CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    +++คืนหนาว ฟ้าพร่างดาว กับเรื่องราวของความรัก++ เรื่องสั้นคั่นเวลา

    เมื่อลมหนาวพัดมา......ฉันก็คว้าเอาโชคชะตาเอาไว้ได้

    น่าแปลกที่ปีนี้กรุงเทพฯ อากาศเย็นกว่าทุก ๆ ปี ที่ผ่านมา อากาศตอนเช้าบางวันวัดอุณหภูมิได้ 16 องศา จนน่าตกใจทีเดียว ข่าวพยากรณ์อากาศได้บอกว่ามันเป็นผลกระทบมาจากประกฎการณ์ เอล นิญโญ่ ที่จะทำให้สภาวะอากาศนั้นแปรปรวน ยามเช้าที่อากาศเย็นเช่นนี้ทำให้เรืองรินต้องใช้ความพยายามอย่างหนักที่จะงัดตัวเองออกจากเตียงนอนอันแสนสบาย หญิงสาวเปิดม่านดูท้องฟ้าที่ยังคงมืดมิดแม้ตอนนี้เธอจะมองนาฬิกาแล้วมันบอกเวลาว่า หกโมงครึ่งแล้ว

    “ไม่อยากอาบน้ำเลย เช้า ๆ แบบนี้” หญิงสาวบอกกับตัวเอง เธอเดินเข้าห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว แล้วทำท่าปลง ๆ เมื่อมองในกระจกแล้วยังพบว่าตัวเองยังอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ตัวเดียวกับเมื่อวานที่ได้ใส่ไปทำงาน
    “สงสัยงานนี้จะเบี้ยวไม่อาบไม่ได้แล้วว่ะ” เธอบ่นกับตัวเอง

    เรืองรินทำงานอยู่ในกองบรรณาธิการของนิตยสารสำหรับครอบครัวแห่งหนึ่ง เมื่อวานเป็นเส้นตายสำหรับการปิดเล่มประจำเดือน ทำให้หญิงสาวต้องนั่งทำงานอย่างเอาเป็นเอาตายกว่าจะได้กลับบ้านก็ปาเข้าไป ตีหนึ่ง พอถึงบ้านเธอก็หลับเป็นตายทั้ง ๆ ที่ยังอยู่ในชุดเดิม ปกติแล้วหลังจากวันปิดเล่มแบบนี้เป็นที่รู้กันว่าคนที่รับผิดชอบในส่วนเนื้อหาและบทความที่ต้องทำงานในการปิดเล่มนั้นจะต้องหยุดโดยพร้อมเพรียงกันอย่างไม่มีการนัดหมาย ซึ่งก็ไม่ถือว่าผิดอะไรเพราะยังไงงานที่เป็นสิ่งหล่อเลี้ยงบริษัทก็ได้ผ่านไปแล้ว

    แต่วันนี้เรืองรินเซ็ง สุด ๆ ก็เพราะว่าแทนที่วันนี้เธอจะได้หยุดเหมือนเช่นเคย  แต่ สบชัย หรือ พี่โต๋ หัวหน้ากองบรรณาธิการ กลับเดินมาบอกก่อนที่เธอจะกลับบ้านว่า

    “เฮ้ย รินช่วยหน่อยเถอะว่ะ คุณเจตต์ เขามีคิวว่างพรุ่งนี้วันเดียว แกช่วยไปสัมภาษณ์เขาหน่อยเถอะ“ ชายหนุ่มเดินเขามาตบไหล่เธออย่างเป็นกันเอง เพื่อขอความช่วยเหลือเมื่อนักธุรกิจหนุ่ม เจ้าของโรงแรมใหญ่หลายแห่งในประเทศ ที่พยายามขอคิวสัมภาษณ์มายาวนาน เพิ่งจะตอบตกลงมาโดยให้คิวที่กระชั้นชิด ชนิดว่าแม้จะมีอุปสรรคขวางหนามอย่างไรก็ไม่อาจจะปล่อยให้หลุดมือไปได้

