เรื่องสั้น
มิตรภาพที่เป็นจริง
ผมเร่เข้าไปที่ร้านขายของชำ ในตรอกข้างโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า บอกเบา ๆ ว่า ขอเบียร์กระป๋องหนึ่ง เจ้าของร้านสาวมาก แหงะหน้าขึ้นดูนาฬิกาข้างฝา แล้วบอกเบา ๆ เท่ากันว่า ยังไม่ถึงเวลาค่ะคุณลุง
ผมมองตามสายตาของเธอจึงพบว่า นาฬิกาบอกว่าเพิ่งสี่โมงสี่สิบ ผมเอ่ยขอโทษเบา ๆ เช่นเดิม แล้วก็เดินย้อนกลับออกมาทางปากตรอก
แวะเข้าไปในร้านก๋วยเตี๋ยวร้านหนึ่ง สั่งเส้นหมี่เปื่อยหนึ่งชาม น้ำแข็งเปล่าหนึ่งแก้ว แล้วก็นั่งรออย่างเงียบสงบ
ผมทำมาหากินด้วยการเขียนหนังสือมาตลอดชีวิต ทั้งที่เป็นงานอาชีพในหน้าที่เสมียน และที่เป็นงานอดิเรกด้วยการเขียนเรื่องราวต่าง ๆ ส่งให้หนังสือพิมพ์
ก็ได้อาศัยเครื่องพิมพ์ดีดกระเป๋าหิ้ว ซึ่งใช้อย่างตรากตรำทั้งกลางวันและกลางคืนมากว่ายี่สิบปี
จนกระทั่งถึงเวลาที่เครื่องคอมพิวเตอร์ได้เข้ามาแพร่หลายในเมืองไทย หน่วยงานที่ผมสังกัดอยู่จึงดำริที่จะจัดหาเครื่องมือวิเศษที่สมัยนั้นเรียกว่า เครื่องจักรคำนวณ จากบริษัทหนึ่งมาใช้ในราชการ
เมื่อมีการประมูลตามระเบียบแล้ว ก่อนที่บริษัทนั้นจะส่งเครื่องมาให้ ทางหน่วยนี้ก็ต้องส่งเจ้าหน้าที่ไปศึกษา และฝึกฝนการใช้งานที่บริษัทเสียก่อน ซึ่งมีอยู่ในสัญญาจัดซื้อด้วย โดยให้กองต่าง ๆ ส่งชื่อเจ้าหน้าที่หน่วยละหนึ่งคนไปศึกษา
กองของผมทีแรกก็จะส่งชื่อเจ้าหน้าที่หญิงที่จบปริญญาตรีไป แต่แล้วเกิดเปลี่ยนใจ ให้ผมไปแทนโดยกระทันหัน ไม่มีเวลาให้ผมตั้งสติเลย แล้วความรู้ขนาดได้ ม.๖ ตก ม.๔ อย่างผมจะเรียนกับเขาได้หรือ เพราะสมัยนั้นยังไม่มีโปรแกรมภาษาไทยเลย ความรู้ภาษาอังกฤษของผมก็กลับไปอยู่กับครูหมดแล้ว
เคราะห์ยังดีได้เพื่อนที่เป็นช่างซ่อมเครื่องอีเลคทรอนิคส์ ช่วยแปลคำสอนของผู้สอนเป็นภาษาไทยใส่สมุดไว้ แล้วเอามาติวให้ผมทีหลังในแต่ละวัน
ผมจึงรอดตัวกลับมาถ่ายทอดความรู้ ให้เพื่อนที่เป็นเสมียนด้วยกัน สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ได้รับมา แทนเครื่องพิมพ์ดีดได้
ในเวลาต่อมาไม่นาน ลูกชายก็ขอซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีโปรแกรมภาษาไทย ไว้เรียนในมหาวิทยาลัย ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นสถาบันเทคโนโลยีอยู่ เครื่องชุดนี้ราคาตั้งห้าหมื่น ผมก็กัดฟันซื้อให้
พอเขาเรียนจบ เขาก็ยกให้ผมและแนะนำวิธีใช้ให้รู้กว้างขวางขึ้น ตั้งแต่นั้นผมก็เก็บเครื่องพิมพ์ดีดคู่ชีพไว้ในห้องเก็บของเก่า
และใช้เครื่องคอมพิวเตอร์มือสองนั้นทำมาหากิน ด้วยเรื่องราวร้อยแปดแทน ต่อไป
แต่เจ้าคอมพิวเตอร์นี้มันเปลี่ยนรุ่นอย่างรวดเร็วราวกับรถยนต์ สองสามปีก็มีรุ่นใหม่มาแทน แต่มีข้อดีก็คือราคาถูกลง ชุดที่สองของผมราคาประมาณสามหมื่น และชุดที่ใช้อยู่ในปัจจุบันราคาเพียงหมื่นห้าเท่านั้น
เล่นเอาเครื่องพิมพ์ดีดต้องเลิกขายในท้องตลาด และเอาเครื่องเก่าไปเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ทีเดียว
ผมเขียนหนังสือด้วยคอม ฯ อย่างเพลิดเพลินมาหลายปี จนเกิดมีระบบอินเตอร์เนตเข้ามาแพร่หลายในประเทศไทย ผมก็ไม่เคยสนใจเพราะไม่มีความรู้
แต่เจ้าลูกชายที่เรียนจบแล้วได้ทำงานในบริษัทน้ำตาลต่างจังหวัด ก็มาชวนให้เล่นอินเตอร์เนต โดยอ้างว่าในนั้นมันมีความรู้มากมายหลายสาขา ที่จะนำมาเป็นข้อมูลได้
แทนที่จะต้องเดินไปหาในหอสมุดแห่งชาติ ที่ผมไปเป็นประจำ
ทีแรกผมก็นึกว่ามันมีแต่เกมส์ที่เด็ก ๆ หลงใหลใฝ่ฝัน และเรื่องเจ๊าะแจ๊ะของวัยรุ่นเท่านั้น จึงปฏิเสธไป
แต่เจ้าลูกชายก็จัดการติดตั้งเครื่องเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ และออกค่าบริการรายเดือนให้ด้วย
เขาบอกว่าลองดูเถอะเดี๋ยวจะติดใจ
และตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ผมก็ใช้เวลาว่าง ขลุกอยู่กับการเข้าไปท่องเที่ยวในอินเตอร์เนต แม้ว่าจะยังมีความรู้ไม่ถึงหนึ่งในสิบที่เขามีให้เล่น
และที่ผมติดใจที่สุดก็คือ ถนนนักเขียน เพราะผมได้มีโอกาสเอาเรื่องที่ผมเขียนไว้มากมาย ไปลงให้ผู้สนใจได้อ่านและวิพากษ์ วิจารณ์ แนะนำ หรือพูดคุยกันได้
ซึ่งในโลกของการเขียนที่ผมผ่านมา ไม่เคยมีเลย เขียนเรื่องไปลงพิมพ์ในหน้าวารสารแล้ว ก็เงียบไป ใครจะอ่านหรือไม่อ่าน จะชอบหรือไม่ชอบก็ไม่ว่าอะไร ได้ค่าเรื่องมากน้อยมาแล้ว ก็แล้วกันไปไม่มีอะไรผูกพัน
เรื่องที่ผมเขียนมาเป็นเวลานานนั้น มีอยู่หลายประเภท
เช่นเรื่องสั้นจากประสบการณ์จริง
เรื่องย้อนอดีตที่หาข้อมูลมาจากหอสมุดแห่งชาติ
และบันทึกของคนเดินเท้า ซึ่งจะเป็นเรื่องอะไรก็ได้
กับเรื่องพงศาวดารจีน และเรื่องประเภทขำขันหรือขบขัน
ผมก็ค่อย ๆ เอามาทยอยลงในถนนนักเขียนของอินเตอร์เนต อย่างสม่ำเสมอเป็นเวลากว่าครึ่งปีแล้ว
ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น ผมก็ได้พบว่ามีผู้อ่านและผู้เขียนคนอื่น ๆ สนใจเรื่องของผมพอสมควร ไม่มากมายนัก
เพราะส่วนใหญ่จะชอบเรื่องที่เกี่ยวกับความรัก ความเหงา ความเศร้า และความเพ้อฝันเสียมากกว่าเรื่องของผม ที่ไม่มีแนวอย่างที่ว่าเลย
แต่ผู้ที่สนใจก็จะพูดคุยกันจนรู้สึกสนิทสนม เหมือนเป็นเพื่อนกันมาหลายปี
โดยที่ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าเขาหรือเธอเหล่านั้น เป็นใคร
มีวัยและวุฒิระดับไหน มีถิ่นฐานที่อยู่ใกล้ในกรุงเทพ
หรือไกลออกไปถึงต่างจังหวัด หรือต่างประเทศ
ท่านเหล่านั้นจะมีความจริงใจต่อคำพูดที่ส่งมาเป็นตัวอักษรนั้นแค่ไหน เพราะมีแต่นามปากกาที่ตั้งกันต่าง ๆ นานา และบางชื่อก็ไม่รู้ว่าเป็นหญิงหรือชายก็มี
แต่ผมก็ไม่ได้มีความวิตกในเรื่องนี้ เพราะผมได้ตั้งความมุ่งหมายไว้แต่แรกแล้วว่า
ผมจะเป็นมิตรกับทุกคนในถนน ฯ นี้ จะอ่านเรื่องที่สนใจคือเรื่องสั้น ความเรียง และบทกวี ด้วยการพยายามทำความเข้าใจ และเห็นใจผู้เขียนอย่างบริสุทธิ์ใจและมีเมตตา
ถ้าไม่ชอบไม่ถูกใจก็ผ่านไปเสีย ไม่ตำหนิติเตียน
ถ้าถูกใจหรือชอบเรื่องไหน ก็รีบแสดงความนิยมให้ปรากฏ แต่ถ้ามีเรื่องใดที่พอจะให้คำแนะนำได้
ก็จะแนะนำอย่างสุภาพ และเป็นมิตร
ผมจึงได้รับปฏิกิริยาตอบกลับในทำนองเดียวกันตลอดมา
และนั่นก็คือสาเหตุที่ผมต้องมาเดินท่อม ๆ อยู่แถว ตรอกวัดมะกอกข้างโรงพยาบาลแห่งนี้
เพราะในระหว่างที่ผม เขียนเรื่องลงในถนนนักเขียนนั้น ก็มีท่านผู้อ่านที่ติดตามอยู่เป็นประจำคนหนึ่ง ที่มีความคิดเห็นค่อนข้างจะตรงกันมาก จึงรู้สึกสนิทสนมเหมือนเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานาน ทั้ง ๆ ที่มิตรภาพนั้น ถูกส่งผ่านมาทางอากาศก่อนที่จะเข้าสายโทรศัพท์มาถึงผม โดยไม่ได้เคยเห็นหน้า หรือได้ยินเสียงกันมาก่อนเลย
คนนี้เป็นนักเขียนเรื่องลึกลับซ่อนเงื่อน หรือเรื่องสยดสยองที่ไม่มีใครเทียบ
กับอีกคนหนึ่งซึ่งเขียนกลอนอย่างที่เรียกว่ากลอนสดได้น่าอ่านมาก มีสำนวนที่แปลกและแหวกแนวกว่าใคร ทำให้ผมนับถืออยู่ในใจ
เมื่อผมลองตั้งกระทู้กลอน ท่านผู้นี้ก็เข้ามาร่วมวงเฮฮาด้วยหลายครั้ง
ทีนี้ทั้งสองคนที่ว่านี้เกิดชอบพอกัน ถึงขั้นที่จะชวนกันมาชนแก้วในกรุงเทพ
โดยนักเขียนเรื่องสยองอยู่ชานเมืองทางเหนือสุด
ส่วนนักกลอนอยู่ต่างจังหวัด
และเผอิญผมเสนอหน้าเข้าไปคุยด้วย เลยถูกชวนเข้าร่วมวงอีกคนหนึ่ง
และอุปโลกน์ให้ผมเป็นคนหาสถานที่
ผมไม่อยากปฏิเสธจึงได้เลือกเอาร้านย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพราะใกล้บ้านผมที่สุด และหาไม่ยาก
เพราะมีชื่อเสียงมาตั้งแต่ผมยังหนุ่ม และกินกันมาจนบริกรปลดเกษียณไปหลายคนแล้ว
ประกอบกับมีที่จอดรถสะดวกมาก ซึ่งทั้งสองก็ไม่ขัดข้อง
จนใกล้จะถึงวันนัดผมจึงได้ทราบว่า นอกจากสามคนนี้แล้ว ยังจะมีเพื่อนในถนนนักเขียนมาร่วมวงเพิ่มอีกสามคน เป็นชายหนึ่ง และหญิงอีกสอง ทั้งสามคนนี้เป็นนักกวีทั้งสิ้น
โดยเฉพาะคนหนึ่งเป็นเจ้าของอาศรมโคลงทีเดียว และเคยได้สนทนาทางอากาศกับผมมาแล้วเช่นกัน
ผมจึงตื่นเต้นมากที่จะได้พบเพื่อนเหล่านี้ ด้วยตัวจริงเสียงจริงเสียที
ความที่ผมเป็นเจ้าของท้องที่ จึงรีบออกจากบ้านตั้งแต่สี่โมงเย็น แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าปกติผมจะกินอาหารเย็นตั้งแต่ห้าโมง แล้วนี่นัดกันไว้หกโมงเย็น อย่างช้าที่สุดสองทุ่ม แล้วผมมิหิวแย่หรือ
จึงกะจะปูพื้นไว้ก่อนด้วยเบียร์กระป๋อง กับก๋วยเตี๋ยวสักชาม แต่ก็ต้องผิดหวัง
ผมจึงต้องละเลียดกับก๋วยเตี๋ยวเส้นหมี่ชามนั้นอย่างฝืด ๆ ทั้ง ๆ ที่เป็นหมี่น้ำ
เมื่อดื่มน้ำแข็งเปล่าตบท้ายแล้ว ก็เดินอ้อยอิ่งขึ้นสะพานลอยที่บริษัทรถไฟฟ้า BTS สร้างทอดยาวไปเกือบจะรอบอนุสาวรีย์
เพราะยังเหลือเวลาอีกตั้งชั่วโมง กว่าจะถึงเวลานัด
ผมเดินดูผู้คนมากมายที่สวนกันไปมาทั้งบนสะพานลอย และบนถนน
รวมทั้งรถโดยสารและรถส่วนตัวที่วิ่งวนอยู่รอบอนุสาวรีย์นับร้อย ๆ คัน ด้วยความเพลิดเพลิน
แล้วก็ลงมานั่งในร้านเมื่อเวลาห้าโมงยี่สิบนาที
ผมสั่งเบียร์ไทยชื่อแรกในประเทศ พร้อมด้วยน้ำแข็งแห้งและโซดา ซึ่งบริกรก็ไม่ได้แสดงความแปลกใจแต่อย่างใด เพราะผมกินเบียร์เติมโซดามานับสิบปีแล้ว
จากนั้นก็สั่งอาหารประเภทกินเล่นไว้รอท่าเพื่อน แล้วก็จิบเบียร์บาง ๆ พร้อมกับกางหนังสือรวมเล่มของผม ที่พิมพ์นามปากกาของตนเองตัวโตไว้หน้าปก
เผื่อผู้ที่เข้ามาจะได้เชื่อว่าตาแก่คนที่นั่งอยู่นี้ เป็นตัวตนของผมจริง ๆ แล้วก็คอยเวลานั้นด้วยความตื่นเต้น
ผมจิบเบียร์เติมโซดาหมดไปเป็นแก้วที่สาม จึงเงยหน้าขึ้นถามบริการว่ากี่โมงแล้ว
เขาเหลือบดูนาฬิกาแขวนข้างฝา แล้วรายงานว่า หกโมงสิบนาที
ทันใดนั้นก็มีมนุษย์ผู้ชายรูปร่างล่ำสัน แต่งกายด้วยเสื้อกางเกงสีมืด อย่างไม่ค่อยพิถีพิถัน สะพายเฉียงกระเป๋าใหญ่เท่าย่าม ผลักประตูกระจกหนาเข้ามาพร้อมกับเหลียวซ้ายแลขวา
เมื่อดูจากลักษณะภายนอกแล้ว คล้ายกับจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ หรือศาสตราจารย์แขนงไหนสักอย่าง
ระหว่างที่เขาคนนั้นเดินใกล้เข้ามา ประสาทที่หกของผมบอกว่าต้องใช่คนที่เรานัดแน่
ความยินดีแล่นเข้าสู่หัวใจอย่างรวดเร็วจนตัวชา ผมพับหนังสือถอดแว่นสายตาออก และยืนขึ้นต้อนรับ
แต่ก่อนที่ผมจะเอ่ยปากแนะนำตัว
เขาก็ถามผมก่อนว่า
คุณเจียวต้ายหรือครับ
นี่ไงเพื่อนที่ผมรอมาเกือบชั่วโมง เพื่อนที่คุยกันมานานโดยไม่ได้เห็นหน้าตากัน
เพื่อนที่เป็นตัวเป็นตนจริง เสียงจริงที่ผมอยากจะพบหน้ามาหลายวัน
เขามายืนอยู่ตรงหน้าผมแล้ว...........และผมก็ไม่ผิดหวังครับ.
>>>>>>>>><<<<<<<<
จากคุณ :
เจียวต้าย
- [
7 ส.ค. 48 18:06:59
]