จะไปเจอเธอตามคำค่อนแคะดีมั้ย... จะกล้าสักหน่อยไม่ได้หรือ แค่บอกกับเธอตรงหน้าว่า ผมเองนะ นายวาทิต ...แม้สมองจะสั่งการให้กล้า แต่จิตใจข้างในก็ยังสั่งการตรงข้ามอยู่ดี จะทำไงดี ... จริงๆแล้วผมไม่ได้กลัวจะฝันร้าย ตามคำของเธอ แต่กลัวว่าเธอจะเคือง พาลไม่ตอบจดหมายผม และเมื่อถึงวันที่ต้องแสดงตัว ก็จะพาลไม่มองหน้าผม ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก ใช้ชื่อใครปลอมไปก็คงดี แล้วค่อยมาเปิดตัวทีหลัง ว่าผมเองนะ คงจะเท่กว่าที่เป็นอยู่แน่ๆ
จะทำไงดีๆ คำถามเดิมๆ เหมือนก่อนที่จะตัดสินใจเขียนจดหมาย และเมื่อเขียนจดหมาย คำถามเดิมๆ ก็ดันเข้ามาอีกจนได้ คิดว่าจะไปได้สวยแล้วเชียว ... จะกล้าๆ หน่อยดีมั้ย ...แต่เสียงในใจก็ร้องค้าน ยัง ยังไม่ใช่ตอนนี้
โทรศัพท์ .... เบอร์โทรศัพท์ของหอที่เธออยู่เบอร์อะไร ... ใครรู้บ้าง จนสุดท้ายทำอะไรไม่ได้
จะบุกเข้าไปหอหญิงตอนกลางคืนแล้วถามเบอร์ดีมั้ย แล้วถ้าบังเอิญเจอเธอ ผมจะทำหน้ายังไง เธอจะสงสัยมั้ย...
แต่จะทำยังไงตอนนี้จิตใจมันร้อนรน จนนอนไม่หลับ... ถ้าถามเพื่อน พวกมันก็คงจะรู้ อยู่ๆจะไปถามเบอร์หอพักหญิง
จะโกหกว่าญาติมาอยู่ใหม่ ก็ไม่เข้าท่า เดี๋ยวเดือดร้อน ต้องพาไปแนะนำให้รู้จัก....คิดจนเหนื่อย เดินพล่านไปมาใน
ห้อง ... ในที่สุดมันก็เหนื่อย... แล้วสมองที่เหนื่อยล้าก็ชนะจิตใจสุดท้ายผมก็นอนหลับ
ตื่นขึ้นมาอีกทีเพราะเสียงเคาะประตู ชวนไปกินข้าวเช้า คล้ายๆกับเป็นโชคดีครั้งแรกของการมีความรักครั้งนี้
เมื่อเจ้าเพื่อนตัวดีมันพาไปกินข้าวต้มร้านเปิดใหม่ข้างๆหอเธอพอดี และโชคดีอีกครั้งที่หน้าหอของเธอมีป้ายยื่นออกมา เป็นป้ายชื่อหอ พร้อมมีเบอร์โทรศัพท์กำกับ แต่อะไรในโลกมันจะโชคดีไปหมดได้ยังไง ...ผมมองเห็นชื่อหอ
มองเห็นคำว่า โทรศัพท์ แต่กลับมองไม่เห็นตัวเลข ไม่หน้าลืมหยิบแว่นมาเลยจริงๆ เป็นครั้งแรกที่อยากเรียกตัวเองว่า
ไอ้แว่น รู้อยู่ว่าสายตาสั้น ยังทำเก่งไม่ใส่แว่น เบื่อตัวเองจริงๆ ...สุดท้าย เช้าวันต่อมาผมก็ใส่แว่นมากินข้าวต้มหมูอย่าง
มีความสุข
ได้เบอร์มาแล้ว รอคิวจนได้ใช้โทรศัพท์แล้ว ผมก็ยังยืนอาย กดเลขผิด เลขถูก กะถ่วงเวลาทำใจ แต่คนต่อคิว
หลังก็เร่งยิกๆ อยากตะโกนถามกลับไป ไม่เคยมีความรักหรือไงนะ ไม่รู้เหรอครั้งแรกที่จะได้พูดกับคนที่ตัวเองแอบ
ชอบมันตื่นเต้น
ฮัลโหล ครับ ขอสายคุณวา ห้อง .... ด้วยครับ ช่วยเรียกให้ด้วยนะครับ ผมปล่อยไก่ตัวใหญ่ ไม่ยักรู้ว่าหอ
ของเธอจะหรูถึงขนาดมีโทรศัพท์ในห้อง ให้โอนสายเข้าไปในห้องได้ ในขณะที่หอผมยังต้องต่อคิวใช้โทรศัพท์
สาธารณะ หน้าหอ ... เป็นครั้งแรกที่มองเห็นความแตกต่าง สักพัก เสียงตอบรับก็กลับมาอีกครั้ง
สวัสดีค่ะ เสียงที่ได้ยินทำเอาผมชะงักเล็กน้อย
สวัสดีครับ ผมวาทิต ไม่ทราบว่ารบกวนคุณรึเปล่า
เอ่อ คือ วาเพิ่งทำรายงานเสร็จพอดีค่ะ ไม่รบกวนค่ะ เธอหมายความว่ายินดีคุยกับผมใช่มั้ย แต่จะพูดอะไรต่อ ถึงจะได้บินเสียงเธอบ่อยๆ ก็ไม่เคยเป็นฝ่ายพูดคุยกับเธอสักที เลยตัดสินใจเข้าเรื่องไปตรงๆ
เอ่อ ... คุณวาไม่โกรธใช่มั้ยครับ ที่ผมไม่ได้มาพบคุณวาตรงๆ คือผมยัง ยังไม่กล้า คือมันอาย ขอเวลาให้ผม
สักหน่อยเถอะ นะ นะครับ ผมพยายามทำเสียงให้เป็นปกติที่สุด เธอเงียบไปสักพัก แล้วจึงตอบกลับมา
ค่ะ ไม่โกรธก็ไม่โกรธค่ะ วาไม่โกรธคุณ
เอ่อคือ พอดีเพื่อนชวนไปข้างนอก แค่นี้ก่อนนะค่ะ
อย่าเพิ่งวางครับ เอ่อ คือ ถ้าต่อไปผมโทรมาหาคุณวา แทนการส่งจดหมายได้ใช่มั้ยครับ งั้นแค่นี้นะครับ
คิดถึงนะครับ ขอให้คุณวาฝันดี ผมพูดรัวเป็นประโยค กลัวคำตอบรับของเธอที่อาจไม่ต้องการให้ผมโทรหา ... ไม่
อยากถามตัวเองว่าจะทำไงดีอีก ..... วางสายแล้ว ผมก็ยืนถอนใจเฮือก ยืนนิ่งอยู่หน้าตูโทรศัพท์เหมือนไว้อาลัยให้ความกล้าของตัวเอง สงสัยตัวเองว่า ความกล้าที่เคยมี มันหายไปไหนหมด เพียงแค่ได้พูดคุยกับผู้หญิงคนนี้ ... ก่อนที่ผมจะยืนไปอีกนาน
จะใช้โทรศัพท์อีกมั้ย คนรอใช้เกือบร้อย... ผมหันมองแถวที่ยาวเหยียด ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ก่อนหันหน้ามายิ้มเจื่อนๆ เป็นการขอโทษ แล้วรีบเดินจากไป ก่อนจะได้กินยำตีนเป็นของขวัญ
หลังจากนั้นผมก็โทรหาเธอบ่อยขึ้น จนนับเป็นคนหนึ่งที่ใช้ตู้โทรศัพท์สาธารณะบ่อยติดอันดับของหอ ทุกวันจนเธอปรามให้กลายมาเป็นวันเว้นวัน ตอนกลางวัน ว่างๆก็นั่งคิดว่าวันนี้จะคุยโทรศัพท์คุยเรื่องอะไรกับเธอดี เธอจะได้ไม่เบื่อ ไม่รำคาญผม มันเป็นความรู้สึกพิเศษๆสุดๆ สำหรับผม โลกนี้มันช่างสวยงาม ผมว่าผมสนิทกับเธอพอตัว ผมว่าเธอรู้จักผมมากกว่าใครๆ แต่ผมไม่รู้ว่าผมรู้จักเธอมากแค่ไหน...เรื่องของผมกับเธอยังเป็นความลับ เพื่อนผมแค่รู้ว่าผมคุยกับผู้หญิงบ่อยๆ ทางโทรศัพท์ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าใครที่ผมคุย สงสัยกันจนเลิกสงสัย ซึ่งเป็นการดีสำหรับผม
จนกระทั่งผมขึ้นปี 4 เรายังคุยกันอยู่ แม้จะเว้นๆ เป็นสัปดาห์ละ สาม ครั้ง เพราะเธอมีเวลาว่างน้อยเต็มที ส่วนผมก็ยังวุ่นๆ อยู่กับการเตรียมตัวฝึกงาน และแล้วฤดูฝนก็เวียนผ่านมาอีกครั้ง
ภาพสาวน้อยที่ค่อยๆ ยื่นมือออกมารับน้ำฝนหายไป เพราะ เธอไม่เรียนเช้าอีกแล้ว ใจมันเริ่มแป้วๆ โทรศัพท์ก็คุยกันน้อยลง แถมยังไม่ได้เห็นเธออีก...เวลาคุยโทรศัพท์กัน เธอไม่เรียกร้องที่จะเจอหน้าผมอย่างครั้งแรกๆ เธอคุยสบายๆ ....แต่ใจผมยังเต้นแรงทุกครั้งที่คุยกัน ยังเขินทุกครั้งที่คุยกับเธอ
จนระยะเวลาสุดท้ายของปีสี่ ผมได้จดหมายตอบรับการสมัครงานที่บริษัทค่อนข้างไกลจากกรุงเทพ ... เวลานี้กระมังที่ผมควรพบกับเธอ ... ถ้าไม่กล้าตอนนี้ก็ไม่รู้จะไปกล้ากันตอนไหน
อยากนัดวา ออกมาทานเข้า ผมพูด
หืม ... คิดยังไงค่ะ คุณไม่อายแล้วเหรอ เธอกระเซ้ามาตามสาย
ผมอยู่ปี สี่แล้วนะวา ... ถ้าไม่เจอกันตอนนี้ก็ไม่รู้จะไปเจอวาตอนไหนแล้วครับ
แล้วถ้า วาจะอายบ้างไม่มาพบคุณ คุณจะว่าไงค่ะ ใจที่เต้นๆอยู่เหมือนจะหล่นไปที่ตาตุ่มเรียบร้อยแล้ว
โธ่วา นะ มาทานเข้ากับผมหน่อย มีเรื่องมากมายที่อยากพูดคุยกับวา นะ วานะ ผมขอนะวา เธอเงียบไปสักพัก แต่หัวใจผมเต้นดังแทบจะออกมานอกอก อยากได้ยินคำตอบรับของเธอ
ค่ะ เป็นพรุ่งนี้ ช่วงเย็นๆ ได้มั้ยค่ะ เธอใจอ่อนแล้ว ใจอ่อนแล้วผมคิด
ได้ครับ งั้นเจอกัน ห้าโมงครึ่ง ที่ซอยสามนะครับ แล้วค่อยไปอะไรทานกัน
แล้ววาจะรู้ได้ ยังไงค่ะว่าเป็นคุณ คำถามที่ทำให้ผมอมยิ้มก่อนตอบ
วาไม่ต้องเห็นผมหลอก ผมเห็นวาคนเดียวก็พอ นะ แล้วผมจะไปทักทายวาเองนะครับ เธอเงียบไปอีกแล้ว
เอาตามนั้น ก็ได้ค่ะ เราคุยกันต่อสองสามประโยค ก่อนที่เธอจะบอกว่าเธอง่วงแล้ว แล้วผมก็ควรนอนได้แล้วเหมือนกัน
พรุ่งนี้เจอกันนะครับ เห็นใจผมด้วยนะวา ผมพูดเป็นประโยคสุดท้าย ในใจอยากให้เธอได้เห็นหัวใจของผมจริงๆ ...
และแล้วก็มาถึง ผมแต่งตัวในชุดที่ว่าดูดีที่สุด สวมถุงเท้าที่ใหม่ที่สุด รองเท้าหนังก็ขัดจนแวว เสื้อผ้าที่ไม่ค่อยรีด คราวนี้กลับบรรจงรีด อยากให้เธอเห็นว่าผมดูดี ...
จากคุณ :
ละอองไอ
- [
3 ส.ค. 48 16:00:05
A:203.113.70.74 X:
]