พักลิ้น
จากสนามบิน จับรถสองแถวสายเลียบหาด นั่งไปเรื่อย ๆ นั่งไปเรื่อย ๆ และเรื่อย ๆ จนผมชักกังวล เพราะนี่ก็เป็นเวลาบ่ายคล้อยมากแล้ว กว่าจะเสร็จธุระที่นั่นรถสองแถวเที่ยวคันสุดท้ายก็คงหมดพอดี
ระหว่างทางที่รถคันดังกล่าววิ่งเลียบหาด คนที่นั่งมาด้วยค่อย ๆ ทยอยลงไปทีละคนสองคน นาน ๆ ทีที่ขึ้นมานั่งแทน แต่ในที่สุดก็เหลือผมแค่คนเดียว
"นี่ คนขับ เมื่อไหร่จึงจะถึงร้านอาหารที่ว่าน่ะ" "เกือบถึงแล้วพี่ ข้างหน้านี้เอง ว่าแต่พี่เป็นอะไรกับเจ้าบ้านเหรอ ร้านนี้นาน ๆ จึงจะเห็นคนมาที" "ไม่เป็นอะไรกันหรอก แค่มีคนแนะนำมา"
ไม่ทันขาดคำรถสองแถวก็จอดลงตรงหน้าบ้านหลังหนึ่ง "พี่โชคดีมากรู้ไหม ที่บ้านผมอยู่แถวนี้ นี่ถ้าเป็นเจ้าของรถคันอื่นล่ะก็มันคงไล่พี่ลงไปแล้ว" ว่าแล้วก็ขับรถออกไป
ผมคว้ามือถือจากข้างเอวขึ้นมาดูที่หน้าจอ แม้จะอยู่ห่างไกลชุมชนไปหน่อย แต่ด้วยเครือข่ายที่ถี่ยิบของโทรศัพท์มือถือยุคปัจจุบันโทรศัพท์ของเขาจึงยัง Show ว่าจับสัญญาณเครือข่ายได้อยู่ 1 ขีด ผมให้ค่าความเจริญของหมู่บ้านนี้เท่ากับ 1 ขีดสัญญาณโทรศัพท์
"ฮัลโหล...นี่ผมเอง" "อาจารย์อยู่ที่ไหนน่ะครับ" "สุดหาดกระโดง" "หาดกระโดง! ไปทำอะไรถึงที่นั่นน่ะครับ พรุ่งนี้ท่านมีคิวที่จะต้องไปชิมอาหารที่ภัตราคารฮ่องเต้นะครับ!" "เออ ก็จะโทรมาบอกเนี่ยว่าไอ้ร้านนี้มันอยู่ไกลกว่าที่คิด พร่งนี้ผมจะไปถึงสายหน่อยนะ" "โธ่... อาจารย์ผมบอกว่าจะให้คนขับรถไปส่งก็ไม่เชื่อ" ใครจะให้มันขับรถมาส่งเล่า เดี๋ยวมันก็รู้กันหมดพอดีว่าคนอย่างผมมาทำอะไรที่ดูไม่น่าจะเข้าท่าเข้าทางพรรค์นี้ "เอาน่า ถ้านี่ไม่ใช่คำขอของแฟนเก่าที่เพิ่งตายไป ผมก็คงไม่มาหรอก... ฮัลโหล ฮัลโหล" อ้าว แบตโทรศัพท์ดันมาหมดเสียอีก
เอาล่ะรีบทำธุระกับไอ้ร้านอาหารซอมซ่อนี่ให้เสร็จซะที หึๆ ไม่อยากเชื่อว่านักชิมชื่อดังผู้ท่องเที่ยวไปทั่วโลกเช่นผมจะระเห็จมาถึงที่นี่ได้ อย่าหาว่าคุยเลยนะครับ ถ้านักข่าวมาเห็นผมเข้ามากินที่ร้านนี้ พรุ่งนี้รับรองว่าร้านซอมซ่อแห่งนี้จะต้องดังระเบิดแน่นอน ไม่ว่ารสชาติมันจะห่วยแตกแค่ไหนก็ตาม
"สวัสดีครับ" "ฮื่อ สวัสดี" "รับอะไรดีครับ" "ไม่รู้สิ อะไรก็ได้ที่คุณคิดว่าทำได้อร่อยที่สุด" "ที่นี่อร่อยทุกอย่างครับ" นั่นสินะ หลัง ๆ เจ้าของร้านที่เขาเข้าไปชิมก็พยายามบอกกับเขาอย่างนี้เหมือนกัน ...เฮ้อ ก็อย่างว่าล่ะนะ ทุกอย่างเดี๋ยวนี้มันก็ต้องมีมาตรฐานรับรองหมด แม้แต่เรื่องอาหารการกิน
ผมรับเมนูจาก Chef เจ้าของร้าน แล้วก็ขมวดคิ้ว "ตั้งชื่อเมนูแปลกดีนะ ซัลซ่าสลัดรสกล้าหาญ ซุปทรยศ... ขาหมูสบายๆ ...T-bone steak เพื่อนตาย" "ลูกค้าส่วนใหญ่ก็ว่าอย่างนั้น" "นี่.. จะบอกให้เอาบุญนะ ในฐานะนักชิม ผมว่าการตั้งชื่ออาหารแปลกเกินไป แทนที่จะดี อาจจะทำให้ลูกค้าหนีหายหมดก็ได้นะ" "แต่ก่อนลูกค้าเยอะกว่านี้ครับ" "อ้าว แล้วทำไมเดี๋ยวนี้..." "เขาลือกันว่าร้านผมใส่กัญชา" chef เจ้าของร้านตอบเนือย ๆ เหมือนว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย
ผมไล่ดูเมนูชื่อแปลก ๆ ของร้านนี้ไปเรื่อย ๆ "ไม่รู้จะเลือกอะไรดี คุณแนะนำมาดูซิ" chef ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วเอ่ยปากถามว่า "เมื่อครู่คุณบอกว่าเป็นนักชิม" "ครับ" "มีผู้หญิงคนหนึ่งแนะนำให้คุณมาที่ร้านนี้ใช่ไหมครับ" "ใช่" "ถ้าอย่างนั้นผมขอแนะนำอาหารชุดพิเศษชุดนี้ที่เธอสั่งให้คุณก็แล้วกัน"
Chef ขอตัวกลับไปหลังร้าน ส่วนผมก็นั่งปล่อยอารมณ์สบาย ๆ รอเขาประกอบอาหาร "เธอ เป็นอย่างไรบ้างครับ" "หือ?" "เอ่อ ผู้หญิงคนนั้นน่ะครับ" "อ๋อ ตายไปแล้วล่ะ" ".... เสียใจด้วยครับ" "ไม่เป็นไร แฟนเก่าน่ะ ฆ่าตัวตาย ... ช่างมันเถอะ เราไม่มีเยื่อใยกันอีกแล้วล่ะ" ผมตะโกนคุยกับ Chef ด้วยอารมณ์ปกติ การตายของเธอไม่ได้สร้างความกระทบกระเทือนใจอะไรให้ผมมากนัก เอ้อ ยกเว้นความรู้สึกผิดนิดหน่อยที่พาผมมาที่ร้านนี้ตามคำขอร้องแปลก ๆ ในจดหมายลาตายของเธอ
เมื่อ Soup มาถึงตรงหน้า ผมบรรจงตักขึ้นมาชิม "ซุปหัวหอมธรรมดา" ผมคิด แต่... ไม่ธรรมดาเสิยแล้ว ในซุปหัวหอมที่ดูไม่มีอะไรนั้น กลับทำให้ผมรู้สึก... ใจเต้น ... เต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ มีความสุขจาง ๆ เจือปน บวกกับ... ความรู้สึกไม่มั่นใจ สงสัย แต่ก็อยากรู้ "นี่ซุปอะไรกัน!" "ผมเรียกมันว่า แรกพบ"
นี่เป็นครั้งแรกในรอบสิบปี ที่ผมดื่มซุปถ้วยหนึ่งจนหมด ผิดวิสัยนักชิมที่มักจะชิมแต่พอรู้รส ขณะที่ผมฉุกคิดสงสัยขึ้นมาทันทีว่า ร้านนี้มีอะไรหนอ ที่แฟนเก่าของผมสั่งเสียทางจดหมายเจาะจงให้ผมมากิน
Main cause ตั้งแล้ว ผมเพ่งดูอาหารในจาน คาดว่าจะเป็นเนื้อเป็ด ผมไม่รอช้า รีบตักอาหารขึ้นมาละเลียดกิน คราวนี้รสชาติกลมกล่อมกระจายซ่านไปทั้งลำคอ ลามเลียลงไปจนถึงท้อง ไม่รู้ว่าความรู้สึกเป็นสุขเกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ความรู้สึกดังกล่าวพลันขาดสะบั้นลงอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ทิ้งเหลือไว้เพียงความโหยหาของลิ้นที่จะชิมคำต่อไป
อาหารจานหลักหมดลง "เมนูนี้คุณตั้งชื่อว่าอะไร?" "วันวาน" ...วันวาน คงไม่มีชื่อไหนที่เหมาะกับ Main cause จานนี้อีกแล้ว ผมรีบเรียกหาอาหารจานต่อไปอีกทันที "ลองชิมไวน์ของทางร้านเราดูหน่อยเป็นไร" ผมลืมไปเลยว่ายังมีแก้วไวน์ตั้งรออยู่ตรงหน้า ผมคีบก้านแก้วไวน์ขึ้นมา สูดกลิ่นดูหนึ่งครั้งแล้วบรรจงจิบละเลียดก่อนด้วยปลายลิ้น ตามด้วยการกลั้วไปด้านข้างลิ้น ก่อน กลืนผ่านล่วงลงคอไป ทั้งรสชาติและความรู้สึกที่ยังคงหลงเหลืออยู่ได้ถูกชะล้างจนหายไปหมด Chef รอสักครู่ก่อนเอ่ยขึ้นว่า "คุณคงหายสงสัยแล้วมั้งครับว่า Alcohol ช่วยให้เราลืมวันวานได้ชงัดนัก" ผมไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ เลยกับความจริงข้อนี้
ยังอยากชิมของหวานของเราอีกไหมครับ "แน่นอน ผมจะขอบคุณมากครับ ถ้าช่วยเสริฟมันเร็ว ๆ ผมแทบอดใจไม่ไหวแล้วครับ" "ขอบอกไว้ก่อนนะ Menu นี้แม้แต่ Chefอย่างผมยังคุมมันไม่ได้เลย ปรุงแต่ละครั้งรสชาติไม่เคยเหมือนกันซักครั้ง รสชาติของมันขึ้นกับคนชิมค่อนข้างมาก" "เอาเหอะ ผมเชื่อในฝีมือคุณ"
พอของหวานวางลง ผมรีบตักกินอย่างตะกละตะกราม ... ... ... รสหวานละมุนแทรกซึมไปทั่วร่าง บางช่วงมีรสชาติเปรี้ยวแทรกขึ้นมา บางคราวกลับมีกลิ่นหอมขึ้นจมูก แทรกสลับกับรสเผ็ดซ่าคล้ายมินต์ โอ... ผมรู้สึกอบอุ่น แล้วค่อยๆ กลายเป็นเหงา เปล่าเปลี่ยว แต่นึกไม่ถึงว่ารสสุดท้ายกลับกลายเป็นขมบาดคอ รสขมนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ตามมาด้วยอารมณ์เศร้า โดยไม่ทันตั้งตัว ทัศนภาพรอบตัวผมก็พร่ามัวไปหมด ตามมาด้วยรสเค็มของน้ำตาผมเอง
รสชาติต่าง ๆ หายไปแล้ว แต่ไม่ทราบเป็นอย่างไร ผมกลับคิดถึงแฟนเก่าที่ตายของผมขึ้นมาจับจิต ด้วยน้ำตาที่ไหลริน ผมรีบถาม Chef ว่า "Menu นี้คุณเรียกว่าอะไร ?" Chef หนุ่มตอบเสียงเรียบ ๆ ว่า "รัก"
ในที่สุดผมก็จำได้แล้วว่ารักที่ลืมไปนานมีรสเช่นไร ไม่เพียงแต่มีรสหวาน บางครั้งยังเจือด้วยรสเปรี้ยว สุดท้ายรักคำนี้ยังลงท้ายด้วยรสขมเสียนี่ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ผมกลับถูกกระตุ้นอารมณ์โหยหาขึ้นมาอีกอย่างรุนแรง
ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกของเธอ นึกย้อนไปในอดีตที่มัวแต่ท่องเที่ยวไปโดยไม่เคยหันมาเหลียวแลเธอเลย จนอดก่นด่าตัวเองไม่ได้ว่า ผมช่างโหดร้ายกับเธอเสียเหลือเกิน แต่มันสายเกินไปที่จะแก้ตัว รัก... ทำอย่างไรหนอ ที่ผมจะได้พบมันอีก?
ผมครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ค่อยเรียก Chef เข้ามาใกล้ ๆ "ขอแบบเมื่อกี้อีกจานสิครับ" Chef มองผมด้วยแววตาอ่อนโยน ค่อย ๆ เก็บจานชามช้อนส้อมกลับคืน "การบริโภครักถี่มากเกินไปโดยที่ใจยังไม่พร้อม ผลของมันมีแต่จะยิ่งขมขื่นกว่าเดิม พักลิ้นหน่อยดีไหมครับ ใจจะได้พักด้วย พรุ่งนี้ค่อยกินจานใหม่ ผมรับรองว่า รักจานหน้าถ้ากินอย่างใส่ใจ ตอนจบของมันรสชาติจะต้องหวานกว่านี้แน่ครับ"
"มีที่พักแถวนี้ไหมครับ" "ถ้าไม่รังเกียจคุณสามารถพักที่ห้องพักของเราได้ครับ" "ขอบคุณ ... เอ่อ อีกอย่างหนึ่งขอยืมโทรศัพท์หน่อยได้ไหมครับ แบตผมหมดพอดี" "ตามสบายเลยครับ"
"ฮัลโหล อาจารย์หรือครับ" "พรุ่งนี้ยกเลิกนัดชิมอาหารที่นั่นให้ด้วยนะ" "ไม่ได้นะครับ ไม่ได้ อาจารย์รู้ไหมว่าลูกค้ารายนี้สำคัญมากนะครับ" "ผม มีธุระแถวนี้ แค่นี้นะ" ผมไม่รอให้อีกฝ่ายตอบคำ ชิงวางหูโทรศัพท์เสียก่อน แน่ล่ะก็พรุ่งนี้แต่เช้าผมจะกินข้าวร้านนี้นี่นา
fin.
จากคุณ :
S-chiz
- [
8 ส.ค. 48 08:18:26
]