CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    [ - จูเฉินคัง - ] จอมจักรพรรดิ์ ตอนที่ 11

    เอาตอนที่ 11 มาให้อ่านก่อนคะ  ตอนนี้งานเข้าแล้ว  คงไม่มีเวลาเขียนอีกนาน   ตอนต่อไปคงต้องเป็นเดือนหน้าแล้วค่ะ


    1.ณ วังหลวง

    “ใต้เท้าเฉิน  ฮ่องเต้เรียกประชุมโดยด่วนแบบนี้ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใด” เสนาหวู่ถามใต้เท้าเฉิน  ขณะที่บุคคลทั้ง 2 พบกันระหว่างทางเดินไปท้องพระโรง  ที่ซึ่งเป็นที่ประชุมราชกิจสำคัญ  

    “นั่นซิ   ฮ่องทรงออกจากห้องทรงพระอักษร ก็เรียกประชุมทันที  ข้าเองก็ไม่รู้ว่ามีเรื่องใดกันแน่  แต่เดี๋ยวก็คงจะรู้เองนั่นแหละ”เสนาเฉินตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก  เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฮ่องเต้ทรงเรียกประชุมด่วนเมื่อทรงออกจากห้องพระอักษร    ใต้เท้าหวู่มิได้ซักถามอะไรต่อ  เนื่องจากตอนนี้บุคคลทั้งคู่เดินทางมาถึงจุดหมายแล้ว    

    ห้องท้องพระโรงขนาดใหญ่ วิจิตรงดงามด้วยสถาปัตย์กรรมแห่งจงหยวน  ศิลปินเอกมากมายได้มาฝากฝีมือไว้ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นต้นเสาที่แกะสลักเป็นตัวมังกรประดับด้วยทองและพลอย  กำลังทำท่าเหมือนเหาะขึ้นสวรรค์  เพดานที่เป็นภาพ 12 นางฟ้าผู้งดงามกำลังโปรยดอกไม้สวรรค์  และบัลลังค์มังกรที่ทำด้วยทองทั้งตัวประดับด้วยเพรชพลอยน้ำงาม  ซึ่งเป็นที่ประทับของฮ่องเต้ในทุกรัชสมัย  และบัดนี้ท้องพระโรงได้คราครั่งไปด้วยขุนนางใหญ่น้อย  แต่กายด้วยชุดประจำตำแหน่งอย่างเต็มยศ  ขุนนางหลายคนจับกลุ่มพูดคุยและคาดเดากันถึงเรื่องที่ฮ่องเต้ทรงเรียกประชุมด่วนในวันนี้    

    เสียงพูดคุยกันดังขรมจนกระทั่งขันทีผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านในและร้องประกาศก้อง  “ฮ่องเต้เสด็จแล้ว”   บุรุษหนุ่ม  รูปร่างสูงสง่างาม แต่งกายด้วยผ้าแพรสีทอง ปักลายมังกร  ประดับประดาชุดด้วยเพรชนิลจินดา สวมหมวกครอบผมที่ทำด้วยทองคำประดับทับทิมน้ำงามเม็ดโตด้านหน้า  ลวดลายด้านข้างขนดเป็นรูปมังกรประดับด้วยพลอย   ก้าวเดินออกมาจากด้านใน  ด้วยท่วงท่าอันสง่างาม  ดุจพญามังกรเยื้อย่าง

    ขุนนางน้อยใหญ่รีบเดินกลับไปประจำตำแหน่งของตนก้มหัวคำนับ  และส่งเสียงร้องออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน  “ของทรงจงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นๆปี” ก่อนที่จะคุกเข้าอยู่กับพื้นท้องพระโรง  

    “ลุกขึ้นได้” พระสุรเสียง เปล่งกังวาลออกจากพระโอษฐ์ของฮ่องเต้  แม้นจะเรียบและนุ่มนวล หากแต่ฟังดูมีอำนาจ  

    “ขอบพระทัย” ขุนนางทั้งหลายร้องประสานเสียงกันอีกครั้ง  ก่อนจะลุกขึ้นยืนตามรับสั่ง

    “ท่านเสนาเฉิน  ทางชายแดนมีข่าวอะไรบ้าง” ฮ่องเต้รับสั่งถามข่าวคราวด้านการทหารกับเสนาบดีผู้ซึ่งความคุมดูแลกองทัพทั้งหมด

    “เรียนฝ่าบาท  ตอนนี้เผ่าหูเหิมเกริม  ยกทัพเข้าตีเมืองหน้าด่านทางเหนือของเรา   แม่ทัพหวังได้นำทัพไปต้านศึก  ซึ่งสามารถทำให้มันถอยร่นไปได้  แต่....”

    “มีอะไรงั้นหรือท่านเสนาเฉิน” ฮ่องเต้ตรัสถามเมื่อเห็นเสนาเฉินมิพูดต่อ

    “เรียนฝ่าบาท  นี่เป็นข้อสันนิฐานของหม่อมฉัน    หม่อมฉันเกรงว่าที่เผ่าหูยอมถอยทัพอาจจะเป็นกลอุบายศึกเสียมากกว่า  ที่จะล่าถอยจริงๆ” เสนาเฉินพูดอย่างรู้สึกหนักใจ

    “มีเหตุผลใดท่านเสนาจึงคิดเช่นนั้นล่ะ”

    “ใช่  ท่านเสนาเฉินท่านคิดมากเกินไปรึเปล่า   หากไม่เป็นจริงจะทำให้ฝ่าบาทไม่สบายพระทัยเปล่าๆนะ” เสนาหวู่กล่าวเตือน

    “เรียนฝ่าบาท  ที่หม่อมฉันคิดเช่นนั้น  เนื่องจากสายรายงานมาว่า  แม้นเผ่าหูถอยร่นไป  หากแต่กองกำลังมิได้สลายไปด้วย  ยังคงเกาะกลุ่ม ถึงไม่มีการเคลื่อนไหว  แต่หากก็เตรียมพร้อมอยู่เสมอ” เสนาเฉินอธิบายด้วยความรู้สึกเป็นกังวล

    “แล้วท่านมีความคิดเห็นว่าเราควรจะทำเช่นไร” ฮ่องเต้ตรัสถาม  เหตุที่ฮ่องเต้จูเฉินคังสามารถดูแลบ้านเมืองได้อย่างดีนั้น  เนื่องจากทรงมีขุนนางที่มีความสามารถและซื่อสัตย์ต่อราชวงศ์  ทั้งยังรักราษฎรอีกด้วย  ดังนั้นเมื่อมีเรื่องใดๆเกิดขึ้นไม่ว่าใหญ่เล็ก  พระองค์จะทรงถามความคิดเห็น และวิธีแก้ไขจากผู้ที่รับผิดชอบกระทรวงนั้นๆก่อน  เพื่อที่จะให้ขุนนางที่รับผิดชอบได้ทำงานอย่างเต็มความสามารถ  ทั้งการทำเช่นนี้ยังเป็นการซื้อใจของขุนนางอีกด้วย  เนื่องจากเป็นการให้เกียรติ  และให้ความเชื่อใจ ไว้วางใจ  แก่ขุนนางคนนั้นๆ  ทำให้เกิดความปิติ  และภาคภูมิใจในตนเองอย่างมาก

    “ตอนนี้หม่อมฉันได้สั่งให้นายพลหวัง  ส่งทหารสอดแนวฝีมือดีแฝงตัวเข้าไป  เพื่อสืบดูว่าพวกเผ่าหูมีจุดมุ่งหมายใดกัน  หรือหากพวกมันมีการเคลื่อนไหวอีก  เราจักได้ไหวตัวได้ทันท่วงที   อีกทั้งหม่อมฉันได้สั่งให้ท่านนายพลหวัง  ส่งแม่ทัพนายกองฝีมือดีกับทหารอีก สองหมื่นคน ตรึงกำลังด้านแนวชายแดนที่ติดกับเผ่าหูไว้แล้ว  หากมีเหตุการณ์ไม่สงบจะได้เคลื่อนไหวได้ทันท่วงที   ไม่ทราบฝ่าบาทเห็นว่าเป็นเช่นไรพะย่ะค่ะ” เสนาเฉินรายงาน

    ฮ่องเต้ฟังจบก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ  และตรัสชม “ดีมาก  ท่านทำได้ดีมาก  ถ้าล่วงรู้ความเป็นไปของข้าศึกได้  การชนะศึกก็เป็นเรื่องง่ายดาย  สมเป็นเสนาฝ่ายกลาโหมที่เราไว้วางใจจริงๆ  ท่านทำการที่เห็นสมควรได้เลย”  

    เสนาเฉินได้สดับฟังคำชื่นชมในความสามารถของตน  ที่ออกมาจากปากของประมุขของแผ่นดิน ก็รู้สึกปิติยิ่งนัก
    “หม่อมฉันเพียงแต่ทำตามหน้าที่เท่านั้นพะยะค่ะ” เสนาเฉินออกตัวอย่างถ่อมตน เพื่อมิให้เป็นที่ริษยาแก่เพื่อนขุนนางคนอื่นๆ

    “แล้วทางด้านของท่านล่ะเสนาหวู่    บ้านเมืองตอนนี้เป็นเช่นไรบ้าง”

    “กราบทูลฝ่าบาท  ด้วยพระบารมีของฝ่าบาท  ตอนนี้บ้านเมืองสงบสุข ประชาราษฏร์อยู่ดีกินดีกันทั่วหน้าพะยะค่ะ   หากแต่ระยะมีข่าวมากจากกองปราบท้องที่เมืองหยางโจวว่า  มีกลุ่มผู้มีฝีมือรวมตัวกันก่อตั้งกลุ่ม  “พลิกแผ่นดินชิง” ขึ้น  และซุ่มโจมตีข้าราชการชั้นสูง  แต่ยังไม่มีการรายงานเข้ามาว่ามีเสียหายถึงขั้นบาดเจ็บล้มตายเลย  ตอนนี้กะหม่อมได้ส่งคนเข้าสังเกตการณ์ดูแล้วพะยะค่ะ”  เสนาหวู่กล่าวรายงานจบ  ฮ่องเต้ก็มีสีหน้าเคร่งเครียดก่อนกล่าวว่า

    “สายของท่านเสนาน่าจะมีปัญหาแล้วล่ะ  เมื่อ 5 วันก่อนที่จวนใต้เท้าหวังเมืองหยางโจว  มีจอมยุทธกลุ่มหนึ่งบุกเข้าไปในจวน  หมายสังหารคนของเรา”  สิ่งที่ฝ่าบาทรับสั่งทำให้ทำให้หน้าเสนาบดีหมาดไทยถึงกับถอดสี  

    “ฝ่าบาทหมายถึง…”

    “ข้าหมายถึง เว่ยเหยินคัง ผู้ที่เราแต่งตั้งให้เป็นตัวแทน  ในการตรวจดูความเรียบร้อยของบ้านเมือง   ขอโทษด้วยนะที่เราไม่ได้แจ้งท่านเสนาบดีมหาดไทยก่อน” ฮ่องเต้ตรัสราวกับอ่านความในใจของเสนาหวู่ได้

    “กะหม่อมมิกล้า  ฝ่าบาทเป็นเหนือหัวของแผ่นดิน  มีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะแต่งตั้งใครดำรงตำแหน่งใดๆก็ได้พระเจ้าคะ  ตำแหน่งเสนาบดีมหาดไทยของหม่อมฉันก็ได้มาเพราะพระกรุณาโปรดเกล้า  แม้นมีหน้าที่ดูแลเรื่องข้าราชการใหญ่น้อย  แต่หากเป็นพระประสงค์แล้วก็ทรงที่จะกระทำได้โดยไม่จำเป็นต้อง  แจ้งให้กะหม่อมทราบเลยพะยะค่ะ” เสนาบดีมหาดไทยรีบชี้แจง  ด้วยรู้ถึงความหมายที่ฮ่องเต้ทรงตรัส

    “งั้นก็ดีแล้ว  เราจะได้สบายใจ  ว่าที่เราทำมิได้เป็นการข้ามหน้าที่ของท่าน” ฮ่องเต้ทรงรับสั่งต่อพลางทรงพระสรวญอย่างพอพระทัย

    “กราบทูลฝ่าบาท  แล้วผู้แทนพระองค์เป็นอะไรหรือเปล่าพะย่ะคะ”

    “อ๋อ  ไม่เป็นอะไรหรอก  โชคยังดีที่คนของใต้เท้าหวังมาช่วยได้ทัน”

    “พวกโจรกลุ่มนี้บังอาจนัก  กล้าลอบทำร้ายผู้แทนพระองค์  เดี๋ยวข้าจะสั่งให้มือปราบที่เก่งที่สุดของเราไปจับกุมตัวมาสอบสวนโดยด่วน”

    “ดี  เจ้าไปจัดการให้เรียบร้อย  แล้วมารายงานเราด้วย  เราต้องการสอบปากคำด้วยตัวเอง” หลังจากรับสั่งกับเสนาบดีหวู่เสร็จ ทรงให้ข้าราชการคนอื่นๆกล่าวทูลรายงานเรื่องต่างๆ   จนหมดความแล้วจึงกล่าวปิดประชุม...

    .............................................................................................................................

    “ท่านเสนาหวู่  คราวนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องร้ายแรงเชียวนะ   ฮ่องเต้ทรงสนพระทัยในเรื่องนี้  ขนาดทรงรับสั่งจะเป็นผู้สอบปากคำผู้ต้องหากลุ่มนี้ด้วยพระองค์เองเลย” เสนาเฉินกล่าวกับเสนาหวู่ หลังจากเลิกประชุม

    “ข้าก็รู้สึกหนักใจนัก  เพราะจากที่ได้รับรายงาน  กลุ่มคนกลุ่มนี้แฝงตัวอยู่ในหลากหลายอาชีพ  อีกทั้งยังมีวรยุทธสูงกันทุกคน  การจักเข้าถึงและจับกุมคงมิง่ายนัก” เสนาหวู่แสดงสีหน้าหนักใจ

    “อือ...แต่การลอบทำร้ายผู้แทนพระองค์โทษหนักนัก  เช่นไรท่านก็ต้องจับกุมมาลงโทษให้จงได้”

    “ท่านเสนาเฉินพูดถูก  ข้าจะรีบกลับไปที่ห้องทำงาน  เรียกผู้เกี่ยวข้องมาหาวิธีโดยด่วน งั้นข้าขอตัวก่อน” เสนาทั้งสองกล่าวลากันก่อนจะแยกกันไปขึ้นเกี้ยวของตน

    .....................................................................................................................................

    จากคุณ : กรีนทรี - [ 25 ก.ค. 48 13:33:06 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป