CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    กล่องเก็บเรื่องเก่า 2 : หอพักและเรื่องผี

    กล่องเก็บเรื่องเก่า 2 : หอพักและเรื่องผี  

    "อ้าว วัยรุ่นยังคุยกันไม่จบอีกเรอะ" พ่อโผล่หน้าเข้าบ้านมาแซวแม่แล้วก็หัวเราะร่วน เมื่อได้ค้อนจากแม่ที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะวางโทรศัพท์วงใหญ่…

    ก็แม่เล่นรับสายมาตั้งแต่พ่อเข้าสวนไปขลุกอยู่กับต้นไม้ใบหญ้าจนกลับเข้ามาในบ้านอีกรอบ แม่ยังไม่วางสายเลยนี่นา แต่จะพูดให้ถูกขึ้นมาอีกหน่อย คือ แม่วางสายไม่ได้ต่างหาก เพราะอาจารย์เก่าโทรศัพท์มาคุยด้วย จะวางก็เกรงใจ แถมส่วนใหญ่ท่านมักจะโทรมาเล่าเรื่องโน้น เรื่องนี้ให้ฟัง อย่างเบาะๆ ก็คราวละเกือบชั่วโมงเข้าไปแล้ว และบางทีก็แวะมานั่งคุยที่บ้าน ระหว่างรออาจารย์หมอไปทำคลินิก แล้วกลับมารับด้วย

    การคุยโทรศัพท์ทีละชั่วโมงอาจเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับหลายคน  แต่สำหรับบ้านฉัน ที่วันๆ คุยกันแทบนับคำได้ นานๆ ถึงจะคุยกันยาวๆ สักหน ไม่ใช่เรื่องปกติหรอกนะ เพราะบ้านเราพอใจจะใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ไปกับการอ่านหนังสือมากกว่าคุยกัน

    "เล่นซะมือชาเลย…" แม่โอดหลังวางสาย เมื่อเวลาผ่านไปสองชั่วโมง "ถ้าไม่ต้องเขียนประวัติคณะคงไม่คุยนานขนาดนี้หรอก"

    ช่วงที่ว่า แม่ออกจะวุ่นวายอยู่กับการทำประวัติคณะ แต่ในโอกาสครบรอบกี่ปี ฉันก็จำไม่ได้ ตอนแบ่งให้แต่ละคนไปเขียน ไม่ค่อยมีปัญหา แต่พอรวบรวมกลับมา ปรากฏว่าปี พ.ศ. ไม่ตรงกันบ้าง คนที่เกี่ยวข้องหายไปบ้าง และที่เป็นปัญหามากที่สุด คือ การตรวจสอบความถูกต้อง เพราะเอกสารเก่าๆ ที่เก็บไว้ที่ก็ถูก 'โละ' ออกไปบ้างแล้ว ทำให้ต้องไล่ถามจากอาจารย์รุ่นเก่าๆ ที่บุกเบิกคณะมาตั้งแต่สมัยเริ่มตั้งมหาวิทยาลัย

    "แล้วได้เรื่องไหม คุยยาวเชียว" ฉันถาม… คุยโทรศัพท์กับเพื่อน ฉันยังไม่คุยยาวขนาดนี้เลย

    "อื๊อ… " แม่ปฏิเสธเสียงสูง "อาจารย์รู้ว่าใครทำอะไรทีมบ้าง แต่จำไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ แถมคุยไปคุยมากลายเป็นเรื่องเก่าๆ ของคณะอีกเหมือนเดิม เรื่องใหม่มีนิดเดียว แต่เอามาเขียนประวัติคณะไม่ได้"

    "เช่น…"

    "เพื่อนแม่ฆ่าตัวตายในหอพักตอนเป็นนักเรียนพยาบาล"

    แม่มองหน้าฉันเหมือนจะถามว่าเคยเล่าให้ฟังหรือยัง

    ฉันส่ายหน้า… เรื่องตื่นเต้นของแม่จะไม่ค่อยมีมากนักหรอก แต่บทจะมีขึ้นมา ก็ใช่ย่อยเหมือนกัน ถ้าไม่ขอให้เล่าให้ฟังคงเสียดายแย่

    ก่อนเล่า แม่ทบทวนความจำอยู่ครู่หนึ่ง "ตอนนั้นแม่เป็นนักเรียนพยาบาล แล้วอาจารย์เป็นผู้ปกครองหอพักน่ะ…"

    เรื่องเกิดขึ้นในวันหนึ่ง เมื่ออาจารย์ผู้ปกครองประจำหอพยาบาลรู้สึกว่ามีคนใช้ห้องน้ำนานผิดปกติ

    "พอเปิดเข้าไป ก็เจอเพื่อนคนนั้นนั่งคอพับอยู่กับพื้นห้องน้ำ แต่ยังมีชีวิตอยู่ พอเข้าไปเอาตัวออกมา พวกอาจารย์ก็เห็นว่าที่ปากกับคางของเพื่อนแม่มีรอยสีแดงเปื้อนอยู่เป็นทาง และมีขวดตกอยู่ด้วย"

    แสดงว่าดื่มเข้าไปสินะ… แล้วมันคืออะไรกันล่ะ

    "Mercurochrome… ยาแดงใส่แผลน่ะ"

    อึ๋ย… มีคนกินยาแดงฆ่าตัวตายด้วยหรือเนี่ย แค่เห็นสีกับได้กลิ่น ฉันก็กินไม่ลงแล้ว

    ข้อนี้ แม่เล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนมีคนกินยาแดงเพื่อฆ่าตัวตายอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน อาจเป็นเพราะเห็นว่าเป็นยาใช้ภายนอก ห้ามรับประทาน ในเมื่อห้ามกิน คงหมายความว่ากินแล้วน่าจะทำให้ตายได้

    ถ้ามองอย่างวิทยาศาสตร์ และลองสังเกตจากชื่อทางการค้าว่า Mercurochrome สักหน่อย ก็เดาได้ไม่ยากว่า ยาชนิดนี้มีส่วนผสมของ ปรอท (Mercury) อยู่ด้วย ซึ่งถ้ากินเข้าไป พิษของปรอทจะก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อทางเดินอาหาร และทำอันตรายต่อไตได้ และหากรับเข้าไปมากๆ ก็อาจถึงตายได้เช่นกัน

    การปฐมพยาบาลเบื้องต้น เมื่อคนไข้รับสารปรอทเข้าไป คือ ให้กินไข่ขาวและนมเข้าไปเจือจางพิษ

    แต่เท่าที่ผ่านมา แม่ยังไม่เคยเห็นใครตาย เพราะกินยาแดงสักที…

    "อ้าว… รายนี้ก็รายแรกสิ" ฉันว่า

    "เปล่า ไม่ได้ตายเพราะยาแดงหรอก"

    เอาละสิ เรื่องนี้มันออกจะลึกลับซับซ้อนพอๆ กับนิยายสืบสวนเสียแล้ว

    แม่เล่าว่า จากคราบรอยที่เปื้อนหน้า และเสื้อ ทำให้อาจารย์พยาบาลรวมทั้งหมอที่โรงพยาบาลเข้าใจว่าเธอดื่มยาแดงเข้าไป และแก้ไขกันไปตามที่เห็น

    แต่อาการไม่ดีขึ้นเลย… และยังปรากฏว่ามีผื่นหรือจ้ำสีแดง (Skin rashes)ขึ้นตามตัวด้วย

    คราวนี้ ทุกคนจึงรู้ว่า ยาแดงถูกใช้เพื่อทำให้คนพบเข้าใจผิดจากสิ่งที่ตาเห็น และเบี่ยงเบนความสนใจจากอาการที่แท้จริงที่เกิดขึ้นจากยาชนิดอื่นที่เธอกินเข้าไปต่างหาก

    โดยร่องรอยที่เกิดขึ้นในภายหลังนี้ บอกให้รู้ว่าเป็นผลมาจากยานอนหลับในกลุ่ม บาร์บิทูเรต ที่เรียกว่า Phenobarbital หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า ฟิโนบาร์บ และเมื่อไปดูที่ตู้ยาใน Infirmary หรือห้องพยาบาล ที่พยาบาลเขาเรียกกันว่า "ห้องป่วย" เพราะเวลาพยาบาลคนไหนป่วยก็ไปเอายาหรือนอนพักห้องนั้น ก็พบว่ายาชนิดนี้ ซึ่งมีไว้สำหรับพยาบาลที่อาจเกิดอาการนอนไม่หลับเพราะต้องขึ้นเวรดึกแล้วปรับเวลาไม่ได้ใช้ หายไปหมด เหลือไว้แต่ขวดเปล่าๆ อยู่ในตู้เท่านั้น

    ถึงจะรู้อย่างนั้น ทุกอย่างก็สายเกินไปเสียแล้ว…  

    ถ้ามองในแง่ของวิธีการฆ่าตัวตาย คงต้องพูดกันอย่างภาษาวัยรุ่นสมัยนี้ว่า… คิดได้ไง

    บางครั้ง สิ่งที่ตาเห็นอาจเป็นเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งของเหตุการณ์เท่านั้น เสียเวลาหยุดคิดให้รอบด้านสักนิด ก่อนจะเชื่ออะไร มันคงไม่เสียเวลามากนักหรอก ถ้าเทียบกับแนวทางแก้ปัญหาอย่างตรงจุดมากขึ้นที่ตามมา

    การเชื่อในสิ่งที่เห็นว่าเป็นความจริงแน่นอน ทำให้ใครต่อใครต้องเสียใจมานักต่อนักแล้ว แต่บางที เรื่องดังกล่าวก็เป็นเรื่องที่เราคาดไม่ถึง คิดไม่ทัน และช่วยไม่ได้จริงๆ  

    "แล้วทำไมถึงฆ่าตัวตายล่ะ" ฉันถามหาแรงจูงใจ

    -----------------------------------------

    (มีต่อนะคะ)

    จากคุณ : ปิยะรักษ์ - [ 14 ส.ค. 48 20:39:54 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป