CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    เอามาแปะขัดดอกไว้ก่อน [เรื่องสั้นที่ยังคิดชื่อเรื่องไม่ออก] : ตอนที่1

    (แง๊วววววว พันติ๊บเป็นอารายยยย ทำไมเพิ่มคคห.ไม่ได้อ่า T-T ขอตั้งกระทู้ใหม่เลยนะคะ)

    อิๆ ไม่รู้พักนี้เป็นอะไรถึงได้เอาแต่เขียนความเรียง จนตัวเองยังรู้สึกว่า เอ...นี่ตูห่างหายไปจากการปั้น
    น้ำเป็นตัวไปนานแล้วเหมือนกันนี่หว่า? (ฮา...) ก็เลยนั่งแต่งเรื่อง(คาดว่าจะ)สั้นมาขัดดอกไปพลางๆ
    ก่อนค่ะ

    เรื่องนี้ไม่ค่อยมีสาระหนักหน่วงสักเท่าไหร่ ถือว่าอ่านเอาหนุกก็แล้วกันนะคะ

    ปล. เรื่องนี้ใช้เวลาเขียนค่อนข้างเร็ว มีคำผิดยังไงวานช่วยตรวจการบ้านให้นิดนึงนะค้า (อ้าว...อู้
    ซะงั้น...)

    ปล.ของ ปล. เรื่องนี้คนเขียนยังคิดชื่อเรื่องไม่ออก ขอแปะโป้งชื่อเรื่องไว้ก่อนก็แล้วกันนะคะ หรือว่า
    ใครจะช่วยคิดชื่อเรื่องให้ก็ไม่ว่าค่ะ (ฮา...)

    =============================================================

    ณ เวลานี้เจษฎาไม่ค่อยจะสบอารมณ์สักเท่าไหร่กับการที่จะต้องมาอยู่ในลิฟต์สองต่อสอง
    กับผู้หญิง ใช่ว่าเขาจะผิดปกติประเภทชอบไม้ป่าเดียวกันหรอกนะ เพราะเขาเองก็คบหาผู้หญิงมาก็
    หลายคนแล้ว แต่ที่เขาไม่ชอบใจเอาเสียเลยก็น่าจะเป็นเพราะว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาทั่ว
    ไปน่ะสิ... ร่างบางที่โอนเอนไปมาพร้อมกับกลิ่นแอลกอฮอล์ที่โชยมาเตะจมูกนั้นไม่บอกก็รู้ว่าเธอ
    ‘เมา’

    เขานึกก่นด่าตัวเองอยู่ในใจที่ไม่น่าจะบ้าทำงานล่วงเวลาเสียจนเมื่อมองนาฬิกาอีกทีก็ปา
    เข้าไปครึ่งชั่วโมงแรกของวันใหม่แล้ว และร่างกายมันก็อ่อนล้าจนอยากจะกลับบ้านไปอาบน้ำนอนให้
    สบาย ไม่ใช่มาติดแหง็กอยู่ในลิฟต์กับผู้หญิงขี้เมาสองต่อสองแบบนี้!

    “หือ...อารายอ่ะ ลิฟต์ค้างเหรอเนี่ย?” ขอบคุณพระเจ้าที่เธอยังพอมีสติพอที่จะรับรู้โลกภาย
    นอกบ้าง...

    “ยามบอกว่าไฟดับ รออีกสักพักลิฟต์ก็จะเป็นปกติ...” เขาหันไปบอกเธอแล้วพ่นลมหายใจ
    ออกมายาวๆ อย่างน้อยก็ยังดีที่พัดลมระบายอากาศในลิฟต์ยังคงทำงานอยู่ ไม่อย่างนั้นคงจะทรมาน
    พิลึก

    แล้วจู่ๆ ผู้หญิงคนนี้ก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นและค้นอะไรกุกกักในกระเป๋าสะพายใบโตของเธอ
    สักพักเธอก็หยิบซองขนมขบเคี้ยวออกมาแกะกินหน้าตาเฉย

    “มองอะไรล่ะคุณ อยากกินเหรอ เอามั้ยล่ะ?” เธอว่าพลางยื่นถุงขนมให้กับเขาพลางบ่นงึมงำ

    “คอยดูเถอะไอ้บ้าวิทย์ ถ้าพรุ่งนี้ฉันปวดหัวเพราะเมาค้างล่ะก็ แกโดนแน่... อ้าว มองอะไร
    อีกล่ะคุณ กินสิกิน”

    มีคนเคยบอกเขาไว้ว่าถ้าคนเมาพูดอะไรอย่าขัดแต่ให้นิ่งๆ และทำตามก็จะดีขึ้นเอง ซึ่ง
    เจษฎาเองก็เห็นด้วยกับคำพูดนี่เป็นอย่างดี เขาจึงใช้มือล้วงขนมในถุงนั้นมาสองชิ้นและโยนเข้าปาก
    เคี้ยวเพื่อให้มันจบๆ ไป

    “เฮ้อ...จะติดอีกนานมั้ยน้า...” สาวขี้เมาบ่นออกมาเบาๆ แล้วพิงศีรษะกับผนังลิฟต์

    “คงไม่นานหรอก ก็มีคนติดอยู่ในนี้ตั้งสองคน เขาคงไม่อยู่เฉยๆ หรอกคุณ” น่าแปลกที่
    ผู้หญิงคนนี้กลับทำท่าวางเฉยในสถานการณ์แบบนี้ได้ นี่ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เขาเคยรู้จักแล้วล่ะ
    ก็...ไม่มีเสียหรอกที่จะนั่งขัดสมาธิเอาหัวพิงผนังลิฟต์ด้วยท่าทางสบายๆ แบบนี้ได้แน่

    เธอพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับคำพูดของเขา ก่อนจะอ้าปากหาวแบบไม่ห่วงสวย

    “ถ้าอย่างนั้นฉันขอหลับสักงีบก่อนนะ ถึงชั้น 25 เมื่อไหร่รบกวนคุณปลุกฉันด้วยก็แล้วกัน”
    พอพูดจบเธอก็หลับตากอดกระเป๋าใบโตนั้นไว้แน่นโดยไม่ได้สนใจเจษฎาที่ยืนตะลึงกับพฤติกรรมของ
    เธอเลยแม้แต่น้อย

    ...ผู้หญิงคนนี้ประหลาด...ไม่สิ ประหลาดมากเลยล่ะ!....

    **************************

    เจษฎากระสับกระส่ายได้ไม่ถึงห้านาที ลิฟต์เจ้าปัญหาก็เลิกเกเรและพาคนโดยสารขึ้นไปยัง
    ชั้นที่ต้องการแต่โดยดี และไม่รู้ว่าเธอโชคดีหรือเขาโชคร้ายกันแน่ เพราะชั้น 25 ที่เธอว่านั้นมันเป็นชั้น
    เดียวกับห้องพักของเขาด้วย

    “คุณ...เฮ้ยคุณ ตื่นสิ” เจษฎาพยายามปลุกผู้หญิงขี้เมาคนนี้ด้วยวิธีละมุนละม่อม แต่ดู
    เหมือนว่าเธอยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นแต่อย่างใดเขาก็เริ่มกุมขมับเพราะประตูลิฟต์จะปิดอยู่รอมร่อ ส่วน
    คนที่หลับก็หลับอยู่อย่างนั้นต่อไป... ชายหนุ่มกัดริมฝีปากตัวเองด้วยความหนักใจ แล้วเขาก็ตัดสินใจ
    อุ้มเธอให้ออกมานอกลิฟต์เสียก่อน และเมื่อรอดพ้นจากการค้างอยู่ในลิฟต์เป็นรอบที่สอง เขาก็เริ่ม
    ปลุกเธอให้ตื่นด้วยวิธีที่แรงขึ้น

    “เฮ้ยคุณ...ตื่นได้แล้ว กลับไปนอนห้องของคุณเสียสิ อย่ามานอนตรงนี้” เขาพูดพร้อมกับ
    เขย่าแขนของเธอให้แรงพอที่จะปลุกให้คนขี้เมาปรือตามามองเขาได้

    “อาราย...ถึงแล้วเหรอ?”

    “ก็ถึงแล้วน่ะสิคุณ เอาล่ะ ลุกได้แล้ว ผมเองก็อยากจะกลับไปนอนเสียทีเหมือนกัน” เจษฎา
    ไม่พูดเปล่า เขาฉุดแขนแม่คนขี้เมาให้ยืนขึ้นด้วย แต่นั่นก็ดูเหมือนว่าจะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เพราะคนที่
    เมาดูเหมือนว่าจะทรงตัวได้ไม่ดีนัก และทำท่าจะเซล้มลงไปอีกรอบถ้าเขาไม่เข้าไปดึงแขนเธอไว้เสีย
    ก่อน

    “เป็นสาวเป็นนางแท้ๆ มาเมาหยำเปอย่างนี้ได้ยังไงกัน”

    สาวขี้เมาหันขวับและดันตัวออกห่างทันทีหลังจากได้ยินเขาพูด และถึงแม้ว่าจะยืนได้ไม่มั่น
    คงนักแต่ดวงตาของเธอก็ตวัดมองเขาอย่างหาเรื่อง

    “แล้วคุณเป็นพ่อฉันหรือไงถึงได้มาบ่นแบบนี้ สมัยนี้มันหมดยุคจำกัดสิทธิสตรีกันแล้วย่ะ
    อายุก็ยังไม่มากแท้ๆ แต่หัวโบราณชะมัดยาด” เธอรัวด่าเขาเป็นไฟด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ ก่อนที่จะยืดตัว
    ให้ตรงที่สุดเท่าที่จะทำได้พร้อมกับเชิดหน้าขึ้น

    “แต่ถึงยังไงก็ขอบคุณที่ช่วยปลุกฉัน ลาก่อน”

    แล้วเธอก็สะบัดหน้าพรืดเดินจากเขาไปแบบไม่ตรงนัก(เมาแท้ๆ ยังทำท่าอวดดีอีก เฮ้อ...)
    ปล่อยให้เจษฎายืนตะลึงมองตามหลังเธอไปด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกว่าจะหัวเราะหรือจะร้องไห้ดี

    ‘ผู้ชายหัวโบราณ’ ...นี่เขาเป็นอย่างที่เธอพูดจริงๆ น่ะหรือ? แค่เพียงไม่เห็นด้วยกับการที่
    ผู้หญิงเมาแค่นี้เนี่ยนะ? เขาครุ่นคิดกับตัวเองงงๆ (คนเขียนก็งงด้วย) โดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเขายังเก็บ
    เอาเรื่องนี้ไปคิดต่อแม้กระทั่งในฝัน!

    ****************************

    “ผมรักคุณ...แต่งงานกับผมนะครับ...” ชายหนุ่มรูปหล่อปานเทพบุตรกล่าวด้วยน้ำเสียง
    หวานซึ้งก่อนจะบรรจงสวมแหวนโคตรเพชรเม็ดเท่าลูกอัลมอนด์ลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของวิชชุดา
    ประกายของเพชรที่ตกกระทบกับแสงไฟนั้นเจิดจ้าเสียจนคนโดนสวมแทบอยากจะเอาหน้ากากกรอง
    แสงแบบเวลาเขาอ๊อกเหล็กมาสวมเพื่อป้องกันไม่ให้ตาบอดไปเสียก่อน

    หญิงสาวบิดตัวไปมาด้วยความเขินอายแม้ในใจลึกๆ อยากจะวิ่งรอบสนามฟุตบอลพร้อม
    กับทำท่านิ้วชี้ขึ้นฟ้ากระดิกไปมาเหมือนกับตอนที่โรนัลโดทำแฮททริกได้ก็ตาม

    “ค่ะ...ยินดีเป็นอย่างยิ่ง” แล้วเธอก็เงยหน้าพร้อมกับเผยอริมฝีปากเมื่อพ่อเทพบุตรสุดหล่อ
    ของเธอโน้มหน้าเข้ามา แต่ก่อนที่อะไรจะเกิดขึ้น ก็มีเสียงอินโทรเพลงที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดีดังแว่วๆ

    ‘บัวลอย...เจ้าเพื่อนยาก ทำไมจากข้างเร็วเกินไป บัวลอยเจ้าอยู่ที่ไหน เคยรู้บ้างไหมว่า
    ใครชื่อบัวลอย...บัวลอยยย’


    ....แหม อะไรจะเป็นใจขนาดนี้ ขนาดน้าแอ๊ด คาราบาว ยังมาร้องเพลงฉลองให้กับเธอเทียว
    หรือ? หญิงสาวกระหยิ่มในใจ

    แต่พ่อสุดหล่อของเธอดูเหมือนจะไม่แฮปปี้ด้วย เพราะเขาขยับออกห่างพร้อมกับขมวดคิ้ว
    มุ่น

    “คุณชอบฟังเพลงของคาราบาวเหรอ โอ้ไม่...ผมรับไม่ได้...” เขาว่าพลางรูดแหวนโคตรเพชร
    ออกจากนิ้วนางของเธอ

    “เราคงเข้ากันไม่ได้...ลาก่อน” แล้วร่างของชายหนุ่มก็จางหายไป

    “ม่ายน้า.....”(เอาแหวนมาก่อนนนน) วิชชุดากระโจนเข้าหาร่างที่กำลังจะจางหายไป แต่
    แล้ว พื้นข้างหน้านั้นกลับกลายเป็นเหวลึกและเธอกำลังจะตกลงไป

    โครม!!!!

    วิชชุดาลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่บนพื้นห้อง โดยที่ขาข้างหนึ่งยังคงพาดอยู่บนเตียง
    และสภาพผ้าห่มที่พันอีรุงตุงนังบนร่างของเธอนั้นก็ทำให้รู้ได้ว่าเหตุการณ์เมื่อกี้เป็นแค่ฝันไป เว้นเสีย
    แต่เพลงบัวลอยที่ยังคงดังกรอกหูเธออยู่นั่นแหละที่เป็นของจริง วิชชุดาย่นจมูกกับความฝันบ้าๆ ที่
    นานๆ จะหลอกหลอนเธอทีหนึ่ง ก่อนที่จะตะกายขึ้นไปบนเตียงอย่างเดิมเพื่อรับโทรศัพท์มือถือที่ยัง
    คงส่งเสียงเพลงบัวลอยของคาราบาวออกมาไม่ได้ขาด

    “ฮาโหล...” น้ำเสียงของเธอที่ดังมาตามสายบอกให้คนปลายทางรับรู้ว่าคนที่พูดยังไม่ตื่นดี
    นัก

    “เฮ้ย! จะเก้าโมงอยู่แล้วยังไม่ตื่นอีกเหรอวะไอ้ดา”

    เพียงเท่านั้นแหละ คนที่ทำท่ายังไม่ตื่นกระเด้งตัวออกจากเตียงทันที แล้วก็กุมศีรษะตัวเอง
    พร้อมกับร้องโอยเมื่อรู้สึกเหมือนกับใครเอาอะไรหนักๆ มาถ่วงศีรษะและคีมอันใหญ่ๆ หนีบขมับเธอ
    เอาไว้

    “โอย...”

    “แน่ะ...เสียงอย่างนี้แสดงว่าแฮ้งค์เหล้าล่ะสิแกอ่ะ” คนปลายสายรีบเย้ยซ้ำทันทีแบบไม่
    ต้องบอก

    “ไม่ต้องปากมากเลยไอ้วิทย์”

    “เออ...อย่าเพิ่งด่า วันนี้มีประชุมบรีฟงานของเดือนนี้นะ แกลืมไปแล้วหรือยัง”

    “ไม่ลืมหรอกน่า เดี๋ยวขอเวลาครึ่งชั่วโมงแล้วฉันจะรีบไป”

    “เออ...ยังไงก็รีบมาก็แล้วกัน”

    พอสิ้นสุดการสนทนา วิชชุดาก็โยนโทรศัพท์มือถือเครื่องจิ๋วนั่นลงบนเตียงอย่างเดิม ก่อนที่
    ตัวเองจะเผ่นแผล็วไปเข้าห้องน้ำและจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย สักพักก็วิ่งออกมาเปิดตู้เสื้อผ้า
    และค้นเสื้อกางเกงมากองไว้บนเตียง ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีเธอก็คว้ากระเป๋าและเผ่นออกมาไปอย่าง
    รวดเร็วโดยไม่ลืมที่จะล็อคประตูห้องให้เรียบร้อยก่อนไปเช่นกัน

    *********************************

    ด้วยความโชคดีที่สถานที่ทำงานของวิชชุดาอยู่ไม่ไกลจากอพาร์ทเม้นท์ที่เธอพักมากนัก
    ประกอบกับระบบขนส่งมวลชนอันสุดแสนจะทันสมัยของเมืองกรุงอย่างรถไฟฟ้าใต้ดินก็ทำให้เธอถึง
    ที่หมายในเวลาห้านาที

    วรวิทย์มองเพื่อนสาวที่วันนี้มาในชุดเสื้อกล้ามเข้ารูปสีดำสไตล์สปอร์ตเกิร์ลที่เข้ากันได้ดีกับ
    ผ้าคาดศีรษะอันใหญ่เบ้งอย่างที่พวกเด็กแร็พใส่กัน แถมขายาวๆ นั้นก็ยิ่งดูยาวกว่าเดิมด้วยกางเกง
    ยีนส์สีขาว โดยรวมแล้วยิ่งทำให้ร่างผอมๆ ของคู่หูเขาดูผอมยิ่งกว่าเดิมลงไปถนัดตา

    แต่ถึงจะมองดูคล้ายเด็กฮิพฮอพสักเท่าไหร่ก็ตาม แต่ด้วยท่าวิ่งกระหืดกระหอบราวกับนัก
    วิ่งมาราธอนแถมแบกกระเป๋าใบโตมาอีก มองผาดๆ แล้วพาลคิดไปว่าเป็นเด็กแบกข้าวสารมากกว่า
    เด็กฮิพฮอพซะงั้น

    แล้วความคิดของวรวิทย์ก็หยุดแค่นั้นเมื่อ...

    “ไอ้วิทย์ แกตาย!!”

    วรวิทย์เอนตัวหลบแขนผอมๆ ที่กางออกมาข้างหนึ่งหมายจะฟาดลำคอด้วยท่า ‘ครอสไลน์’
    แบบที่นักมวยปล้ำชอบทำกัน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่พ้นเพราะโดนกระเป๋าของวิชชุดากระแทกตรงพุง
    เสียจนต้องไปนอนจุกอยู่กับพื้น

    “อะไรของแกวะไอ้ดา ใจคอจะฆ่าคู่หูแต่เช้าเชียวหรือไง” คนที่ลงไปนอนดิ้นปั๊ดๆ บ่นกับคน
    ที่ยืนจังก้าชูแขนขึ้นท้องฟ้าประหนึ่ง อันเดอร์เทคเกอร์ จับกด เดอะร็อค จนนับสามได้ยังไงยังงั้น

    “ก็แล้ววันนี้ที่ฉันต้องเมาค้าง ต้องตื่นสาย มันเป็นเพราะใครกันล่ะยะ!”

    (มีต่อค่ะ)

    จากคุณ : ตัว(Z) - [ 3 ส.ค. 48 17:44:14 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป