรธทั้งเกลียดกับความเย็นชาของเขา ถึงขั้นอยากเลิกกับเขาให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป แต่เมื่อนึกถึงหน้าพ่อกับแม่ มันคงไม่เป็นการดีนักหรอกที่ลูกสาวซึ่งเคยสร้างความอับอายมาแล้วครั้งหนึ่ง จะสร้างความอับอายให้อีกครั้งโดยการหย่าขาดกับสามีที่อยู่ร่วมกันโดยที่ก้นหม้อข้าวยังไม่ทันจะดำเลยด้วยซ้ำ และอีกเหตุผลหนึ่งคือ
ฉันยังคงรักเขาทุกลมหายใจเข้าออก แม้ว่าเขาจะสร้างความเจ็บปวดให้ฉันอย่างแสนสาหัสก็ตาม
ฉันจึงตัดสินใจอยู่กับเขาเรื่อยมา
แก้ไขเมื่อ 26 ก.ค. 48 19:52:17
จากคุณ :
มาดาม เค
- [
25 ก.ค. 48 12:24:23
]