    “โห ไรพี่ ทำไมไม่ส่งไอ้ชา มันไปล่ะ” เธอเอ่ยชื่อรุ่นน้องที่เป็นมือหนึ่งในการสัมภาษณ์ และมักได้ประเด็นแปลก ๆ มาเขียนคอลัมน์ได้เสมอ

    “ไอ้ชามันต้องไปสัมภาษณ์ท่านรัฐมนตรีการคลังน่ะ มาลงคอลัมน์ เลี้ยงลูกสไตล์คนดัง”  ชายหนุ่มยังคงยืนยันคำขอร้องกับเธออีกครั้ง เมื่อหาที่พึ่งไม่ได้เพราะว่ามือหนึ่งในการหาข่าวได้ติดสัมภาษณ์คนใหญ่ คนโตเพื่อมาลงคอลัมน์ ยอดนิยม
    “กี่โมงล่ะ”
    “แปดโมงครึ่ง” หญิงสาวถึงกับถอนหายใจกับเวลานัดหมายที่ได้ยิน

    “ทำไมมันเช้าอย่างนี้ล่ะ พี่โต๋”  แต่เรืองรินก็บ่นได้เพียงเท่านั้น เธอเข้าใจว่าโอกาสดี ๆ ที่จะได้สัมภาษณ์นักธุรกิจหนุ่มใหญ่คนนี้ยากเพียงใด โดยเฉพาะเรื่องส่วนตัวของเขาในวงสังคมต่างรู้ดีว่าเขานั้นเก็บเนื้อเก็บตัวมากเพียงใด แม้จะเป็นคนที่ต้องออกสังคมเพื่อการงาน แต่เรื่องส่วนตัวของเขานั้นก็ไม่เคยมีข่าวอะไรเล็ดลอดออกมาได้มากกว่าเขามีลูกชายเคยมีภรรยาอยู่คนหนึ่งแต่ก็ได้เธอก็ได้เสียชีวิตไปนานแล้ว และนั่นเป็นเหตุผลที่บรรดานักข่าวหลายสำนัก หลายนิตยสารมุ่งประเด็นไปที่เขาในฐานะนักธุรกิจหนุ่มเนื้อหอม

    “เฮ้ย รินตื่นยัง” ตอนนี้เธอลงมารอรถมอเตอร์ไซด์ ของตากล้องคู่ชีพของเธอโดยสภาพที่สะโหลสะเหลเต็มที
    “ตื่นแล้ว....” เรืองรินลากเสียงยาวแล้วตามด้วยหาวพร้อมกับบิดขี้เกียจอีกหนึ่งที
    “เมื่อวานดึกเหรอ” โยธิน หรือ โย ตากล้องประจำนิตยสารแล้วก็เป็นคู่หูของเธอ ถามขณะที่สตาร์ทรถแล้วยื่นเอาหมวกกันน๊อคให้เธอใส่
    “อือ เหมือนเดิมแหละ ปิดเล่ม แต่ที่ซวยก็คือตาบ้านั่น ขอคิวมาเป็นเดือนดัน เสือกมาว่างตอนนี้ บ้าชะมัด”  
    “ก็งี้แหละ คนรวย”  คู่หูของเธอสำทับอย่างเกรงว่าจะทำให้หญิงสาวเสียอารมณ์เสียก่อนที่จะต้องไปทำงาน ก็เรืองรินน่ะเวลาที่อารมณ์ไม่ปกติเธอออกจะไม่อยากทำอะไรและผลงานที่ได้มันก็พลอย จะต่ำกว่ามาตรฐานไปด้วย

    “ถึงแล้ว” โยธิน ยักไหล่เป็นการปลุกเพราะตอนนี้เรืองรินได้หลับแล้วเอนหัวมาพิงไหล่ของตากล้องหนุ่ม
    “อือ... ไมเร็วจังว๊า” หญิงสาวเงยหน้ามองอาคารสูงระฟ้าที่เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของโรงแรมในเครือของคนที่เธอจะมาสัมภาษณ์ ตากล้องหนุ่มขอตัวเอารถไปจอดก่อน โดยทั้งสองนัดแนะว่าจะไปเจอกันที่ชั้น ยี่สิบอันเป็นที่ตั้งของห้องทำงานของคนที่เธอจะมาสัมภาษณ์

    เรืองรินติดต่อโอเปอเรเตอร์ ซึ่งก็ได้แจ้งให้เธอแลกบัตรพร้อมกับแนะนำให้หญิงสาวขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นยี่สิบ และในตอนนี้เรืองรินก็ได้มานั่งในห้องรับรอง หญิงสาวมองไปรอบ ๆ กับการตกแต่งห้องอย่างหรูหรามีระดับ พลางคิดว่าตัวเองช่างต่ำต้อยอะไรแบบนี้ มันเหมือนกับว่าเธอเป็นสิ่งของที่ไม่ถูกไม่ควร อันจะมาอยู่ในสถานที่แบบนี้ หญิงสาวมองเสื้อเชิ๊ตแขนสามส่วนแล้วกางเกงผ้าที่เธอสาบานได้ว่ามันสุภาพและเรียบร้อยที่สุดเท่าที่เคยมีมาแล้ว กับบรรยากาศรอบ ๆ แล้วถอนหายใจ

    “เอาวะ  สัมภาษณ์ให้มันจบ ๆ จะได้กลับไปนอน” ตอนนี้เรืองรินคิดแต่เพียงที่นอนนุ่ม ๆ เท่านั้น หญิงสาวมองนาฬิกาที่ตอนนี้ชี้ว่า เป็นเวลาเก้าโมงเช้าแล้ว คิดแล้วมันน่าเจ็บใจที่ต้องให้ตื่นแต่เช้ามานั่งรอคนมาสาย ไม่นานโยธินก็ตามมาซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววของนักธุรกิจหนุ่มเลย

    “ริน ฉันมีงานตอน เที่ยงด้วย เขาจะมาเมื่อไหร่นะ” ชายหนุ่มมองไปที่ประตูพลางมองนาฬิกา
    “นั่นสินี่ก็ปาเข้าไปเกือบจะสิบเอ็ดโมงแล้ว” หญิงสาวบ่นแล้วนิ่วหน้าอย่างขัดใจ ถ้าไม่ติดว่าเป็นบุคคลที่เรียกว่าหากมีบทสัมภาษณ์ล่ะก็คงจะทำให้หนังสือขายดีขึ้นเยอะ
    “เฮ้อ .. โย นายมีกล้องตัวเล็กนี่”

    “ทำไมเหรอ” โยธินหันมาถามด้วยความแปลกใจ
    “นายไปเถอะ เอากล้องตัวเล็กนั่นมาให้ฉัน เดี๋ยวฉันถ่ายภาพเขาเอง”
    “จะดีเหรอ” ชายหนุ่มถามด้วยความไม่แน่ใจ

    “ดี งานตอนเที่ยงนั่นก็ของเราใช่ไหม พี่โต๋ไม่ว่านายหรอก เป็นความผิดของหมอนั่นเองที่มาช้า” หญิงสาวบอกชายหนุ่ม ซึ่งเขาก็มีท่าทางลังเล มองนาฬิกาอย่างชั่งใจก่อนที่จะตัดสินใจ หยิบกล้องดิจิตอลตัวเล็กที่พกไว้สำรองให้กับหญิงสาวไป
    “ขอโทษนะที่ไม่ได้อยู่ช่วย” หญิงสาวพยักหน้าเชิงว่าไม่เป็นไร แต่หลังจากโยธินออกจากห้องไปหญิงสาวก็ปาสมุดโน๊ตที่ถือมาด้วยอย่างขัดใจลงไปที่โต๊ะรับรอง

    “ซวยชะมัด ง่วงก็ง่วงยังต้องมานั่งรอตาบ้านี่อีก”
    การรอคอยอันยาวนานของหญิงสาวยังไม่สิ้นสุด จนในที่สุดเมื่อเธอเห็นเข็มนาฬิกาถึงบ่ายสองโมงแม้เรืองรินจะคิดว่าเธอคงจะไม่ย่อท้ออะไรง่าย ๆ หลังจากที่ไปใส่อารมณ์กับเลขาหน้าห้องของนักธุรกิจหนุ่มใหญ่สองสามครั้ง ก็ได้รับคำตอบเดิม ๆ ว่า อีกเดี๋ยวคุณเจตต์จะมา รบกวนคุณรอในห้องก่อนนะคะ

    ใจหนึ่งเธอก็อยากจะกลับเหมือนกัน แต่ว่าด้วยความเคารพต่อหน้าที่แล้วอีกอย่างนิตยสารของเธอก็เป็นคนขอสัมภาษณ์เขาด้วยถ้าหญิงสาวกลับก่อนอาจจะเป็นการเสียมารยาทก็ได้ และที่สำคัญเครดิตของหนังสือเธอคงจะตกต่ำในสายตาเขาไปด้วย อาจจะเสียเปรียบต่อคู่แข่งก็ได้

    “โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว” บ่ายสามโมงกับห้องรับรองอันเย็นเฉียบโซฟาก็นุ่มใช้ได้ สติสัมปัญขัญญะของหญิงสาวลางเลือนออกไปทุกที
    “ฮ้าววว ง่วงจังโว๊ย” ก่อนที่เธอจะผล๊อยหลับไป

    เสียงเพลงอะไรกันหนวกหูจังคนจะนอนสักหน่อย หญิงสาวพลิกตัวอย่างรำคาญใจที่ได้ยินเสียงรบกวนนั่นอยู่ตลอดเวลา ก่อนที่สำนึกจะกลับคืนมา เธอก็ดีดตัวลุกขึ้นทันทีเมื่อคิดได้ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน สิ่งที่เรืองรินเห็นกลับเป็นเงาของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกบานใหญ่ ฟ้าข้างนอกมืดแล้วนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เธอเห็นเงาของตัวเองในกระจก เธอกวาดตามองไปรอบ ๆ ก็พบกับต้นตอของเสียงที่ดังอยู่มุมห้อง เป็นเพลงฝรั่งคลาสสิคฟังสบาย ๆ น่าแปลกที่ตอนนี้เธอคิดว่ามันรื่นหูดีจัง

    “ให้ตายสิ” ท่ามกลางความมึนงงและสับสนในจิตใจ ไม่เข้าใจว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ หญิงสาวก็ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มที่เธอไม่คุ้นเคย
    “ขอโทษที่ทำให้ต้องรอนาน” เรืองรินหันไปยังทิศทางของต้นเสียงก็พบกับร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มที่ เธอจำได้ว่าเห็นจากในนิตยสารเขาจะดูเคร่งขรึมและระมัดระวังตัวยิ่งกว่านี้ แต่ตอนนี้หญิงสาวกลับรู้สึกแปลก ๆ เมื่อเห็นว่าเขาต่างจากที่เธอวาดภาพเอาไว้มากนัก

    เรืองรินไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เธอได้แต่มองตามชายหนุ่มที่ตอนนี้ได้พาร่างสมส่วนนั่นมานั่งเอนกายที่โซฟาตรงกันข้ามกับเธอ เมื่อมองดูใกล้ ๆ แล้วเขาดูอ่อนเยาว์กว่าที่เธอคิดไว้มากนัก มีคนบอกว่าปีนี้ชายหนุ่มอายุ สามสิบสี่ปีแล้ว ใบหน้าคมสัน ดวงตาคมกล้าดุจพญาเหยี่ยว แต่กลับดูนุ่มลึกไปมากเนื่องจากท่าทีสุขุมที่เขาแสดงให้เห็นอยู่เป็นประจำ ข่าววงในว่าเขามักจะไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมาถ้าไม่จำเป็น นักธุรกิจที่มากประสบการณ์หลาย ๆ คนบอกว่านี่แหละคือคุณลักษณะอันโดดเด่นของผู้ที่จะเป็นผู้นำ รู้จัก แข็งกร้าวยามจำเป็นและโอนอ่อนผ่อนปรนเมื่อถึงเวลา ดุจดั่งต้นไผ่ที่แข็งแรงแต่ก็กลับล้อไปกับลมได้อย่างสวยงาม

    “

    จากคุณ : ทะเลกับความมืด - [ 13 ส.ค. 48 00:25:15 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป