แล้วมันก็เหมือนโชคชะตากลั่นแกล้งที่มีเพื่อนสนิทในกลุ่มคนหนึ่งมาชอบเรา
เพื่อนคนนี้เป็นเด็กเรียนสุดๆ ไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก ก็เลยมาสนิทกับกลุ่ม
เด็กไทยของพวกเรา แล้วก็สนิทกับเรามากๆ เราก็เอ็นดูมันเหมือนเป็นน้องชาย
คอยเป็นห่วงเป็นใย ไม่มากหรอกนะที่เราจะรู้สึกว่าคนคนหนึ่งเป็น เพื่อน
เราแบบนี้ (จริงๆ แล้วเราอายุน้อยกว่าแหละ) ด้วยการกระทำของเราแหละ
ไปทำให้เพื่อนคนนี้เข้าใจผิด รวมทั้งเขาและเพื่อนคนอื่นๆ ก็มองว่าการที่เรา
สนิทกับเพื่อนคนนี้มากมายแบบนี้เพราะว่าคบกันอยู่ ก็เป็นเขานั่นแหละ
เอาเรื่องเพื่อนคนนี้มาถามมาล้อเรา มาหาว่าเราน่ะความรู้สึกช้าบ้างล่ะ
หาว่าเราไม่ให้ความหวังเพื่อนคนนี้บ้างล่ะ
ตอนนั้นเราน่ะอยากจะตะโกนใส่หน้าเขาไปจะตายว่าคนที่เราชอบน่ะคือเขา
ต่างหาก ไม่ใช่ใครอื่นเลยนะ เราล่ะกลุ้มสุดๆ ยอมรับเลยนะว่าทำตัวแย่ๆ
กับเพื่อนคนนี้ไปพักใหญ่ (มานั่งคิดตอนนี้แล้วไม่น่าจะทำตัวแบบนั้นเลย)
คอยหลบเลี่ยง แล้วก็เลยเป็นเหตุให้สนิทกับเขามากขึ้นไปอีก คือเวลาไปไหนมาไหนด้วยกัน
เป็นกลุ่มเราก็พยายามหลบเลี่ยงเพื่อนคนนี้โดยการไปอยู่กับเขาแทน (จะว่าไปก็
ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะเห็นเขาถือของให้เรา หรือเราแลกเสื้อกันหนาวใส่กัน
หรือเวลานั่งทานข้าวทีไรเขาก็จะนั่งอยู่ข้างเราเสมอ)
กลับเมืองไทยตอนปิดเทอมหน้าหนาวรอบนั้น เราตั้งใจว่าจะพักหัวใจสักที จะตัดใจ
จากความรักที่เป็นไปไม่ได้ครั้งนี้เสียที แต่กลับกลายเป็นว่าเราได้เล่นเอ็มเอสเอ็นบ่อย
แล้วก็ได้คุยกับเขาเกือบจะทุกวันเลย ในสมองเราก็เลยมีเรื่องเขาวนเวียนอยู่มากมาย
พอกลับมาจากเมืองไทยแล้ว เราก็ได้มีโอกาสไปเที่ยวกับเขาเลยทันที รอบนี้เป็นทริปที่
ถูกใจเรามากๆ มีกันแค่สี่คน อีกสองคนคือพี่ชายที่เรานับถือ ซึ่งคนแก่ๆ ก็คุยกันไปเอง
เราก็อยู่กับเขาตลอดเหมือนทุกครั้ง ไม่ได้ทำอะไรมากมาย แค่เดินดูหิมะ สูดอากาศ
บริสุทธิ์ ถ่ายรูป แล้วก็คุยกันเงียบๆ (มีเสียงโวยวายของเราบ้างบางครั้ง)
แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกกับเราอีกครั้ง เมื่อเขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่อยู่ใกล้ๆ บ้านเรา
เราก็ไปช่วยเขาหาบ้านด้วย พอเขาย้ายบ้านมาปุ๊ปก็ยิ่งสนิทกันมากขึ้น ก็บ้านเราน่ะใกล้กัน
แค่สองสถานีเอง ชวนไปกินข้าวกันบ้าง ไปพิพิธภัณฑ์บ้าง บางทีอยู่ดีๆ ก็โทรมาแล้ว
ชวนเราไปกินข้าวเช้าด้วยเฉยเลย แล้วตอนงานเลี้ยงจบโรงเรียนภาษาเรากับเขาก็เป็น
ตัวแทนห้องที่จะต้องรับผิดชอบเรื่องจัดหาร้าน (คือห้องเรากับห้องเขาเรียนกับอาจารย์
คนเดียวกัน ก็เลยจะจัดงานด้วยกัน) ตอนถ่ายรูปจบคือเราก็ยืนคู่กันเฉยๆ แต่อยู่ดีๆ
เขาก็หันมาบอกให้เราเอามือไปควงแขนเขาเฉยเลย มานั่งดูรูปตอนหลังแล้ว
ก็เห็นว่าอยู่ด้วยกันทุกรูปเลย แถมที่กระเป๋าสูทเขามีตุ๊กตาที่ห้อยจากโทรศัพท์มือถือเรา
อยู่ด้วย (คือเรามักจะฝากเขาไว้เสมอ เวลาที่ไม่มีกระเป๋าถือน่ะ)
จากนั้นเราก็ไปต่อคาราโอเกะกัน จริงๆ แล้วเราตั้งใจว่าจะสารภาพกับเขาวันนั้นแหละ
กะว่าบรรยากาศเสียงดังๆ ไม่มีใครได้ยิน แล้วก็เป็นวันจบการศึกษาที่เราจะต้องแยก
ย้ายกันด้วย แต่สุดท้ายเราก็ไม่ได้พูดออกไป แหมหัวใจจะหวั่นไหวแค่ไหนตอนที่อยู่ดีๆ
เขาก็ล้มตัวลงมานอนตักเราเฉยเลย ทั้งที่มีคนอยู่กันมากมายขนาดนั้น ไม่รู้ว่าด้วย
วัฒนธรรมของเขาแล้วมันเป็นเรื่องธรรมดา หรือว่าเป็นสิ่งที่สื่ออะไรจากเขารึเปล่า
จากคุณ :
K&C
- [
16 ส.ค. 48 22:54:42
A:220.104.131.122 X:
]