"ขอให้คุณพักผ่อนตามสบายนะซิ่วซิ่ว ให้ถือเสียว่า
ที่นี่เป็นบ้านของคุณเองก็แล้วกัน"
นาวินกล่าวกับซิ่วเหมยขณะเดินนำหล่อนเข้าไปในห้องนอน
ของเขา หญิงสาวกวาดสายตามองไปโดยรอบ
"ขอบคุณมากนะ ฉันต้องขอชมว่าบ้านของคุณสบายน่าอยู่
เหลือเกิน "
และซิ่วเหมยก็คงหมายความตามที่พูดจริงๆ ห้องนอนของ
ชายหนุ่มสะอาดเรียบร้อยดีเหมือนกับห้องโถงภายนอก เตียง
นอนใหญ่ขนาดห้าคูณเจ็ดฟุตตั้งอยู่กลางห้องถูกเปลี่ยนผ้า
ปูและปลอกหมอนเรียบร้อย แม้ภายในห้องไม่มีของประดับ
ตบแต่งอะไรเลยนอกจากโต๊ะตั้งโป๊ะไฟและโทรศัพท์ข้างเตียง
ด้านหนึ่ง ผนังด้านเดียวกับประตูมีภาพถ่ายแบบพาโนรามา
ขนาดใหญ่ใส่กรอบไม้แขวนไว้ มันเป็นภาพยอดเขาปกคลุม
ด้วยหิมะสูงๆ ต่ำๆ เรียงรายสลับซับซ้อนลดหลั่นกันแลดูสวย
งามและลึกลับระคนกัน
"ภาพทิวทัศน์ของเทือกเขาหิมาลัยที่มองลงมาจากยอดเขา
เอเวอเรสต์ยามรุ่งอรุณ"
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเบาๆ เป็นเชิงอธิบายเมื่อสังเกตเห็นหญิงสาว
สนใจภาพนั้นมากกว่าสิ่งอื่น
"เมื่อตอนเป็นวัยรุ่นผมมักจะมีภาพดาราคนโปรดติดไว้ตามฝา
ผนังห้องเสมอ แต่เดี๋ยวนี้รู้สึกตัวว่าแก่ และดาราสาวๆ ที่ผม
ชื่นชอบนั้นร่วงโรยลงไปตามวัย จึงต้องหันมาหาภาพทิวทัศน์
เป็นการทดแทน"
เขาว่าอย่างติดตลกแล้วเดินไปเลื่อนประตูผนังด้านที่อยู่ปลาย
เตียง ทำให้หล่อนต้องละความสนใจจากภาพนั้นไว้เพียงแค่นั้น
"นี่เป็นห้องเก็บเสื้อผ้า ผมย้ายเสื้อผ้าของผมเองออกไป
หมดแล้วคุณจะได้เก็บของคุณไว้ในนี้ หากคุณต้องการใช้ห้อง
น้ำหรือครัวเวลาไหนก็เชิญตามสบายไม่ต้องคอยผมตื่นหรอก
ตอนนี้ในห้องมันหนาวไปสักหน่อยเพราะผมเพิ่งจะเปิดฮีทเตอร์
เมื่อครู่นี้ สวิทซ์ของมันอยู่ตรงแผงใกล้สวิทซ์ไฟนั่น"
ชายหนุ่มชี้มือประกอบ
"หากคุณขาดเหลืออะไรก็เคาะประตูเรียกผมได้ทุกเวลา
สำหรับคืนนี้ขอให้คุณพักผ่อนตามสบายเถิด"
หล่อนมองตาเขาอีกครั้งด้วยแววตาที่แสดงความขอบคุณ
เกินกว่าที่จะเอ่ยวาจาใดๆ ออกมาแทนได้
"ต้องขอขอบคุณเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้ ฉันโชคดีเหลือเกิน
ที่ได้คุณยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในสภาวการณ์เช่นนี้"
ชายหนุ่มยิ้มให้อย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ
"ไม่ต้องขอบใจผมให้มากหรอก ผมแค่ช่วยคุณไปตามที่
ผมจะช่วยได้และไม่ถือว่ามันเป็นภาระหรือสิ่งยุ่งยากแต่
อย่างใดเลย -- ว่าแต่..คุณไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า
รู้สึกสีหน้าคุณเหมือนจะกังวลอะไรบางอย่าง"
หล่อนยิ้มเซียวๆ
"เปล่าหรอกค่ะ ไม่มีอะไร คงจะเป็นเพราะวันนี้ฉันเหนื่อย
จากการเดินทางละกระมัง หากได้พักผ่อนสักครู่คงจะดี
ขึ้น แต่..ประตูห้องนอนของคุณไม่มีกลอนหรือล็อคหรือคะ"
ท้ายประโยคหล่อนถามเสียงอ่อยๆ
เขาแอบซ่อนยิ้ม เพราะเพิ่งเข้าใจความกังวลตามประสา
ผู้หญิงของหล่อนเมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายนี้เอง เขาเอง
อยู่ตัวคนเดียวมาเนิ่นนานจึงมองข้ามความสำคัญของกลอน
ประตูในบ้านไปเสียสนิท
"ประตูภายในของบ้านที่นี่ส่วนใหญ่ไม่มีล็อคหรอกครับ อย่า
ตกใจนะหากผมจะบอกว่าประตูห้องน้ำก็ไม่มีกลอนเหมือนกัน
ผมเองอยู่ที่นี่มาก็หลายปีแล้วก็เจอแต่ประตูในบ้านไม่มีล็อค
อย่างนี้แทบทุกบ้าน บางที่ถึงจะมีกลอนให้แต่ก็เป็นเฉพาะ
ประตูห้องน้ำเท่านั้น ตอนย้ายมานี่ใหม่ๆผมก็คิดจะหากลอน
มาติดประตูห้องน้ำเหมือนกันเผื่อแขกไปใครมา แต่ผมก็
ไม่ใคร่จะมีใครมาหาบ่อยนัก ประกอบกับขี้เกียจจึงไม่นึกว่า
มันจะเป็นสิ่งจำเป็น จนบัดนี้ดูเหมือนจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
ด้วยซ้ำ เพิ่งจะมานึกออกตอนคุณถามถึงนี่เอง"
นาวินอธิบายเสียยาวยืด เมื่อเห็นหล่อนยังนิ่งเงียบไม่พูดอะไร
จึงกล่าวต่อว่า
"แต่คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ หากผมจะเข้าห้องน้ำ
ทว่าเห็นประตูปิดอยู่ละก็ผมจะเคาะเรียกดังๆ ก่อนเสมอ
ขอเพียงคุณอย่าแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินและไม่ให้สุ้มให้
เสียงก็แล้วกัน ไม่งั้นผมเปิดประตูเข้าไปเจอคุณกำลังอยู่
ในห้องน้ำละก็ ผมจะถือว่าห้องน้ำว่างไม่มีใครอยู่และจะ
แกล้งทำเป็นไม่เห็นคุณอีกต่างหาก"
ซิ่วเหมยเผลอแบะปากนิดๆแล้วค้อนเขาน้อยๆ อย่างลืมตัว
นาวินเห็นแล้วแอบนึกในใจกับตัวเองว่าผู้หญิงคนนี้น่ารัก
เหลือเกินยามแสดงออกถึงจริตตามธรรมชาติแห่งเพศตนเอง
อย่างแท้จริงโดยเฉพาะการแสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้า
มิน่าเล่าคนเราถึงได้ดิ้นรนพยายามใช้ศัลยกรรมตบแต่ง
เข้าช่วยเสริมองคาพยพบนใบหน้ากันนักหนา คนปากสวยๆ
จะทำปากแบะยื่นอย่างไรก็ยังดูดีไม่น่าเกลียดเช่นนี้นี่เอง
หลังกล่าวคำราตรีสวัสดิ์แก่กันแล้ว เขาก็ผละจากมาปล่อย
ให้หล่อนมีเวลาอยู่กับตนเองตามลำพัง ความง่วงเหงา
หาวนอนเมื่อชั่วโมงก่อนหน้ามันหายไปหมดแล้ว กลับ
กลายเป็นตาสว่างและคืนนี้เขาคงจะหลับยากอีกตามเคย
ยิ่งขณะนี้ในโสตประสาทแว่วเสียงกุกกักอยู่ในห้องน้ำ แม้จะ
ไม่ตั้งใจเงี่ยหูฟังแต่ในความเงียบสงัดของยามดึกและระยะ
ห่างเพียงฝากั้นมันก็ทำให้ได้ยินถนัดในแทบจะทุกอิริยาบถ
ว่าคนที่อยู่ในห้องน้ำกำลังทำอะไรอยู่ และมันก็เพียงพอที่
จะจินตนาการอะไรต่อมิอะไรไปได้เลยเถิดไม่ยากนัก เขา
กำลังนึกสงสัยกับตัวเองว่าคืนนี้เธอจะกล้าอาบน้ำหรือเปล่า
และหากเธอกล้าเพราะความไว้เนื้อเชื่อใจเขาหรืออะไรก็
แล้วแต่ และเขาเกิดห่ามขึ้นมาถือโอกาสขณะที่เธออาบน้ำ
เปิดประตูผลัวะเข้าไปมันจะเกิดอะไรขึ้นหนอ ..
ชายหนุ่มสะบัดศีรษะแรงๆ เหมือนจะสลัดความคิดบ้าๆ ให้
พ้นไปจากหัวสมอง พยายามข่มใจนึกถึงเรื่องอื่นๆ ที่ควรจะ
นำมาขบคิดแต่เผลอไม่ทันไรใจก็ลอยไปข้องแวะกับเธออีก
จนได้จนชักจะอ่อนใจกับตนเองจึงต้องปล่อยให้ใจมันเผลอ
จะคิดอะไรฟุ้งซ่านก็ช่างมันเถิดหัวใจช่วยอะไรไม่ได้ เพราะ
เขาเป็นชายฉกรรจ์ทั้งแท่งที่เลือดลมยังเร่าร้อนระอุอุ่น ไม่ใช่
พระอิฐพระปูนมาจากไหนนี่นา ถึงเขาจะไม่ใช่คนดีเพียบพร้อม
เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมสูงส่งแต่เขาก็ไม่ใช่คนประเภทที่ปล่อย
ให้อำนาจฝ่ายต่ำเข้ามาครอบงำตนเองจนประพฤติปฎิบัติตนผิด
ไปในแนวทางที่ฝืนต่อจริยธรรมและศีลธรรมอันดีงามตามหลัก
คำสอนของวิชาพุทธศาสนาและหน้าที่พลเมืองจนเกิดเรื่องเสีย
หายขึ้นมาหรอก แต่ไอ้เรื่องจะวางอุเบกขาไม่คิดอะไรวุ่นวาย
มันเหลือกำลังที่เขาจะทำได้จริงๆ เท่าที่จะระงับไว้ก็แค่กัก
ความคิดให้มันหยุดยั้งอยู่แต่ในจินตนาการของตนเท่านั้นเอง
อย่างน้อยๆ มโนกรรม ก็คงจะไม่หนักหนาเท่ากายกรรมหรอก
และเธอก็ไม่กล้าอาบน้ำจริงๆ อย่างที่เขาคิด ยิ่งไปกว่านั้น
เขายังได้ยินเสียงเธอลากโต๊ะตัวเล็กที่หัวเตียงมากั้นประตู
ห้องนอนเอาไว้เหมือนจะให้ช่วยเป็นปราการป้องกันอีกชั้น
หนึ่งอีกด้วย ช่างเป็นความคิดเด็กๆ อะไรเช่นนั้น โต๊ะหรือ
ก็ตัวเล็กไม่ทนทานแข็งแรงอะไรเลย มันจะช่วยให้เธอ
ปลอดภัยได้สักเท่าไรกัน--- แต่มันก็แสดงให้เขาเห็นว่า
เธอยังคงมีความอายตามธรรมชาติของเพศหญิงอยู่เพียบ
พร้อม ไม่แกร่งกล้าก๋ากั๋นอย่างสาวล้ำสมัยในยุคศตวรรษ
ที่ยี่สิบเอ็ดจนเกินไปนัก อะไรกันแน่หนอที่เป็นสาเหตุแท้จริง
ให้เธอกล้าตัดสินใจแตกคอกับเพื่อนร่วมทางมาท่องเที่ยว
ตามลำพังดังเช่นนี้
และเขาก็เพิ่งจะนึกออกว่าเธอไม่เคยเล่ารายละเอียดส่วนตัว
ของเพื่อนที่มาด้วยกันเลยแม้แต่นิดเดียว หัวสมองของเขา
เริ่มทำงานหนักค่อยๆ ลำดับภาพเหตุการณ์และคำสนทนา
โต้ตอบระหว่างตนเองกับหล่อนตั้งแต่เริ่มคุยกันเป็นครั้งแรก
มันต้องมีอะไรที่ตกหายไประหว่างบรรทัดและมันต้องเผยเค้า
เงื่อนออกมามากกว่านี้แน่ๆ หากจะใช้เวลาเพื่อสังเกตและ
พินิจพิจารณาให้นานกว่านี้อีกสักนิด..
ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายในห้วงคิด เขาผล็อยหลับไปได้
ในตอนไหนก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน
จากคุณ :
พิรุณพฤจิก์
- [
1 ส.ค. 48 11:18:35
]