CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    ความเรียงเรื่องรักเล็กน้อยหากยิ่งใหญ่ในความรู้สึก

    ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโชคชะตาหรืออะไรที่ทำให้เรากับเขาขึ้นเครื่องบินลำเดียวกัน
    ข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงดินแดนหมู่เกาะแห่งนี้ เราเองก็เพิ่งมารู้ไม่นานมานี้ว่าขึ้นเครื่องลำเดียว
    กับเขามา ก็ใครจะไปคิดว่าพ่อคุณจะรักเมืองไทยถึงขนาดขอพ่อแม่มาเที่ยวเมืองไทยก่อนสองวัน
    ก่อนจะเดินทางมาเรียนต่อที่ประเทศนี้ เลยต้องมานั่งทนฟังเสียงเอะอะเจี๊ยวจ๊าวของนักเรียนไทย
    อย่างพวกเราในเครื่องบิน โชคชะตาของเราอาจจะผูกพันกันตั้งแต่วันนั้นแล้วก็เป็นได้

    แล้วเราก็ได้มาเรียนอยู่ที่โรงเรียนภาษาที่เดียวกัน แต่ว่าเราก็ไม่ได้อยู่ห้องเดียว
    กับเขาหรอกนะ ทั้งๆ ที่เพื่อนอีกสี่คนของเราได้อยู่หมดเลย เลยเรานั่งแกร่วอยู่อีกห้องหนึ่งคนเดียว
    ก็เพราะว่าก่อนมาเราขี้เกียจไปเรียนภาษาน่ะสิ แต่ด้วยความมนุษยสัมพันธ์ดีเลิศของเราทำให้
    ได้ไปพูดคุยกับคนมากมายแม้จะอยู่ต่างห้องกัน แหมภาษาอังกฤษออกจะไม่ได้เรื่องได้ราว ก็ยัง
    ไปตบตีกับพวกเขาและเพื่อนฝูงได้ เราได้ยินเพื่อนเราพูดถึงเขาบ่อยๆ ในแง่ที่ว่าเป็นเด็กไฮเปอร์ พูดมาก
    พูดเร็ว และพูดไม่หยุด (เหมือนเราเลย) โดนเพื่อนล้อบ่อยๆ เรื่องใช้สำเนียงภาษาอังกฤษตลอดเวลา
    ไม่ว่าจะพูดภาษาอะไร

    ยังจำได้เลยตอนที่เห็นหน้าเขาครั้งแรก ...ในใจมันแบบน่ารักว่ะคนนี้ ก็ยอมรับนะ
    ว่าเขาเป็นคนหน้าตาดีแถมเข้ากับคนง่าย ใครๆ ก็มารุมล้อมสนใจ รวมทั้งพี่คนไทยคนหนึ่งที่เขา
    เก่งภาษาอังกฤษมากๆ ก็เข้าไปเจ๊าะแจ๊ะ ส่งเมล์หาด้วยพักใหญ่ แล้วเราเองแหละที่เป็นตัวเริ่ม
    เรื่องว่าเขาหน้าแก่ ก็จริงๆ นะ ตอนเจอกันครั้งแรกเรานึกว่าเขาอายุยี่สิบห้าจริงๆ พอบอกสิบแปด
    นี่งงไปเลย แล้วสงครามระหว่างเรากับเขาก็เริ่มตั้งแต่บัดนั้นล่ะมั้ง ไม่ใช่เรานะที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน
    เขาต่างหากที่มาล้อว่าเราเป็นทอมบอยบ้าง มาหาว่าเราไฮเปอร์อยู่ไม่สุขบ้าง แกล้งเรา แล้วนิสัย
    อย่างเรามันยอมได้ที่ไหน ก็ไฮเปอร์เหมือนกันล่ะว้า

    แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากมายนะ ได้แต่ได้ยินเรื่องราวของเขาจากเพื่อนๆ บ่อยๆ
    แล้วเราเองก็เริ่มคบกับรุ่นพี่แล้วด้วย (เป็นความรักครั้งแรกล่ะ) แล้วก็รู้สึกช็อคนิดหน่อยตอนรู้
    จากเพื่อนว่าเค้ามีแฟนแล้ว แถมยังอยู่บ้านเดียวกันด้วย ก็รู้ตอนที่เราโทรไปตามเพื่อนคืนก่อน
    จะกลับไปเยี่ยมเมืองไทยนั่นแหละ เพื่อนเรามันบ้านิดหน่อย รีเอนทรีวีซ่าก็ยังไม่เรียบร้อย
    ยังไปแรดอยู่บ้านเขาได้ (ความจริงคือเราเองก็อยากไป แต่ปาร์ตี้นั้นมันมีแต่ผู้ชายทั้งนั้น)

    ชื่อเขาเริ่มเข้ามาอยู่ในไดอารี่ของเราตอนที่กลับบ้านรอบแรกล่ะมั้ง อยู่ดีๆ เราก็แต่งเรื่อง
    ประมาณว่าให้ตัวเอกไปบอกชอบกับคู่อริตัวเองทั้งๆ ที่มีแฟนอยู่แล้ว แล้วเราก็ไม่ได้แต่งต่ออีกเลย
    ตอนที่กลับมาที่นี่อีกครั้งแล้วไปดูป้ายประกาศเปลี่ยนห้องใหม่ เราก็รู้ตัวเองเลยนะว่าผิดหวังมากๆ
    ที่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกับเขา ตลกไหมทั้งๆ ที่มีแฟนอยู่แล้วแต่เราก็ยังมองเขาอยู่นะ แต่ก็มีเพื่อน
    ในกลุ่มเดียวกับเขามาอยู่ห้องเดียวกับเราสองคน ซึ่งต่อมาเราก็สนิทกับสองคนนี้มากๆ ด้วย

    ตอนหยุดยาวโกลเด้นวีคปีแรกล่ะมั้งที่กลุ่มเราเด็กไทยเริ่มสนิทกับกลุ่มพวกเขา เริ่มจากที่
    พวกเขาขอติดสอยห้อยตามไปคาราโอเกะเพลงไทยกับพวกเรา ซึ่งมันก็มีเพลงจีนด้วยน่ะนะ
    เราก็เต้น เล่น กินกันสนุกสนาน แล้วก็มีถกเถียงปรัชญาความรักกันนิดหน่อย ตอนอยู่ใน
    คาราโอเกะก็นั่งด้วยกันตลอด ตอนแรกเราก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เริ่มมารู้สึกแปลกๆ ตอนโดน
    พี่คนไทยเอากล้องมือถือมาถ่ายเราสองคน เราก็เริ่มงงๆ ตอนที่พี่เขาส่งเมล์รูปเข้ามือถือเรา
    แล้วตั้งชื่อรูปประมาณว่า “เอ๋...ใครเอ๋ย แฟนไม่มีเหรอจ๊ะ” (แถมใส่เสื้อสีฟ้าเหมือนกันด้วย)

    เราก็เริ่มเขินๆ แล้วก็เลยเริ่มโวยวาย แล้วพอเขาหันมาเห็นก็เลยเอามือมาโอบไหล่เราแล้วบอก
    ประมาณว่า “เอาใครจะถ่ายก็ถ่ายเลย นี่โอบให้แล้วเห็นไหม” เรางี้กระเด้งตัวออกมานั่งโซฟา
    อีกด้านหนึ่งเลย สักพักก็กลับไปนั่งข้างๆ เขา เขาก็ถามว่าแฟนเธอไม่เซนซิทีฟเรื่องพวกนี้ใช่ไหม
    เราก็บอกว่าอืมมไม่หรอก อยากจะบอกไปเหมือนกันว่าที่จะหวั่นไหวน่ะฉันต่างหากเล่า

    หลังจากนั้นเป็นวันหยุดยาวหรือโกลเด้นวีคที่เราต่างก็ตั้งหน้าตั้งตารอคอย คุณลุงชาวฮ่องกง
    ผู้ไปเติบโตในแคนาดาเสนอความคิดที่จะจัดปาร์ตี้อาหารนานาชาติกัน แล้วเราก็ได้เจอแฟนเขา
    เป็นครั้งแรก เป็นสาวน้อยหน้าใสแก้มป่อง หน้าตาน่ารักเสียแค่ตรงที่ไม่ค่อยจะยิ้มเท่าไหร่
    ทำให้เพื่อนๆ เราเรียกเขาว่าแม่นางฟ้า ดูเขาก็รักแฟนซะเหลือเกิน อาหารที่แฟนทำก็นั่งกินจนหมด
    แถมไม่ค่อยมาเล่นกับพวกเราเหมือนปกติ

    วันนั้นเราก็ค่อนข้างเกรงใจแฟนเขาเลยไม่ค่อยได้ก่อสงครามกันสักเท่าไหร่ (จริงๆ แล้วก็เล่นไป
    นิดหน่อยโดยหันไปขออนุญาตแฟนเขาพอเป็นพิธี) เราก็ไปคุยกับเพื่อนคนอื่นๆ มากกว่า ตอนนั้น
    ไม่ได้คิดอะไรจริงๆ นะ เพราะเราก็ถือตัวเองเหมือนกันว่ามีแฟนแล้ว ก็เป็นเพียงเพื่อนที่ดีต่อกัน

    จากนั้นไม่นานเราก็เลิกกับแฟนเก่า แต่ไม่มีใครรู้เรื่องเลยเพราะเราไม่ได้มีอาการเศร้าซึมอะไรออกมาเลย
    แล้วกลุ่มเขากับเพื่อนๆ นั่นแหละที่กลายมาเป็นที่ปรึกษาปัญหาหัวใจให้กับเรา (ช่วงหลังจากนั้น
    แฟนเก่าเราเขาก็พยายามจะมาขอคืนดีไง แล้วเราก็ยังไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกตัวเองได้ดีพอ)
    เราก็เริ่มสนิทกับเพื่อนในกลุ่มเขาคนหนึ่งมากขึ้น เพราะได้นั่งติดกัน ส่งเมล์คุยกันเกือบทุกวัน
    อาจจะดูเหมือนว่าน่าจะมีอะไรมากกว่าความเป็นเพื่อนกัน แต่จริงๆ แล้ว คงเป็นความสนิทสนมมากกว่า
    ประกอบกับเพื่อนเรามันไม่มีคนให้เปิดใจคุยได้ด้วยเท่านั้นเอง

    แล้ววันที่เรารู้สึกตัวว่าเราชอบเขาจริงๆ จังๆ ก็วันที่เรายกโขยงไปดูดอกไม้ไฟกันนั่นแหละ เราก็ได้
    เห็นนิสัยที่แท้จริงของใครหลายๆ คนในวันนี้ เพราะว่าหาที่นั่งดีๆ ก็ไม่ได้ ร้านอาหารก็ไม่ได้จองไว้
    คนก็เยอะ ร้อนก็ร้อน ดอกไม้ไฟก็มองไม่ค่อยเห็น โทรศัพท์ก็โทรไม่ติด เดินหลงกันตั้งหลายรอบ
    รถไฟก็เต็มจนล้น แต่ว่าเขาน่ะร่าเริงได้ตลอดเวลา ไม่แม้แต่จะทำหน้าตาบูดบึ้ง แถมยังเป็นคนที่
    สร้างเสียงหัวเราะให้กับคนรอบๆ ข้างด้วย ทำให้เราไม่รู้สึกแย่เลยแม้จะไม่ได้ดูดอกไม้ไฟสมใจ
    เพราะว่ามีเขานั่งอยู่ข้างๆ ไง

    เช้าวันรุ่งขึ้นก็เป็นการเข้าค่ายของโรงเรียนภาษา เช้าเราก็โทรปลุกทุกคนหลังจากที่สะบักสะบอม
    กับดอกไม้ไฟกันมา ตลกดีนะทั้งๆ ที่อยู่กันคนละห้อง นั่งรถคนละคัน แต่ว่าไม่รู้ทำไมหันไปก็เจอเขา
    มาเดินอยู่ข้างๆ เราตลอดเลย บางทีก็มาเดินๆ ตามเป็นตากล้องให้ มาแบกกระเป๋าให้ พัดให้ ซื้อน้ำ
    ซื้อขนมก็กินด้วยกันตลอด ตอนอยู่ที่ค่ายสามวันก็ตัวติดกันเป็นตังเม ไม่รู้เหมือนกันว่าใครติดใคร
    คนรอบข้างก็เริ่มสังเกตเห็น เริ่มโดนแซวว่าหน้าเหมือนกันบ้างล่ะ ตัวติดกันบ้างล่ะ

    แต่สามวันนี้ก็เป็นวันที่เราแฮปปี้และผ่อนคลายสุดๆ จนเราลืมไปเลยว่าเขามีแฟนอยู่แล้ว เริ่มมีคน
    มาเตือนเรามากขึ้นว่าอย่าไปคิดอะไรกับเขามาก เราเองก็บอกตัวเองอยู่ว่ามันเป็นไปไม่ได้และก็ไม่ได้คิดจะ
    แย่งแฟนของใครด้วย

    แม้ว่าหลังจากกลับมาจากเข้าค่ายแล้ว เขาก็เริ่มส่งเมล์มาหาเราบ่อยขึ้น แต่ก็ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่านั้น
    เราพยายามจะบอกตัวเองมาตลอดนะว่ามันเป็นไปไม่ได้ บอกตัวเองมาตลอดว่าเราก็แค่ปลื้มๆ เขาเฉยๆ
    ไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก แต่ถึงอย่างนั้นคนรอบข้างก็เริ่มจะระแคะระคายกันบ้างแล้วว่าเรารู้สึกยังไง
    ก็เราน่ะโผล่หน้าไปที่ห้องเรียนเขาบ่อยเหลือเกิน แถมเจอหน้ากันทีไรก็กัดก็แซวกันตลอด ก็เริ่มโดนเตือน
    บ้างแล้วว่าอย่าถลำถลึกไปมากกว่านี้

    จากคุณ : K&C - [ 15 ส.ค. 48 14:45:59 A:222.149.248.225 X: ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป