CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


                              อวสานโลกา                          

    มันเป็นความไม่สบายใจอย่างหนึ่งของผม ในช่วงหลายวันมานี่ โทรทัศน์เสนอข่าวแต่เรื่องประหลาด ซึ่งหากจะย้อนเวลาไปยังจุดเริ่มต้นของเรื่องราว ก็คงเป็นเรื่องเมื่ออาทิตย์ก่อนนี้ มีใครคนหนึ่ง พบวัตถุประหลาดบินอยู่บนฟ้า และพอมีใครคนหนึ่งเอ่ยถึงมันเข้า คนอีกหลายคนก็พูดตามกันไป เริ่มมีการพบเห็นวัตถุประหลาดหลายๆ ที่ และท้ายที่สุด ก็เป็นข่าวออกทางโทรทัศน์ ไปทั่วโลก แทบทุกแห่งก็จะมีรายงานการพบเห็นวัตถุประหลาดบินได้ เหมือนจะประชันขันแข่งกันก็มิปาน


    มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งออกมาทักท้วงว่ามันเป็นแค่ปรากฏการณ์อุปทานหมู่ แต่ใครเล่าจะสนใจ ผู้คนสนแต่เรื่องประหลาดตื่นเต้น นั่นมันก็คงดีกว่าการมานั่งพูดถึงเรื่องทุจริตของบรรดาผู้ทรงเกียรติ์ที่ไม่ค่อยมีเกียรติ์ในสภา


    ในเวลานี้เหตุการณ์ที่แปลกประหลาดนั่นเหมือนจะยุติลง ไม่ค่อยมีใครได้พบเห็นวัตถุประหลาดบินได้อีกแล้ว แต่ผลกระทบของเหตุการณ์นี้ก็เหมือนกับการปาหินลงบ่อ เมื่อหินกระทบผิวน้ำ จะมีลูกคลื่นตามหลังมา คลื่นที่ว่านั้น ก็ปรากฏออกมาในหลายลักษณะ แต่ไม่ก็ต่างจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นหน้านี้ มีคนหยิบยกมันเอามาพูด บางพวกที่บ้าๆ หน่อยก็บอกว่าเป็นแผนร้ายของผู้ก่อการร้าย หรือเป็นการทดลองลับอะไรสักอย่างหนึ่ง พูดกันไปถึงเรื่องมนุษย์ต่างดาวบุกโลก ซึ่งเมื่อดูแล้วก็ไม่มีใครจะรู้อะไรจริงๆ กันสักคน


    มาพูดถึงความไม่สบายใจกันต่อ ผมสังเกตเห็นว่า สองสามวันมานี่ คนรอบตัวหลายๆ คน ไม่ค่อยสบายกัน อาการคล้ายเป็นหวัด ทั้งที่บางคนร่างกายแข็งแรง ก็เป็นไปกับเขาด้วย ซึ่งมันเหมือนก็กับข่าวประหลาดนั่นแหละ เริ่มจากไม่กี่คน คนอื่นๆ ก็เป็นตามกันไปหมด

    พอย่างเข้าอาทิตย์ที่สาม หลังเหตุการณ์ประหลาด คนบางส่วนล้มหายตายจากไป ผู้คนตื่นตระหนก บางคนหนีเข้าไปอยู่ในป่า บางคนก็ออกมาก่อความวุ่นวาย หลายคนขังตัวเองอยู่แต่ในบ้าน แล้วก็มีข่าวออกมาทางโทรทัศน์ เนื้อความว่า

    “มีการตรวจพบเชื้อไวรัสชนิดใหม่ ซึ่งผู้ที่ติดเชื้อจะมีอาการคล้ายคนเป็นหวัด มีไข้ ตัวร้อน ไอและจาม หลังการตรวจสอบอย่างละเอียด ก็ได้ผลสรุปว่า เชื้อไวรัสชนิดนี้ติดต่อกันทางลมหายใจ ดังนั้นจึงขอแจ้งเตือนให้ห่างจากผู้ที่ปรากฏอาการ เนื่องจากคณะแพทย์ยังไม่สามารถหาทางยับยั้งและรักษาอาการป่วย ของผู้ที่ติดเชื้อได้ ขอให้ทุกท่านดูแลตัวเองให้ดี แค็กๆๆๆ ขอจบแต่เพียงเท่านี้ แค๊กๆๆๆ”


    แล้วเหตุการณ์ก็ลุกลามใหญ่โต เมื่อมีใครคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า

    “นี่คือวันสิ้นโลก”

    นั่นทำให้คนหลายคนคลุ้มคลั่งไป ในสภาพการณ์เช่นนี้แม้แต่รัฐบาลก็ไม่อาจจะควบคุมสถานการณ์ได้ ดูไปมันก็แปลกดี หนังสือตำราหลายเล่มเคยเขียนถึงเหตุการณ์วันสิ้นโลกไว้หลากหลายแบบ แต่ไม่มีหนังสือเล่มใดจะบอกเล่าเหตุการณ์ที่เรียบง่ายแบบนี้เลย
    ผู้คนล้มป่วยและตายลง และเป็นไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครตั้งตัวทัน ไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใดจะช่วยเราได้ เหมือนกับภาพยนตร์ที่เคยดูมา

    ผมทนอุดอู้อยู่ในบ้านมาได้หนึ่งอาทิตย์แล้ว และทนอยู่ต่อไปไม่ไหว ดังนั้นจึงเดินทางออกจากบ้าน นี่ไม่ใช่เพราะผม ไม่เกรงกลัวติดเชื้อโรคหรอกนะ แต่เป็นเพราะผมรู้ตัวว่าใกล้จะตายเหมือนกัน อาการตัวร้อนและไอจาม ซึ่งผมเป็นมาสองวันแล้ว และอาการมันก็ทรุดลงเรื่อยๆ ร่างกายเริ่มอ่อนเพลีย ก่อนที่ผมจะหมดแรงไปเสียก่อน อย่างน้อยก็อยากจะดูสภาพของเมืองจริงๆ ที่ไม่ได้ดูจากทีวีบ้าง

    บรรยากาศในเมืองเมื่อผมเดินออกมาเห็น ดูแล้วก็เหมือนกับเมืองร้าง ผู้คนเดินถนนกันบางตา ส่วนใหญ่จะขังตัวเองอยู่ในบ้าน ผมออกเดินทางมาได้ไม่นาน ก็พบกับชายแก่คนหนึ่ง นั่งอยู่ที่ม้านั่งใต้ต้มหูกวาง เมื่อชายแก่เห็นผมก็พูดขึ้นมา

    “นั่งนี่ก่อน แถวนี้ไม่มีคนเหลืออยู่แล้ว” ผมเข้าไปนั่งใกล้ชายแก่คนนั้น สังเกตเห็นสีหน้าซีดเซียว แสดงว่าอาการของเขาก็ย่ำแย่เหมือนกัน

    “ลุงมานั่งรอใครหรือครับ” ผมถามด้วยความเห็นห่วง

    “ไม่ได้รอใครหรอก เมียกับลูกก็ตายไปเมื่ออาทิตย์ก่อนแล้ว”

    ผมนั่งอยู่กับลุงคนนั้นอยู่ครู่หนึ่งแล้วขอตัวจากมา ผมรู้แล้วว่าลุงรออะไร แม้ว่าลุงจะไม่ได้บอกกับผมตรงๆ แต่ผมเมื่อผมดูสีหน้าปลงตกของลุง ผมก็รู้ว่าลุงรอความตายที่จะมาเยือน เพื่อจะได้ไปอยู่กับภรรยาและลูก

    ผมเดินไปตามถนนอย่างไร้จุดหมาย เดินไปเรื่อยๆ มองผู้คนที่บางตาตามรายทาง จนกระทั่งผมเดินสวนกับชายคนหนึ่ง เขาชะงักนิดหนึ่ง แล้วก็พูดกับผม

    “เป็นเหมือนกันเหรอ” พร้อมกับชี้มาหูของผม ซึ่งผมไม่ได้สังเกตมาก่อน หูของเขาข้างหนึ่งเป็นรอยช้ำเหมือนดูทุบตีมา ผมเดินเข้าไปใกล้รถคันหนึ่งที่จอดอยู่ริมทาง ส่องกระจกมองข้าง จึงเห็นว่าหูของผมข้างหนึ่งก็เป็นรอยแดงช้ำเหมือนกัน เมื่อลองเอามือแตะๆ ดูก็ไม่รู้สึกปวดแต่อย่างใด นั่นมันอาจจะเป็นอาการหนึ่งของโรคนี้

    แล้วผมก็เดินกลับบ้าน

    เปิดโทรทัศน์ดูข่าว ส่วนใหญ่ก็เป็นข่าวเดิมๆ ซ้ำๆ ที่ถ่ายทอดวนไปวนมา จนผมนึกหวาดผวาไปว่าผู้เสนอข่าวที่ผมดูซ้ำๆ นั้น อาจจะตายไปหมดแล้วก็ได้


    เข้าสู่อาทิตย์ที่ห้า ผมก็ยังไม่ตาย อาการของผมเริ่มดีขึ้นตามลำดับ ข่าวต่างๆ เริ่มมีเข้ามามากขึ้น ทำให้รู้ว่ามีเหตุการณ์ครั้งนี้ร้ายแรงไว้ตามที่คาด ผู้จำนวนมากเสียชีวิตลง ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดา นักการเมือง ดารานักร้อง ทำให้บ้านหลายหลังว่างลง ที่อยู่อาศัยที่เราเคยอยู่กันอย่างแอดอัด ตอนนี้กลับปราศจากคนอยู่อาศัย จากคนที่เหลืออยู่ในโลกนี้ ยังมีนักวิทยาศาสตร์หลงเหลืออยู่บ้าง ดังนั้นในเวลาไม่นาน ก็มีข่าวออกมาทางโทรทัศน์ และวิทยุ บอกสาเหตุที่คนส่วนหนึ่งรอดตายมาได้ ข้อความดังกล่าวคือ


    “เชื้อไวรัสที่คร่าชีวิตผู้คนในโลกไปมากกว่าเก้าในสิบนั้น ก็เพราะว่าคนในโลกนี้มีจำนวนหนึ่งในเก้ามีรูอยู่ที่ใบหูด้านบน เมื่อเชื้อไวรัสในอากาศเข้าไปในร่างกาย มีส่วนหนึ่งเข้าไปอยู่ในรูเล็กๆ ที่อยู่บนใบหู ซึ่งรูบนหูนั้นแต่เดิมจะเป็นที่เก็บไขมันเสียไม่มีประโยชน์ แต่เมื่อเชื้อไวรัสเข้าไปอาศัยอยู่ มันจึงกลายพันธุ์กลายเป็นเชื้อไวรัสอีกชนิดหนึ่ง ที่มีความสามารถในการฆ่าเชื้อไวรัสที่ติดอยู่ในกระแสเลือด ตามหลักของการวิวัฒนาการแล้ว เชื้อไวรัสที่กลายพันธุ์จะมีความสามารถมากกว่าเชื้อไวรัสเดิม ทำให้มันสามารถกัดกินเชื้อไวรัสเดิมที่ติดอยู่ในกระแสเลือดได้ และไม่สร้างอันตรายแก่พาหะที่มันอาศัยอยู่”

    ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ผู้ที่มีรูอยู่บนใบหูด้านบน เมื่อติดเชื้อไวรัสชนิดนี้แล้ว จะมีอาการอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ก็จะหายไปในไม่ช้า

    พออาทิตย์ที่หกผมก็หายเป็นปกติ เราที่เหลืออยู่ต่างก็เลี่ยงจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ บางครั้งเมื่อผมนั่งเหงาๆ ผมก็กลับเอาเรื่องนี้มาคิดด้วยความสงสัย ผมและคนอื่นที่รอดนั้นเพราะว่าโชคดี หรือเป็นเพราะความจงใจ ของสิ่งใดกันแน่ ที่จะลดจำนวนประชากรในโลกลงไป เพื่อทำให้โลกที่บูดเน่ากลับคืนสู่สมดุลเหมือนเดิม

     
     

    จากคุณ : egotech - [ 15 ส.ค. 48 05:30:24 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป